ตอนที่ 1 ชีวิตที่ดับสูญ (1)
ตอนที่ 1 ชีวิตที่ดับสูญ (1)
กำแพงเมืองหลวงสูงตระหง่านราวยักษ์ยืนปักหลันอยู่ตรงหน้า อวี้ซีจ้องมองมันด้วยความตื่นเต้นดีใจ นางเดินเท้ามาได้ครึ่งเดือนนับตั้งแต่หลบหนีออกจากจวนจนถึงบัดนี้ อดทนต่อความหนาวเหน็บ ความหิวโหย และความทุกข์ยากนานัปการ ท้ายที่สุดก็จะได้กลับบ้านเสียที
ทหารยามบนกำแพงเมืองเห็นอวี้ซีกำลังลนลานเคาะประตูเมืองจึงตะโกนเสียงแข็ง "รีบไปให้พ้น ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าไม่ไว้หน้า" ประตูเมืองหลวงถูกสั่งปิดเมื่อเดือนก่อน ทำให้ห้ามเข้าออกหากไม่มีหนังสือเดินทาง
อวี้ซีเงยหน้าขึ้นตะโกนลั่น "ข้ามิใช่ผู้ลี้ภัย ข้าเป็นคุณหนูจวนหันกั๋วกง ท่านเปิดประตูเมืองให้ข้าเข้าไปเถิด!"
ทหารรักษาประตูขบขัน ทุกวันนี้คนเราพูดโป้ปดไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอด “ทำไมไม่กุว่าตนเป็นน้องสาวของฮองเฮาไปเลยเล่า” เขาไม่ได้พูดจาล้อเลียน แต่ฮองเฮาในปัจจุบันก็มาจากจวนหันกั๋วกง หญิงผู้นี้บอกว่าตนเป็นคุณหนูของจวนหันกั๋วกง นั่นไม่ต่างจากการเป็นน้องสาวของฮองเฮา
อวี้ซีรีบร้อง "ฮองเฮาทรงเป็นพี่สาวของข้าจริง ๆ" นางกับฮองเฮาเป็นพี่น้องต่างมารดากันจริง ๆ
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากทางประตูเมือง ทหารยามคร้านจะพูดไร้สาระอีก การใช้กำลังข่มขู่เป็นวิธีที่ได้ผลชะงัดที่สุดในการจัดการกับคนพรรค์นี้ เขายกธนูขึ้นเตรียมยิงหญิงสาวที่อยู่เบื้องล่าง ทว่าทหารเคราหนาข้าง ๆ กลับขัดขวางไว้ อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "วางธนูลงเถิด การลงมือกับหญิงไร้อาวุธเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกอับอายหรือ" กับเหล่าโจรผู้ร้ายไม่มีปัญญาฆ่า ทำได้เพียงรังแกหญิงสาวแบบนี้ นับเป็นวีรบุรุษหาญกล้าประสาอะไร
ทหารหนุ่มวางธนูลงด้วยไม่กล้ายิงอีก
ชายเคราหนาตะโกนบอกอวี้ซี "มีค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ทางตะวันตก หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ก็จงไปทางนั้นเถิด" เขาถือว่าได้ชี้ทางรอดให้กับหญิงสตรีผู้นี้แล้ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลมพัดปะทะร่างกาย ทำให้อวี้ซีหนาวสั่นไปทั้งตัว ในที่สุดก็ต้องพึ่งไม้เท้าเดินกะเผลกทีละก้าวไปยังค่ายผู้ลี้ภัยทางตะวันตก
ผู้ประสบภัยมีมากเกินไป ราชสำนักเกรงว่าจะไม่สามารถจัดการกับผู้คนเหล่านี้ได้ดีพอ จึงจัดสรรพื้นที่ทางตะวันตกให้ ส่งอาหารให้วันละสองมื้อพอให้มีชีวิตรอด พวกเขาจะได้ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย
ค่ายผู้ลี้ภัยสร้างกระท่อมไม้ไว้มากมาย แต่กระท่อมไม้ที่ไม่รั่วซึมเหล่านี้นั้นไม่ตกถึงมืออวี้ซี หญิงสาวในค่ายผู้ลี้ภัยคนหนึ่งพานางไปที่เพิงหญ้าที่สร้างจากกิ่งไม้และใบไม้ก่อนเอ่ย "เพิงหญ้านี้เดิมทีมีคนอาศัยอยู่ แต่เช้านี้เขาตายไปแล้ว ว่างอยู่พอดี เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน!"
ใบหน้าของอวี้ซีที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีก ริมฝีปากสั่นระริกอยู่นานกว่าจะพูดออกมาได้แค่คำเดียว "ขอบคุณ"
หญิงสาวมองอวี้ซีแวบหนึ่ง เห็นพฤติกรรมและการวางตัวเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ ไม่รู้ว่ามาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ตัวนางไม่มีเวลาสนใจแม้แต่ตัวเองด้วยซ้ำ มีหรือจะให้ใส่ใจหญิงสาวตรงหน้าได้ จึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "อย่าออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้"
อวี้ซีตกอยู่ในความหวาดระแวงในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา โชคดีที่นางไม่เพียงแต่ทาหน้าให้สกปรกเพื่อเลี่ยงอันตราย แต่ยังป้ายสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวไว้บนร่างกาย นางถึงสามารถเดินมาถึงประตูเมืองได้อย่างปลอดภัย
อวี้ซีคลานเข้าไปในเพิงหญ้า กลิ่นเหม็นคลุ้งลอยปะทะจมูก เมื่อผสมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์บนตัวนาง ยิ่งทำให้คนได้กลิ่นแทบอาเจียน อวี้ซีกัดฟันข่มความรู้สึกเอาไว้ กลางดึกเช่นนี้ การมีเพิงหญ้าสักหลังนับว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยก็สามารถกันลมได้บ้าง
อวี้ซีเหนื่อยล้าเต็มทีหลังเดินมาทั้งวัน นางเอนกายลงบนเพิงหญ้าแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งตื่นขึ้นมาเพราะความหิวกลางดึก ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่กล้าออกไปข้างนอก จึงอดทนกุมท้องเอาไว้จนถึงเช้า
ค่ายผู้ลี้ภัยให้อาหารวันละสองมื้อ หญิงสาวรอจนใกล้เที่ยง ทนหิวจนมึนหัว ค่ายผู้ลี้ภัยถึงค่อยเริ่มแจกจ่ายอาหาร นางค้นหาชามไม้ที่เต็มไปด้วยรูในเพิงหญ้า แทนที่จะเรียกมันว่าชามไม้ ควรจะเรียกว่าโพรงไม้จะดีเสียกว่า
กฎระเบียบในค่ายผู้ลี้ภัยค่อนข้างเข้มงวดจึงไม่มีเหตุการณ์แย่งชิงกันเกิดขึ้น หลังได้โจ๊กหนึ่งชามลงท้อง อวี้ซีก็รู้สึกสบายกระเพาะขึ้นมาก นางไม่ได้กลับไปที่เพิงหญ้าแต่เดินไปถามคนตักอาหาร "พี่ชาย ข้าวที่เรากินถูกส่งมาจากเมืองหลวงใช่หรือไม่"
เมื่อรู้ว่าอาหารมาจากเมืองหลวง อวี้ซีคิดว่าต้องหาคนส่งข้าวเพื่อไหว้วานให้ช่วยส่งข่าวไปยังจวนหัน และนางโชคดีพอที่ได้พบกับเขาในช่วงเย็น
คนส่งข้าวได้กลิ่นตัวของอวี้ซี ส่วนใหญ่เป็นอันต้องปิดจมูกกัน ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งเดินมาถาม "เจ้าขวางทางพวกเราทำไม"
อวี้ซีรีบพูด "ข้าเป็นคุณหนูจวนหันกั๋วกง ข้าอยากให้ท่านช่วยส่งข่าวไปยังจวนหัน ให้จวนหันส่งคนมารับข้า"
ชายหนุ่มคนนี้มีสีหน้าประหลาดใจ บุตรสาวของหันกั๋วกงจะมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยได้อย่างไร ประหลาดนัก "เจ้าเป็นบุตรสาวคนใดของหันกั๋วกง"
อวี้ซีหน้าแข็งทื่อก่อนพูดด้วยท่าทีอึกอัก "ข้าคือบุตรสาวคนที่สี่ของหันกั๋วกง" นอกจากจะเป็นลูกคนที่สี่ของหันกั๋วกงแล้ว นางยังเป็นภรรยาของเจียงหงจิ่น บุตรชายของซ่างซูกรมขุนนาง ทว่านางเกลียดชังเจียงหงจิ่น เกลียดคนในตระกูลเจียงทุกคน จึงไม่ยอมบอกว่าตนเป็นคนของตระกูลเจียง
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวถั่วถึงกับหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินเช่นนี้ "เจ้าจะแอบอ้างเป็นใครก็ได้ แต่ไม่ควรแอบอ้างเป็นคนตาย ภรรยาเอกของตระกูลเจียงถูกโจรฆ่าตายคาจวนเมื่อครึ่งเดือนก่อน มีการประกาศข่าวการเสียชีวิตแล้ว โลงศพก็ฝังไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว" เขารู้เรื่องนี้เพราะเจียงหงจิ่นชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในราชวงศ์โจว
อวี้ซีได้ยินแล้วก็สั่นไปทั้งตัว นางไม่คิดว่าคนตระกูลเจียงจะโหดเหี้ยมเพียงนี้ ยังไม่ทันเจอศพก็ประกาศว่านางตายแล้ว "ข้าไม่ได้ตาย ข้าหนีออกจากจวนมา"
ชายหนุ่มคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน "โจรกลุ่มนั้นโหดเหี้ยมมาก ไม่เคยปล่อยให้ใครมีชีวิตรอด แม้แต่ชายร่างใหญ่ก็ยังหนีไม่รอด แล้วเจ้าจะรอดได้อย่างไร"
อวี้ซีกัดฟันพูดทีละคำว่า "ตอนที่โจรบุกเข้าไปในจวน ข้ากำลังเก็บดอกไม้ที่ภูเขาหลังจวน ข้าถึงรอดชีวิตมาได้" นางเห็นไฟไหม้ที่จวนก็ไม่กล้ากลับไปอีก จึงรีบหนีออกจากภูเขาหลังจวนทันที
ชายหน้าเหลี่ยมมองนางแล้วถาม "แล้วสาวใช้และแม่นมของเจ้าเล่า" สตรีผู้สูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่มักมีนางกำนัลและแม่นมอยู่มากมาย
อวี้ซีกำมือแน่นขณะค่อย ๆ กล่าว "ข้ามีเพียงแม่นมคนเดียวที่คอยรับใช้ สามีและลูกของนางยังอยู่ที่จวน เมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องในจวน นางก็ทิ้งข้าไว้แล้ววิ่งกลับไป ข้าไม่ได้โกหกพวกท่าน ข้าเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของหันกั๋วกงจริง ๆ" ระหว่างทางที่หลบหนี นางได้นำของมีค่าทั้งหมดบนร่างกายแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร ทำให้ไม่หลงเหลือสิ่งใดติดตัว ตอนนี้ทำได้เพียงอ้อนวอนอีกฝ่าย "ข้าขอร้องท่านช่วยส่งข่าวให้หันกั๋วกงด้วย หากหันกั๋วกงรู้ว่าข้ายังไม่ตาย เขาจะต้องส่งคนมารับข้ากลับไปอย่างแน่นอน"
ชายหนุ่มมองด้วยความเห็นใจแล้วเอ่ย "แม้ข้าจะยินดีช่วยเจ้าส่งข่าว แต่ก็ไม่มีใครมารับเจ้าหรอก"
นางส่ายหัวแล้วบอก "ไม่มีทาง หากเขารู้ว่าข้ายังไม่ตาย จะต้องส่งคนมารับข้ากลับไปอย่างแน่นอน ท่านช่วยข้าส่งข่าว เมื่อกลับไปได้แล้วข้าจะตอบแทนท่านแน่นอน"
เขารู้สึกว่านางฟั่นเฟือนไปแล้วจึงโพล่งออกไป "ถึงเจ้าจะเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของหันกั๋วกงจริง แต่เจ้าหายตัวไปครึ่งเดือน เมื่อกลับไปก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ได้" สตรีที่หายตัวไปครึ่งเดือนไหนเลยจะยังรักษาชื่อเสียงที่ดีอยู่ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตระกูลเจียงประกาศว่านางถูกโจรฆ่าตาย ด้วยเหตุเดียวกันนี้ จวนหันก็ไม่อาจเสียหน้า หญิงสาวผู้นี้จึงต้องตายสถานเดียวเมื่อนางกลับไป