ตอนที่ 3 ฝีดาษ
ตอนที่ 3 ฝีดาษ
ยามเช้าอันเงียบสงบ แสงสว่างจากขอบฟ้าทิศตะวันออกสาดส่องย้อมนภาเป็นสีฟ้าอ่อน วันใหม่ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจากแดนไกล
"คุณหนู คุณหนู คุณหนู ตื่นเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู ได้โปรด ตื่นเถอะเจ้าค่ะ..."
อวี้ซีลืมตาขึ้น เห็นหญิงวัยราวสามสิบปีนั่งอยู่ข้างๆ หญิงผู้นั้นใบหน้ากลม มวยผมเกล้าสูง สวมชุดสีเขียว
เมื่ออีกฝ่ายเห็นนางลืมตาก็ดีใจจนตัวสั่นขณะร้อง "คุณหนู คุณหนูตื่นแล้ว คุณหนูตื่นแล้ว"
อวี้ซีจ้องมองหญิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ แม่นมฟางมารับนางไปหรือ ดีเหลือเกินที่แม่นมฟางมาพานางไป แสดงว่าอีกไม่นานนางจะได้เจอมารดาแล้ว ทั้งชีวิตนี้นางยังไม่เคยพบหน้ามารดาสักครั้ง!
แม่นมฟางลูบหัวนางด้วยความดีใจพลางเอ่ย "คุณหนู คุณหนูไข้ลดแล้ว" ขอเพียงไข้ลดก็หมายความว่าผ่านพ้นช่วงอันตรายมาแล้ว
อวี้ซีอยากจะถามว่านี่ที่ไหน แต่เมื่อพยายามจะพูด ก็รู้สึกแสบร้อนในลำคอราวกับไฟลุกท่วมจนพูดไม่ออก
แม่นมฟางไม่คิดอะไรมากเมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง "คุณหนู หิวไหมเจ้าคะ ข้าจะไปตักโจ๊กมาให้"
อวี้ซีพยักหน้า กินโจ๊กข้าวฟ่างหมดชามหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่อึดใจ "ขออีกชามได้ไหม" นางหิวมากจริงๆ ช่วงที่หลบหนีมาตลอดทาง นางไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องเลยสักมื้อ
แม่นมฟางยิ้มเมื่อเห็นอวี้ซีซดโจ๊กข้าวฟ่างหมดชามในพริบตา ยิ่งได้ยินคำขอเพิ่มก็ยิ่งดีใจ กระเพาะทำงานดีอย่างนี้ แสดงว่าใกล้หายดีแล้ว
อวี้ซีเอ่ยถามหลังกินโจ๊กจนหมดชาม "แม่นม นี่ที่ไหน"
สีหน้าแม่นมฟางแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนตอบ "คุณหนู ที่นี่คือเรือนเล็กชิงจู๋" แม่นมฟางเห็นอวี้ซีทำหน้ามึนงงจึงอธิบายต่อ "คุณหนู แม้เรือนเล็กชิงจู๋จะอยู่ห่างไกลออกไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในเขตจวนหัน คุณหนูไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ"
อวี้ซีพึมพำกับตัวเอง "เรือนเล็กชิงจู๋" นางรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
แม่นมฟางมองดูอวี้ซีพร้อมน้ำตาคลอเบ้า "คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ คุณหนูเป็นฝีดาษ ฮูหยินใหญ่จึงย้ายคุณหนูมาที่นี่ คุณหนูไม่ต้องกังวล ตอนนี้ไข้คุณหนูลดลงแล้ว อีกไม่นานก็จะหายดี เราก็จะได้ย้ายกลับไปที่เรือนเฉียงเวยแล้วเจ้าค่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการส่งคุณหนูไปที่จวนในชนบท โชคดีที่ฮูหยินใหญ่ขัดขวางไว้
ในที่สุดอวี้ซีก็รู้ว่าเหตุใดนางจึงคุ้นเคยกับที่นี่ เมื่อครั้งที่นางเป็นฝีดาษ นางอาศัยอยู่ที่เรือนเล็กชิงจู๋แห่งนี้เป็นเวลานานนับเดือน
แม่นมฟางไม่รู้ความคิดของอวี้ซี จึงพลอยนึกไปว่าหญิงสาวเสียใจ "คุณหนู ข้ารู้ว่าคุณหนูเสียใจ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาตัวให้หายนะเจ้าคะ"
อวี้ซีสมองตื้อและขานรับไปโดยไม่รู้ตัว
แม่นมฟางกล่าว "คุณหนู งั้นคุณหนูหลับต่อเถิด ข้าจะไปต้มยาให้ คุณหนูรู้สึกไม่สบายก็เรียกข้าได้ ข้าอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ"
อวี้ซีพยักหน้าขณะตอบ "อืม"
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกายอวี้ซี นางมองดูมือเล็กๆ ของตัวเองแล้วพึมพำแผ่วเบา "ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งหรือ"
แม่นมฟางเดินเข้ามาพร้อมยาขณะเอ่ย "คุณหนู มา ดื่มยาเถิดเจ้าค่ะ ดื่มยาแล้วจะได้หายดีโดยเร็ว"
เมื่อก่อนแม่นมฟางทั้งต้องเกลี้ยกล่อมทั้งหลอกล่อกว่าอวี้ซีจะยอมกินยาได้ แต่คราวนี้เจ้าตัวกลับไม่อิดออดเลย ซดยาชามใหญ่หมดในคราวเดียว
ในยามีส่วนผสมของยาที่ทำให้ผ่อนคลาย อวี้ซีจึงหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน นอนยาวไปจนถึงบ่ายแก่่ๆ กระทั่งตื่นขึ้นมาค่อยได้สำรวจดูรอบข้าง นางหยิกตัวเองเต็มแรงจนสร้างความเจ็บไม่น้อย "ข้ากลับมามีชีวิตอีกแล้วจริงๆ" และยังย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กอีกด้วย
แม่นมฟางเห็นอวี้ซีตื่นแล้วก็รีบยกโจ๊กข้าวฟ่างที่ต้มไว้มาให้
อวี้ซีพลันนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้ระหว่างมองโจ๊กข้าวฟ่างในชาม เรือนเล็กชิงจู๋ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป กอรปกับนางเป็นฝีดาษ แม่นมฟางจึงเป็นคนทำอาหาร ส่วนห้องครัวใหญ่จะส่งของมาให้เฉพาะในตอนเช้าเท่านั้น แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ห้องครัวไม่ได้ส่งของมาเลย ครั้นแม่นมฟางไปขอก็ถูกคนเหล่านั้นใส่ร้ายว่าต้องการแพร่เชื้อฝีดาษไปทั่วจวน หากไม่ใช่เพราะแม่นมฟางได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสจากมารดาของนางแล้ว เกรงว่าจะถูกตีตายตรงนั้นไปแล้ว ภายหลังแม่นมฟางก็ถูกไล่ออกจากจวนหัน เรื่องนี้ทำให้หญิงชราตรอมใจมาตลอดและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
อวี้ซีจึงถามว่า "ห้องครัวไม่ได้ส่งของมาสองสามวันแล้วใช่ไหม"
แม่นมฟางตกใจมาก นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณหนู ไม่รู้ว่าเด็กหญิงรู้ได้อย่างไร "คุณหนู ห้องครัวอาจงานยุ่งอยู่ คาดว่าตอนเย็นคงจะส่งของมา"
อวี้ซีหัวเราะเมื่อเป็นอย่างที่คิดจริงๆ "แม่นม ประหยัดของในครัวไว้เถิด" มีท่านป้าใหญ่คอยปกป้องดูแลอยู่ทั้งคน คนในครัวจะกล้าจงใจทำให้ชักช้าได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน
หนิงซื่อ มารดาของอวี้ซีเป็นผู้ช่วยชีวิตนายน้อยรองหันเจี้ยนเยี่ยเอาไว้ ฮูหยินกั๋วกงชิวซื่อแยกแยะความรู้สึกชัดเจนจึงไม่คิดบาดหมาง อีกทั้งยังหนิงซื่อยังเคยช่วยชีวิตลูกชายนาง ทำให้อวี้ซีพลอยได้รับความเอ็นดูไปด้วย ชาติก่อนอวี้ซีถึงได้เติบโตมาได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของนาง หากไม่ใช่เพราะภายหลังจู่ ๆ เจียงหงจิ่นปรากฏตัวขึ้น นางคงได้แต่งเข้าตระกูลชิว เข้าประตูวิวาห์กับนายน้อยสามสกุลชิว อาจไม่ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่คงได้ชื่นมื่นกับวันคืนสงบสุขเป็นแน่
แม่นมฟางฝืนยิ้มแล้วบอก “อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าจะประหยัดเอาไว้” เรื่องที่ไม่ส่งของมายังถือเป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่ทำให้แม่นมฟางวิตกมากกว่าคือจนถึงบัดนี้แล้วยังไม่มีหมอสักคนเข้ามาดูอาการ
อวี้ซีรู้สึกว่าแม่นมฟางไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตน จึงพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ "แม่นม ห้องครัวไม่ส่งของมา ต้องมีคนสั่งแน่ๆ ท่านอย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด ถ้าออกไปก็จะตกหลุมพรางของคนพวกนั้น แล้วท่านก็จะอยู่ข้างๆ ข้าไม่ได้อีกแล้ว" พูดแล้วน้ำตาอวี้ซีก็ไหลออกมา "แม่นม ท่านแม่จากไปแล้ว ข้างกายข้ามีเพียงท่านเท่านั้น หากป็นอะไรไป ข้าจะทำอย่างไรต่อไป"
แม่นมฟางโอบกอดอวี้ซีแล้วบอก "คุณหนูวางใจเถิด ข้าจะไม่ออกไปข้างนอก ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างๆ คุณหนูตลอดไป"
อวี้ซีพยักหน้าแล้วถาม "วันนี้หมอไม่ได้มาใช่ไหม"
ปีนี้โรคฝีดาษระบาดหนักในเมืองหลวง ผู้คนจำนวนมากติดเชื้อฝีดาษ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ติดเชื้อจำนวนมาก จวนหันเองก็มีเด็กสองคนที่ติดโรค คนหนึ่งคืออวี้ซี อีกคนคือหันเจี้ยนฮุย พี่ชายต่างมารดาของนาง เขาได้รับการรักษาจากหมอหลวงที่ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญมาจากวัง ส่วนนางได้รับการรักษาจากหมอที่ท่านป้าใหญ่เชิญมาจากข้างนอก แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าหมอที่รักษานางเก่งมาก ก็เรียกตัวหมอไปโดยไม่สนใจชีวิตของนางเลย
สีหน้าแม่นมฟางเปลี่ยนไป นางไม่คิดว่าคุณหนูที่ป่วยหนักจะฉลาดเฉลียวขึ้นมาเช่นนี้ "คุณหนูวางใจเถอะ หากหมอไม่มาในคืนนี้ ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยินใหญ่"
นางส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก ข้าไข้ลดลงแล้ว เดี๋ยวก็หายดี" ชาติก่อนนางยังผ่านมาได้ ชาตินี้ก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน
อาหารมื้อเย็นยังเป็นโจ๊กข้าวฟ่างอีกเช่นเคย
แม่นมฟางหดหู่เล็กน้อย เดิมทีคุณหนูเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก ควรกินของดีๆ บำรุงร่างกาย แต่ตอนนี้กินได้เพียงแค่นี้ "คุณหนู ทนกินไปก่อนนะเจ้าคะ" โชคดีที่ห้องครัวเหลือข้าวไว้ให้หนึ่งกระสอบ ไม่เช่นนั้นคงจะกินโจ๊กข้าวฟ่างไม่ได้ด้วยซ้ำ
อวี้ซียิ้มบางเป็นคำตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ นางได้กินโจ๊กข้างฟ่างก็นับว่าดีมากแล้ว ชาติก่อนนางเลือกกิน แต่ไม่ใช่กับชาตินี้แล้ว มีแค่ประสบการณ์ความอดอยากที่ทำให้รู้ว่าความอิ่มท้องนั้นมีความสุขเพียงไหน
หลังจากกินโจ๊กเสร็จ อวี้ซีค่อยพูด "แม่นมไม่ต้องกังวล ท่านป้าใหญ่จะรู้เรื่องนี้เร็วๆ นี้ พรุ่งนี้เช้าของก็คงจะมาส่ง" คนที่อยู่เบื้องหลังสามารถปิดข่าวได้นานสองวันก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ช่วงนี้จวนมีเรื่องวุ่นวายมากมาย ไม่เช่นนั้นเรื่องก็คงแดงไปนานแล้ว
ริมฝีปากแม่นมฟางสั่นเล็กน้อย กลัวว่าคุณหนูจะคิดมากจึงไม่กล้าพูดอะไร "อืม พรุ่งนี้คนจากห้องครัวต้องมาแน่เจ้าค่ะ" ขอเพียงให้หมอมาด้วยก็พอ
ช่วงนี้ฮูหยินกั๋วกงชิวซื่อยุ่งมาก ทั้งเรื่องในจวนและนอกจวน ที่บ้านมีเด็กติดโรคฝีดาษสองคน ยังต้องดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอีก ทำให้นางแทบจะล้มป่วยแล้ว
แม่นมวัง คนสนิทเห็นสีหน้าไม่ดีของนางจึงถาม "ฮูหยิน เป็นอะไรหรือเจ้าคะ นายน้อยสามไม่สบายหรือ"
ชิวซื่อไม่ตอบแต่ถามกลับ "ข้าให้เจ้าไปเชิญหมอข้างนอกมา ทำไมถึงยังไม่มีข่าว" ไม่แปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะทำเช่นนั้น เมื่อได้ยินว่าหมอใหญ่ไป๋เก่งมากก็เรียกตัวหมอไปโดยไม่สนใจอวี้ซีที่ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แม่นมวังส่ายหน้า "ฮูหยิน ท่านก็รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไร จะหาหมอได้ที่ไหน" หมอชาวบ้านเองจวนหันของเราก็ไม่ต้องการ
สีหน้าชิวซื่อหม่นหมองลง "อย่างนั้นเด็กคนนั้นคงจะไม่รอดแล้วสินะ" นายน้อยสามมีหมอหลวงรักษายังไม่รู้สึกตัวเลย อวี้ซีคงจะไม่รอดแน่
แม่นมวังปลอบใจ "ฮูหยินทำดีที่สุดแล้ว" เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าต้องการส่งคุณหนูสี่ออกจากจวน แต่เป็นฮูหยินใหญ่ที่รั้งให้คุณหนูสี่อยู่ในจวน และยังลำบากยากเย็นไปเชิญหมอใหญ่ไป๋ที่มีชื่อเสียงมาให้รักษาอีกด้วย หากไม่มีเจ้านายของนาง คุณหนูสี่คงตายไปนานแล้ว ไม่มีทางรอดมาจนถึงตอนนี้
ชิวซื่อรู้สึกหนักใจนัก นางเคยสัญญากับหนิงซื่อว่าจะดูแลอวี้ซีให้ดี จะเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ บัดนี้กลับต้องผิดสัญญา
ตอนนี้เองที่หลิ่วเย่ว สาวใช้เดินเข้ามารายงาน "ฮูหยิน ห้องครัวใหญ่ไม่ได้ส่งของไปที่เรือนเล็กชิงจู๋สองสามวันแล้ว"
ชิวซื่อหงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ตบโต๊ะแล้วพูดด้วยความโกรธ "ใครมันเหิมเกริมนัก กล้าดูหมิ่นคุณหนูสี่เชียวหรือ" นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอาศัยช่วงงานยุ่งฉวยโอกาสเช่นนี้
หลิ่วเย่วพูดเสียงเบา "ข้าน้อยถามบ่าวเฒ่าที่ไปส่งของ นางบอกว่าคุณหนูสี่สลบไปสามวันแล้ว นางคิดว่าส่งของไปก็เป็นการสิ้นเปลืองจึงแอบเกียจคร้าน"
ชิวซื่อไม่เชื่อคำพูดนี้ "จับตัวนางมาซักถาม"
แม่นมวังรีบห้ามว่า "ฮูหยิน ตอนนี้จวนกำลังวุ่นวาย หากฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้าคงไม่พอใจท่าน เรื่องนี้ไม่ควรทำให้ใหญ่โต" คนดูแลห้องครัวเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า ปกติฮูหยินก็ต้องให้เกียรติสามส่วน หากจับตัวบ่าวเฒ่าคนนั้นมาซักถาม แล้วเรื่องไปถึงคนดูแลห้องครัว เจ้านายของนางคงไม่ได้อยู่สงบสุข
ชิวซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถาม "เหตุใดถึงเพิ่งรู้เรื่องนี้" ถูกปกปิดมานานถึงสองวัน หมายความว่าอย่างไร หมายความว่ามีคนสามารถหลอกลวงนางได้อย่างง่ายดาย ครั้งนี้เป็นเรื่องของอวี้ซี ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องใด นึกถึงตรงนี้นางก็ไม่คิดปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย
สีหน้าแม่นมวังเปลี่ยนไป "เป็นความผิดของข้า" ที่จริงแล้วแม่นมวังไม่ได้ให้ความสำคัญกับอวี้ซีเท่าที่ควร จึงไม่ได้ใส่ใจมากนักจนทำให้มีคนฉวยโอกาส
แม่นมวังเป็นคนสนิทของชิวซื่อ แต่ไม่ใช่คนสนิทที่สุด คนสนิทที่สุดของชิวซื่อคือแม่นมหลี่ ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าตัวเป็นหวัดและมีไข้ บังเอิญช่วงนี้มีข่าวลือมากมาย ชิวซื่อจึงให้แม่นมหลี่พักผ่อนอยู่บ้าน หากแม่นมหลี่อยู่คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
ชิวซื่อลุกขึ้นแล้วบอก "ไปเรือนเล็กชิงจู๋"