ตอนที่ 10 หาเลี้ยงชีพ (2)
ตอนที่ 10 หาเลี้ยงชีพ (2)
อวี้ซียิงคำถามมากมาย ชิวซื่อตอบอย่างเอ็นดูทีละข้อ แท้จริงแล้วผู้ใดมาพบเด็กวัยสี่ขวบพูดคุยเรื่องธุรกิจด้วยท่าทีจริงจังก็คงเห็นว่าน่าสนใจ
เด็กหญิงถามทุกคำสิ่งเท่าที่นึกได้
ชิวซื่อกล่าวกลั้วขำ "เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องหน้าร้าน ข้าจะให้คนไปสืบมาให้ เจ้าจะได้ข่าวเร็วๆ นี้" หากต้องการหาหน้าร้านที่ดีทางตะวันออกหรือตะวันตกคงจะยาก แต่ค่อนข้างง่ายสำหรับทางใต้
อวี้ซีรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง "ต่อไปคงต้องรบกวนท่านป้าแล้ว" นางรู้ว่าการที่ตนคอยพึ่งพาชิวซื่อนั้นไม่ถูกต้องนัก ทว่าไร้ทางเลือกอื่น นอกจากอีกฝ่ายแล้ว นางไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งพาใคร ตอนนี้มีเพียงชิวซื่อที่ขอความช่วยเหลือได้ ต้องรอเวลาที่นางพอมีความสามารถแล้วจึงจะตอบแทนได้
ชิวซื่อลูบหัวนางอย่างเอ็นดูพลางกล่าว "เจ้าเด็กโง่ จะเกรงใจไปไย ต่อไปนี้หากมีเรื่องใดก็บอกข้าได้"
แม่นมหลี่เอ่ยเมื่ออวี้ซีกลับไป "ไม่คิดเลยว่าข้าไม่อยู่จวนเพียงสองเดือนกว่า คุณหนูสี่จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้" เมื่อก่อนคุณหนูสี่เผชิญปัญหาใดก็มักจะหลบเลี่ยงหรือไม่ก็ร้องฟูมฟาย ตอนนี้กลับรู้จักคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วราวกับเป็นคนละคน
ชิวซื่อก็ดีใจที่อวี้ซีเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้นางดูแลเด็กหญิงเป็นเพราะหหนิงซื่อเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตบุตรชายของตน แต่ตอนนี้ชมชอบเด็กคนนี้ด้วยใจจริง สามารถคิดถึงคนรอบข้างได้อย่างรอบคอบเช่นนี้ย่อมเป็นคนจิตใจดี
แม่นมหลี่ยิ้มกล่าว "พูดแล้วคุณหนูสี่ก็ยังเด็กเกินไปสักหน่อย ถามคำถามมากมาย แต่กลับลืมถามเรื่องการเปิดร้านค้าต้องใช้ทุน"
ชิวซื่อตอบพร้อมเสียงหัวเราะ "เจ้าก็ดูเอาว่าอวี้ซีอายุเพียงเท่าไร นางคิดได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว หายนะครั้งใหญ่ที่อวี้ซีประสบนั้นเกิดจากข้าเอง เจ้าให้เซี่ยงหยางไปดูที่ถนนซ่างหยวน หากมีร้านที่เหมาะสมก็ซื้อมาเลย" เซี่ยงหยางคือบุตรชายคนเดียวของแม่นมหลี่ ปัจจุบันมีหน้าที่ช่วยดูแลร้านผ้าไหมของชิวซื่อ
แม่นมหลี่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขึ้นทันที "ฮูหยิน คุณหนูสี่อายุเพียงสี่ขวบ หรงอี๋เหนียงยังกล้าลงมือได้ แล้วจะมีอะไรที่นางไม่กล้าทำอีก เราต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น"
ชิวซื่อพยักหน้ารับ
อวี้ซีรู้ดีว่าการทำกิจการต้องใช้ทุน เหตุที่นางไม่พูดเรื่องนี้เพราะไม่คิดหยิบยืมเงินจากชิวซื่อ ประสบการณ์ชีวิตในชาติก่อนทำให้รู้ว่าปัญหาใดคลี่คลายได้ด้วยตนเองก็ควรทำ การพึ่งพาผู้อื่นไหนเลยจะดีเท่าการพึ่งพาตนเอง "แม่นม นำเครื่องประดับที่มารดาเก็บไว้มาให้ข้าดูหน่อย" ที่ดิน ร้านค้า บ้านเรือนต่างๆ ถูกขายไปหมดแล้ว สิ่งที่หนิงซื่อทิ้งไว้ให้มีเพียงเครื่องประดับทองคำและเงินไม่กี่ชิ้นซึ่งเป็นของที่สวมใส่เอง เครื่องประดับเหล่านี้ในเวลานั้นก็มีการขาย หลงเหลือบางส่วนไว้เพื่อรักษาหน้าตา มิเช่นนั้นก็คงเก็บรักษาไว้ไม่ได้
แม่นมฟางไม่ยินยอม "คุณหนู เครื่องประดับเหล่านี้ฮูหยินทิ้งไว้ให้เป็นสินเดิม นำไปใช้ไม่ได้เด็ดขาด"
อวี้ซีกล่าวอย่างจนใจ "ภายภาคหน้าไม่แน่นอน เปล่าประโยชน์จะพูดถึงตอนนี้ อีกอย่างเมื่อเราหาเงินได้แล้ว ก็สามารถหาเครื่องประดับใหม่ที่ดีกว่านี้ ท่านแม่บนสวรรค์คงดีใจ" เครื่องประดับจะต้องมีการเปลี่ยนใหม่ทุกปี เครื่องประดับเหล่านี้ล้าสมัยไปนานแล้ว ตามความคิดของอวี้ซี ซื้อใหม่ยังดีกว่าเสียค่าแรงไปทำแบบใหม่
คนฟังโต้แย้งไม่ออก จึงยกกล่องเครื่องประดับออกมา
เมื่อเห็นอวี้ซีมองทับทิมหินสีแดงประดับหยกเขียวชิ้นหนึ่งไม่ละสายตา แม่นมฟางจึงอธิบาย "นี่คือของขวัญที่ฮูหยินได้รับจากฮูหยินผู้เฒ่าในวันแต่งงาน" เครื่องประดับที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้ ล้วนแต่ประณีตและมีค่าทั้งสิ้น
เด็กหญิงสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อมองเครื่องประดับในกล่อง ชาติก่อนนางเห็นเพียงกล่องภายนอก เห็นชัดว่าสิ่งของเหล่านี้ถูกผู้อื่นสับเปลี่ยนไปในภายหลัง ส่วนเป็นใครนั้นไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเป็นแม่นมที่ดูแลเรือนเฉียงเวย เหตุการณ์นี้ทำให้นางตัดสินใจจะเก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้ไว้เองในอนาคต
แม่นมฟางไม่รู้ความคิดของเจ้านาย นึกว่าอวี้ซีคิดถึงอดีตจึงเห็นใจ "คุณหนู ตราบใดที่คุณหนูสุขสบาย ฮูหยินก็จะนอนตายตาหลับ แต่คุณหนูก็อย่านำไปขายมากเกินไป เพียงหนึ่งหรือสองชิ้นก็พอ"
อวี้ซีเลือกเครื่องประดับทองคำที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากออกมาหลายชิ้นอย่างไม่ลังเล "นำสิ่งเหล่านี้ไปขาย คงจะเพียงพอสำหรับเปิดร้านแล้ว"
แม่นมฟางท้วงด้วยความตกใจ "คุณหนู เราจะเปิดร้านเล็กๆ เท่านั้น ขายของมากมายขนาดนี้ไปทำไม สร้อยคอทองคำเส้นเดียวก็พอแล้ว"
อวี้ซีส่ายหน้าบอก "มีเงินเหลือใช้ก็จะทำอะไรได้สะดวก" ก่อนเอ่ยสำทับหลังหยุดคิดไปครู่หนึ่ง "แม่นม วางใจเถิด ข้าจะไม่นำสิ่งใดไปขายอีกแล้ว" นี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
หงซานเข้ามารายงานกับอวี้ซีในช่วงเวลาพลบค่ำ "คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกลับจวนแล้ว พอรู้ว่าหรงอี๋เหนียงถูกกักบริเวณจึงไปที่เรือนใหญ่"
อวี้ซีมัวยุ่งอยู่กับเรื่องของแม่นมฟางจนลืมแนะนำหงซานให้คนอื่นรู้จัก นางช่างเป็นเจ้านายที่ไม่เอาไหนจริงๆ "พี่หงซาน มาอยู่ที่นี่ทำให้ลำบากแล้ว" ยายของหงซานเป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แม้จะเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ยังอยู่ในใจฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้บิดาของหงซานเป็นผู้ดูแลจวนอับดับสาม ส่วนมารดาเป็นผู้จัดการเรือนรับรองของเรือนใน ฐานะเช่นนี้ก็ถือว่ามั่นคงพอสมควร อวี้ซีรู้ว่าเนื่องจากนางไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่าและบิดาแท้ๆ บุคคลที่มีเส้นสายจึงไม่เต็มใจมาปรนนิบัติตน ทำให้คนรับใช้ที่อยู่เคียงข้างนางเป็นคนที่ซื้อมาจากภายนอก หรือไม่ก็เลือกมาจากจวนในชนบท
หงซานหัวเราะเบาๆ "คุณหนูพูดอะไรเช่นนี้ การได้ปรนนิบัติคุณหนูคือโชคของข้า" การทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสาวใช้
การได้คนรับใช้ที่มีความสามารถและมีฐานะย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี แต่อวี้ซีในเวลานี้กลับคาดเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ออก ชาติก่อนอีกฝ่ายปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาเสมอ บัดนี้กลับเปลี่ยนไปกะทันหันจนน่ากังวลใจ อวี้ซีสลัดความคิดยุ่งเหยิงออกไปก่อนถาม "ท่านย่าปลดโทษกักบริเวณของหรงอี๋เหนียงหรือไม่"
หงซานส่ายหัว "ไม่เจ้าค่ะ"
อวี้ซีไม่ได้ผิดหวังที่หรงอี๋เหนียงไม่ได้ถูกลงโทษสถานหนัก หากเจ้าตัวคิดการใหญ่ได้เช่นนี้ ฮูหยินใหญ่คงไม่ต่อสู้กับนางมาสิบกว่าปีจนอยู่ในภาวะเสียเปรียบ
ฮูหยินผู้เฒ่าชิงลงมือรวดเร็ว อวี้ซีเดิมคิดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันกว่าที่แม่นมผู้ดูแลจะมา นึกไม่ถึงว่าบ่ายวันรุ่งขึ้นจะมีหญิงชราแซ่เซินคนหนึ่งมา
แม่เฒ่าเซินร่างสูงและผอม หน้าเรียวยาว มีรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้า แม้อีกฝ่ายจะให้เกียรติกันมากแต่อวี้ซีกลับไม่ชอบ เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย ไม่มีใครชอบคนที่คอยจับตามองตน
การส่งมอบงานใช้เวลาทั้งเช้า ในจังหวะที่อวี้ซีคิดจะไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าให้แม่นมฟางอยู่ต่ออีกสองสามวัน ชิวซื่อก็บอกนางว่าได้พบหน้าร้านที่เหมาะสมแล้ว
อวี้ซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ทำไมถึงเร็วขนาดนี้" ผู้ที่อาศัยอยู่ทางใต้ล้วนเป็นสามัญชน จวนกงกั๋วจะหาหน้าร้านเล็กๆ หาใช่เรื่องยากเย็น ทว่าจัดการได้ภายในหนึ่งวันก็ถือว่าเร็วมาก
ชิวซื่อยิ้มบอก "บังเอิญน่ะ ถนนซ่างหยวนทางใต้มีร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งให้เช่า ตรงกับความต้องการของเจ้าพอดี หากเจ้าถูกใจ พรุ่งนี้ก็ทำสัญญา"
อวี้ซีพิจารณาครู่หนึ่งแล้วกล่าว "ท่านป้า ฝีมือของแม่นมฟางดี แต่นางไม่รู้เรื่องภายนอก ต่อไปนี้ยังมีหลายสิ่งต้องรบกวนผู้ดูแลเซี่ยง"
ชิวซื่อรู้สึกว่าอวี้ซีคิดรอบคอบมาก นางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม "เรื่องนี้ไม่ยาก ต่อไปนี้หากมีเรื่องใดก็ไปหาเซี่ยงหยางได้เลย"
หลังพูดคุยเรื่องหน้าร้านเสร็จแล้วอวี้ซีค่อยถาม "ท่านป้า แม่เฒ่าเซินเคยทำอะไรมาก่อน"
ชิวซื่อเองก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องราวของฮูหยินผู้เฒ่า "แม่เฒ่าเซินเคยเป็นสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่า ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าถึงส่งนางไปที่จวนในชนบท"
อวี้ซีคิดหนัก "ท่านป้า ข้าอยากไปดูหน้าร้านกับแม่นมฟางพรุ่งนี้ ท่านว่าได้ไหม"
ชิวซื่อมองออกว่าหลานสาวใส่ใจเรื่องนี้ "ได้ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปด้วย" ที่ตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้เพราะอวี้ซีอายุเพียงสี่ขวบ ยังไม่ถึงวัยที่ต้องระวังเรื่องเพศ
แม่เฒ่าเซินรู้ว่าอวี้ซีจะไปดูหน้าร้านที่ถนนซ่างหยวนในวันพรุ่งนี้จึงกล่าว "คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเป็นคุณหนูจวนกั๋วกง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ควรให้คุณหนูต้องใส่ใจ"
เด็กหญิงกล่าวอย่างสุภาพ "ร้านขายซาลาเปานี้เกี่ยวข้องกับการหาเลี้ยงชีพของแม่นมฟาง ข้าต้องไปดูด้วยตนเองจึงจะสบายใจ"
เมื่อเห็นว่าอวี้ซีตัดสินใจแล้ว แม่เฒ่าเซินจึงถาม "เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้หรือไม่"
อวี้ซีชะงักก่อนส่ายหัว "ไม่ได้บอกท่านย่า แต่ท่านป้าอนุญาตแล้ว" ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยสนใจเรื่องของนาง จึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้รู้
แม่เฒ่าเซินพูดด้วยใจหายวาบ "คุณหนู พรุ่งนี้ข้าจะไปด้วย" นางมองออกว่าอวี้ซีอายุยังน้อย แต่มีความคิดเป็นของตนจึงไม่ต้องการขัดใจ มิเช่นนั้นหากเจ้าตัวรังเกียจนางขึ้นมา ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งนางมาที่เรือนนี้ก็จะไร้ความหมายแล้ว
อวี้ซีส่ายหัว "รอคราวหน้าเถิด" ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะไปดูหน้าร้านเท่านั้น แต่ยังต้องไปขายเครื่องประดับด้วย เรื่องนี้ไม่สามารถให้แม่เฒ่าเซินรู้ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ซีไปที่โรงจำนำก่อน เครื่องประดับทองคำไม่กี่ชิ้นจำนำได้เงินหกร้อยตำลึง อวี้ซีลูบตั๋วเงินสองสามใบแล้วใจชื้นขึ้นมาบ้าง
เมื่อมาถึงถนนซ่างหยวน เซี่ยงหยางพานางเข้าไปดูร้าน พื้นที่ร้านมีขนาดเล็กมาก ห้องน้ำของนางยังใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าด้านหลังร้านมีทางเชื่อมกับลานบ้าน ในบ้านมีห้องโถงสองห้อง ห้องเก็บของสองห้อง และห้องครัวอีกหนึ่งห้อง
แม่นมฟางเห็นบ้านนี้แล้วปลื้มใจ "คุณหนูเจ้าคะ ขายซาลาเปาด้านหน้า ทำซาลาเปาในห้องครัว อาศัยอยู่ในห้อง สะดวกมาก ผู้ดูแลเซี่ยงทำอะไรก็รอบคอบจริงๆ"
เซี่ยงหยางหัวเราะ "แม่นมฟาง ท่านชมข้าเกินไปแล้ว"
ตอนอวี้ซีลงจากรถม้าเมื่อครู่ นางเห็นผู้คนบนถนนสายนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน ร้านขายซาลาเปาที่เปิดที่นี่คงจะไม่แย่ "ผู้ดูแลเซี่ยง ค่าเช่าร้านนี้ต่อปีเท่าไหร่"
เซี่ยงหยางตอบ "รวมบ้านนี้ด้วย ปีละสามร้อยตำลึง" เป็นเพราะมีบ้านอยู่ด้านหลัง หากเป็นค่าเช่าร้านเพียงอย่างเดียวจะไม่แพงขนาดนี้
อวี้ซีรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก "ผู้ดูแลเซี่ยง ท่านว่าเราควรทำสัญญากี่ปีดี แล้วตอนทำสัญญาต้องระวังอะไรบ้าง"
เซี่ยงหยางไม่ได้ดูถูกอวี้ซีเพราะนางยังเด็ก กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับข้อควรระวังในการทำสัญญาให้ฟัง จากนั้นจึงกล่าว "ทำสัญญาหนึ่งปีก่อน" เขาไม่รู้ว่าฝีมือของแม่นมฟางเป็นอย่างไร จึงแนะนำให้ทำสัญญาหนึ่งปีก่อน หากท่าทางไม่สู้ดีจะได้ขาดทุนน้อยหน่อย หากราบรื่นค่อยต่อสัญญา มีจวนกั๋วกงหนุนหลัง เจ้าของคงไม่กล้าให้คนอื่นเช่า
อวี้ซีปรึกษาหารือกับแม่นมฟางแล้วตอบตกลง "ทำสัญญาตอนนี้เลย"
นางเตรียมจ่ายเงินหลังทำสัญญาเสร็จ เซี่ยงหยางกล่ากลั้วขำ "คุณหนูสี่ ฮูหยินสั่งให้ไปเก็บเงินที่จวนกั๋งกงหลังทำสัญญาแล้ว"
อวี้ซีดึงดันจะจ่ายเงินเอง ส่ายหัวขณะกล่าว "นี่คือร้านที่ข้าเปิดให้แม่นมฟาง จะให้ท่านป้าจ่ายเงินได้อย่างไร"
เซี่ยงหยางรู้สึกว่าเด็กหญิงผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ คนอื่นมีโอกาสได้เปรียบก็ต้องคว้าไว้ แต่คุณหนูสี่กลับไม่ทำ ถือว่าหาได้ยากมาก พฤติกรรมของอวี้ซีทำให้เขามองนางในแง่ดีขึ้น
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวี้ซีก็เอ่ยอย่างจริงใจ "ต่อไปแม่นมฟางคงต้องรบกวนผู้ดูแลเซี่ยงอีกมาก"
เขาบอกตรงไปตรงมา "คุณหนูวางใจเถิด ฮูหยินสั่งให้ข้าดูแลร้านขายซาลาเปาให้ดี" มีเขาคอยดูแลร้านขายซาลาเปา แม่นมฟางไม่มีทางถูกรังแกที่ถนนซ่างหยวน