ตอนที่แล้วตอนที่ 1 ชีวิตที่ดับสูญ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 ฝีดาษ

ตอนที่ 2 ชีวิตที่ดับสูญ (2)


ตอนที่ 2 ชีวิตที่ดับสูญ (2)

 

อวี้ซีทรุดลงกับพื้นด้วยอาการสับสน นางอดทนมาได้ครึ่งเดือนเพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นหลังกลับถึงเมืองหลวง ทว่าบัดนี้ทั้งจวนหันและตระกูลเจียงต่างประกาศต่อสาธารณชนว่านางตายแล้ว นางจะดิ้นรนต่อไปเพื่อสิ่งใดกัน แม้วันนี้จะอยู่และพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้ แต่หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร นางกลายเป็นคนตายในสายตาของผู้คนไปเสียแล้ว ทั่วหล้ากว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับไม่มีที่ใดให้นางได้พึ่งพิง

 

เมื่อเดินออกไปไกลแล้ว ชายหนุ่มในชุดเขียวจึงเอ่ยถาม "พี่ใหญ่ ท่านพูดเช่นนี้กับนางเพื่ออันใด หรือท่านเชื่อจริงๆ ว่านางเป็นภรรยาเอกของตระกูลเจียง" แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็เริ่มเชื่ออยู่บ้าง ถึงกลิ่นกายของหญิงผู้นี้จะไม่น่าอภิรมย์นัก แต่กิริยาท่าทางของนางกลับไม่เหมือนหญิงชาวบ้านแม้แต่น้อย

 

ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้นแล้วส่ายหน้า "เชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญแล้ว" มาถึงขั้นนี้ ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ไม่สำคัญ

 

คนถามได้ยินเช่นนั้นจึงรู้ในทันทีว่าหญิงสาวเป็นคุณหนูของจวนหันจริงๆ เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา "ว่าแต่เหตุใดภรรยาเอกแห่งตระกูลเจียงจึงถูกส่งไปยังชนบทเล่า" หากนางยังอยู่ในเมืองหลวง คงไม่ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้

 

ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมกล่าว "เมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อน ภรรยาเอกของตระกูลเจียงถูกส่งไปยังชนบทเพราะวางแผนฆ่าลูกในท้อง" เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วในตอนนั้น และผ่านหูผู้คนในเมืองหลวงมาหลายคนแล้ว

 

แววเห็นอกเห็นใจบนใบหน้าของชายหนุ่มชุดเขียวหายวับไปในทันที เหลือไว้เพียงความรังเกียจเดียดฉันท์ เด็กไร้เดียงสาเพียงนั้นนางยังลงมือได้ "หญิงใจร้ายเช่นนี้ สมควรตายแล้ว"

 

ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมส่ายหน้า "เรื่องภายในของตระกูลใหญ่ จะอธิบายให้กระจ่างในสองสามคำได้อย่างไร น้ำในนั้นลึกนัก" เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชุดเขียวยังคงอยากถามต่อจึงกล่าว "ออกเดินทางเถิด รู้เรื่องเหล่านี้มากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อเจ้า" พูดคุยกันไม่กี่คำก็เพียงพอแล้ว เจาะลึกต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด

 

เห็นเช่นนั้นอีกฝ่ายจึงไม่ถามต่อ

 

ไม่รู้ว่าเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อใด หยดน้ำตกลงบนใบหน้าของอวี้ซี ส่งไอเย็นยะเยือกไปถึงหัวใจ

 

นางลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่เพิงหญ้าด้วยท่าทีเซื่องซึม น่าเสียดายที่เพิงหญ้าสามารถป้องกันได้เพียงลม แต่ไม่อาจสกัดกั้นฝนได้ น้ำฝนจึงซึมเข้ามาตามรอยแยก

 

อวี้ซีนั่งนิ่งขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง จ้องมองน้ำที่เกาะบนหลังคาเพิงหยดลงสัมผัสผิวทีละหยด ในหัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้นางจะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่เป็นที่รักของผู้เป็นยายและบิดา อีกทั้งแม่เลี้ยงยังไม่ใช่คนดี ถึงกระนั้นก็ยังมีท่านป้าใหญ่คอยปกป้องดูแล นางถึงได้ใช้ชีวิตค่อนข้างสบายในตระกูลหัน เมื่อถึงวัยออกเรือน ท่านป้าใหญ่ยังช่วยเลือกหลานชายของจากบ้านเดิมของนางให้เป็นคู่ครอง

 

นางเคยพบหลานชายของท่านป้าใหญ่ แม้รูปร่างหน้าตาและความสามารถไม่อาจกล่าวได้ว่าโดดเด่น แต่นางก็พึงใจ เพราะเขามีจิตใจกว้างขวาง แม่สามีในอนาคตเมตตานาง ตระกูลชิวและจวนหันก็ถือว่าเหมาะสมกัน วิวาห์ครั้งนี้นับว่าไม่เลว ท่านยายและบิดาไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทว่าในช่วงเวลาที่ทั้งสองตระกูลกำลังจะหมั้นหมายกัน เจียงหงจิ่นกลับมาสู่ขอนางแต่งงาน

 

เจียงหงจิ่นเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา สง่างาม ทั้งยังนิสัยอ่อนโยน กล่าวขานกันว่าเป็นชายหนุ่มที่หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงปรารถนาจะแต่งงานด้วยมากที่สุด น่าเสียดายที่นางไม่อยู่ในกลุ่มผู้คนเหล่านี้ แม้นางจะไม่ฉลาดนักแต่ก็รู้ว่าตนและเจียงหงจิ่นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด เขามาขอแต่งงานย่อมต้องมีจุดประสงค์แอบแฝง ในเมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี นางจะยินยอมแต่งงานได้อย่างไร

 

ครั้นบิดารู้ว่านางไม่ยินยอมก็โยนผ้าขาว*ให้แล้วกล่าว "ไม่แต่งก็ตาย เจ้าเลือกเอา"

*ผ้าขาว = ความตาย

 

นางจำใจแต่งงานเพราะไม่อยากตาย ลางสังหรณ์ของนางเป็นจริงในไม่ช้า เจียงหงจิ่นไม่ได้เข้าห้องหอในคืนเข้าหอ คืนเข้าหอที่เจ้าบ่าวไม่ยอมร่วมหลับนอนช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเพียงไหน นางถึงได้กลายเป็นตัวตลกของตระกูลเจียง

 

ทั้งสายตาเย็นชาของแม่สามี การกลั่นแกล้งของน้องสาวสามี คำเยาะเย้ยถากถางของพี่สะใภ้ ท่าทีเหยียดหยามของคนรับใช้ นางต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากในตระกูลเจียง หกปีที่ผ่านมานางถูกผู้คนในตระกูลเจียงรังแกมาตลอด ไม่ว่านางจะถูกดูแคลนหรือทุกข์ทรมานเพียงใด เจียงหงจิ่นก็ไม่เคยพูดจาปกป้องนางเลยสักคำราวกับว่านางไม่ใช่ภรรยาเขา แต่เป็นเพียงคนไร้ตัวตน

 

ครั้งหนึ่งนางทนไม่ไหวจึงวิ่งไปที่ห้องทำงาน ซักถามเจียงหงจิ่นว่าเหตุใดจึงต้องแต่งงานกับนาง เหตุใดจึงต้องทำลายชีวิตของนาง หากไม่ใช่เพราะเจียงหงจิ่น นางคงได้แต่งเข้าตระกูลชิวและใช้ชีวิตสงบสุข เขากลับเพียงมองนางด้วยสายตาเย็นชา ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆ ก่อนสั่งให้คนรับใช้ไล่นางออกจากห้อง

 

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่งงานกันมาหกปีแล้ว นางยังคงเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่สาวใช้ที่รับใช้เจียงหงจิ่นกลับตั้งครรภ์ ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นคือเมื่อสาวใช้ผู้นั้นแท้งลูก ผู้คนในตระกูลเจียงกลับกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของนาง

 

นางหาได้ร้องขอความยุติธรรม หาได้แก้ตัวใดๆ เพียงแต่ขอให้หย่าขาด ต่อให้ไปอยู่สำนักนางชี หรือใช้ชีวิตอยู่ในหอโคมเขียวไปตลอดชีวิตก็ยังดีกว่าอยู่ในตระกูลเจียง เจียงหงจิ่นกลับไม่ยอมหย่า แต่ส่งนางไปยังแถบชนบทแทน

 

ตลอดช่วงหลายปีที่อยู่ในตระกูลเจียง ชีวิตในแถบชนบทกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขที่สุด น่าเสียดายที่นางคาดไม่ถึงว่ากลางวันแสกๆ จะมีโจรบุกมา เก้าชีวิตหนึ่งเดียว** นางลำบากแสนสาหัสกว่าจะหนีกลับมาถึงเมืองหลวง ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับจุดจบเช่นนี้

**เก้าชีวิตหนึ่งเดียว = คนที่ผ่านอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่ยังรอดมาได้

 

ร่างกายเย็นเยียบลงทุกขณะ เปลือกตาหนักอึ้งขึ้นทุกที การหายใจก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อวี้ซีรู้ตัวว่าตนคงผ่านคืนนี้ไปไม่ได้แล้ว

 

นางพึมพำ "เจียงหงจิ่น ทำไมต้องเป็นเช่นนี้" เหตุใดจึงต้องมาขอนางแต่งงาน เหตุใดจึงแต่งงานกับนางแล้วกลับทำเหมือนนางเป็นคนไร้ตัวตน เหตุใดจึงผลักไสนางไปชนบทแทนที่จะหย่าร้าง เหตุใด ทั้งหมดนี้เพราะเหตุใด บัดนี้ความตายใกล้มาเยือนแล้ว นางก็ยังไม่อาจรู้คำตอบ แม้แต่ตอนตายยังต้องกลายเป็นผีโง่งม

 

ชั่วขณะนั้นนางได้ยินเสียงคนตะโกน "ตรงนี้มีคนตายอีกแล้ว เอาไปเผาทิ้งพร้อมกับศพอื่นๆ ที่ตายไปก่อนหน้านี้" ผู้คนในค่ายผู้ลี้ภัยที่ตายไปล้วนถูกเผาทิ้งทันที มิเช่นนั้นศพจะเน่าเปื่อยและทำให้เกิดโรคระบาด

 

นางได้ยินเช่นนั้นจึงพูดด้วยเสียงอิดโรย "ข้าไม่อยากถูกเผา" นางไม่กลัวความตาย แต่นางไม่ต้องการถูกเผา ไม่ต้องการให้ร่างกายของตนสูญสลายไป

 

คนขนศพร้องอุทานเมื่อรู้สึกว่าอวี้ซีขยับตัว ก่อนกล่าว "หัวหน้า คนนี้ยังไม่ตายสนิท" ที่บอกว่ายังไม่ตายสนิท หมายความว่ายังมีลมหายใจอยู่

 

ผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้ามองอวี้ซีแล้วเอ่ย "เผาทิ้ง" ศพจะถูกจัดการวันละครั้ง หากไม่จัดการในวันนี้ก็ต้องรอเผาพรุ่งนี้ หากปล่อยให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาจะทำอย่างไร ค่ายผู้ลี้ภัยมีผู้คนหลายพันคนจึงไม่อาจประมาทได้

 

เจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน ในที่สุดความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ทำให้อวี้ซีลืมตาขึ้น นางเห็นแสงไฟลุกโชนอยู่ตรงหน้า สายตาของนางฉายแววเกลียดชังที่ไม่มีใครเทียบได้ "เจียงหงจิ่น หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะทำให้เจ้าไม่หลงเหลือแม้แต่กระดูก”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด