บทที่ 59 : เผชิญหน้าสำนักเสินโหยว
บทที่ 59 : เผชิญหน้าสำนักเสินโหยว
เเละหลังจากพูดจบ, องครักษ์สิบสามก็ส่งแผนที่มาให้หลินเสวียน
“ไกลเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย!”
หลินเสวียนมองตำแหน่งของเมืองเทียนเป่ยบนแผนที่แล้วขมวดคิ้ว
ทิศทางของเมืองเทียนเป่ย อยู่ตรงข้ามกับเมืองหลางหยา…แถมยังไกลกว่าเป็นสองเท่า
แม้จะขี่ม้าเร็วที่สุดของสำนักเทียนเซียว ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหกวัน…ถึงจะไปถึงเมืองเทียนเป่ยได้!
“หลินเสวียน, ไปที่หอลงทัณฑ์กันดีกว่า!”
“ข้าเตรียมอินทรีปีกสีเขียวไว้ให้เจ้าตัวหนึ่งแล้ว, ถ้าเจ้าออกเดินทางตอนนี้…ก่อนฟ้าสางก็น่าจะถึง”
“ตอนนี้มีคนอื่นกำลังจับตามองอสูรโลหิตทองคำอยู่เหมือนกัน, ถ้าไปช้ากว่านี้คงต้องลำบากหามันใหม่!” องครักษ์สิบสามกล่าว
“ตกลง, ข้าจะไปที่หอลงทัณฑ์เดี๋ยวนี้เลย!”
หลินเสวียนตอบรับ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่หอลงทัณฑ์ทันที!
……
หอลงทัณฑ์ตั้งอยู่ข้างๆหอทรัพยากร
มันเป็นอาคารที่ปล่อยรังสีอำมหิตออกมาตลอดเวลา
เเละเมื่อหลินเสวียนมาถึง, มันก็มีคนของหอลงทัณท์มารออยู่แล้ว!
“หลินเสวียน!”
“อินทรีปีกสีเขียว, เป็นพาหนะที่ใช้ได้เฉพาะเวลาออกปฏิบัติภารกิจของหอลงทัณฑ์เท่านั้น”
“ดังนั้น, เจ้าต้องเซ็นชื่อในรายการภารกิจแทน”
คนของหอลงทัณฑ์นำเอกสารออกมาให้หลินเสวียนเซ็นชื่อ
หอลงทัณฑ์มีภารกิจมากมาย
เพื่อประหยัดกำลังคน, ภารกิจที่ไม่ยากมากนักมักก็จะมอบหมายให้ศิษย์สายนอกรับหน้าที่แทน
สิ่งนี้จึงถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้หลินเสวียนไปในตัว!
“ตกลง!”
หลินเสวียนไม่ลังเล เเละเซ็นชื่อลงบนเอกสาร
“ตามข้ามา!”
คนของหอลงทัณฑ์รับเอกสารมา…จากนั้นก็พาหลินเสวียนไปที่ด้านหลังหอลงทัณฑ์
ทันใดนั้น, หลินเสวียนก็เห็นอินทรีปีกสีเขียวหลายตัวกำลังเกาะอยู่ตามรังหิน!
“วู้ว!”
คนของหอลงทัณฑ์หยิบขลุ่ยออกมาเป่าเบาๆ
เสียงขลุ่ยที่แหลมคมดังก้องไปทั่วความมืดมิด!
เเละทันใดนั้น, อินทรีปีกสีเขียวตัวหนึ่งก็ลืมตาขึ้น!
“หลินเสวียน!”
“อินทรีปีกสีเขียวทุกตัวจะทำตามเสียงขลุ่ย”
“ข้าจะสอนวิธีควบคุมอินทรีปีกสีเขียวให้กับเจ้า เดี๋ยวเจ้าลองทำความคุ้นเคยกับมันก่อน…จากนั้นเจ้าก็สามารถขี่มันออกไปได้เลย”
“ภารกิจที่เจ้ารับหน้าที่แทน, อยู่ใกล้ๆกับเมืองเทียนเป่ย”
“องครักษ์สิบสามจะพาเจ้าไปทำภารกิจ, และจะได้คะแนนสะสมมาด้วย!” คนของหอลงทัณฑ์อธิบาย
“ตกลง!” หลินเสวียนพยักหน้า
จากนั้น, คนของหอลงทัณฑ์ก็สอนวิธีควบคุมอินทรีปีกสีเขียวให้กับหลินเสวียนทั้งหมด
เพียงไม่นาน หลินเสวียนก็สามารถควบคุมอินทรีปีกสีเขียวให้บินวนอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสมบูรณ์!
“ขอบคุณมาก!”
“ฮู้ว!”
หลังจากกล่าวขอบคุณคนฝึกแล้ว…
หลินเสวียนก็ควบคุมอินทรีปีกสีเขียว พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!
……
ฮู่ๆๆๆ!
ณ ขณะนี้…หลินเสวียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังอินทรีปีกสีเขียว, เเละมันมีเสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหูตลอดเวลา!
[นี่คือแสงไฟจากบ้านเรือนนับพันหลังสินะ?]
เสียงของวิชาทะยานเหนือคลื่นดังขึ้น
“คลื่นน้อย (ชื่อเล่นของวิชาทะยานเหนือคลื่น)!”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากดูภูเขา, ดูแม่น้ำหรอกเหรอ?”
“ระหว่างทางนี้ เจ้าก็ดูให้เต็มที่ไปเลย!”
หลินเสวียนกล่าวขณะที่มองลงไปข้างล่าง!
ค่ำคืนนี้มืดมิด
เมื่อมองลงไปจากท้องฟ้า เมืองของมนุษย์ธรรมดาเบื้องล่างจะมีแสงไฟส่องประกายระยิบระยับ…เเละเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้คน
[มันดีจริงๆ!]
[แต่เสียดายที่ฟ้ามืดเกินไป, ไม่งั้นก็คงจะเห็นอะไรๆได้มากกว่านี้]
วิชาทะยานเหนือคลื่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
…..
[วิชาทะยานเหนือคลื่นได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของทิวทัศน์ยามค่ำคืน…ทำให้จิตใจของเขาสงบลง!]
[วิชาทะยานเหนือคลื่นได้รับความรู้ใหม่…กำลังพัฒนาขอบเขตใหม่!]
วิชาทะยานเหนือคลื่นได้รับประโยชน์อย่างรวดเร็ว!
ส่วนหลินเสวียนก็หยิบศิลาวิญญาณออกมาหนึ่งก้อน, กินโอสถหลอมลมปราณหนึ่งเม็ด…จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนควบคู่ไปด้วย
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านเลยไป
เมื่อฟ้าเริ่มสาง!
หลินเสวียนก็ได้ดูดซับพลังของโอสถและศิลาวิญญาณจนหมดสิ้น
เเน่นอนว่าพลังในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อินทรีปีกสีเขียวยังคงบินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ
เมื่อหลินเสวียนมองออกไปไกลๆ เขาก็ได้เห็นแม่น้ำสายใหญ่กำลังไหลเชี่ยวกราก, และดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า
แสงอาทิตย์เริ่มขับไล่ความมืด, แสงอรุณเริ่มสาดส่องลงบนผืนดิน
[เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น, สวรรค์และโลกก็ส่องเเสงสว่างเจิดจ้าแห่งรุ่งอรุณ]
[เป็นทิวทัศน์ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือแม่น้ำที่งดงามอะไรเช่นนี้!]
ในขณะเดียวกัน, วิชาทะยานเหนือคลื่นก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
[วิชาทะยานเหนือคลื่นได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือแม่น้ำ, เข้าใจขอบเขตใหม่: ไล่ล่าดวงอาทิตย์!]
[วิชาทะยานเหนือคลื่น เลื่อนขั้นเป็นระดับสีเหลืองขั้นสูง!]
วิชาทะยานเหนือคลื่นพัฒนาขึ้นอีกครั้ง…เเละมันทำให้หลินเสวียนอดประหลาดใจไม่ได้
วิชานี้ช่างคู่ควรกับความอิสระเสรีเสียจริงๆ
มันสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาได้อย่างอิสระระหว่างท่องเที่ยวชมภูเขาเล่นน้ำ!
[เจ้ามันแปลกประหลาดจริงๆ]
ดาบคลั่งสังหารวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชา
[คนในโลกชอบหัวเราะเยาะเเละหาข้าว่าบ้า, เเต่ข้าต่างหากที่จะหัวเราะเยาะพวกเขาที่มองไม่ทะลุอะไรเลย!]
วิชาทะยานเหนือคลื่นกล่าวอย่างไม่สนใจ
มันยังคงชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาและแม่น้ำ…พร้อมกับทำความเข้าใจขอบเขตไล่ล่าดวงอาทิตย์ อย่างละเอียดต่อไป
[น่าสนใจดีนี่!]
วิชาหมัดสวรรค์ห้าสายฟ้าก็พูดขึ้น
ดูเหมือนว่ามันจะสนใจวิชาทะยานเหนือคลื่นเป็นอย่างมาก
“ลี๊!”
เเต่ทันใดนั้นเอง, อินทรีปีกสีเขียวที่หลินเสวียนขี่อยู่ก็ส่งเสียงร้อง…จากนั้นมันก็หยุดอยู่กลางอากาศ
ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะถึงจุดหมายแล้ว
……
หลินเสวียนควบคุมอินทรีปีกสีเขียวให้ร่อนลงมา!
เมื่ออยู่ที่ระดับความสูงพอสมควร หลินเสวียนก็กระโดดลงมา
ปลายเท้าของหลินเสวียนแตะเบาๆก็เกิดระลอกคลื่นราวกับมีไอน้ำพยุงให้เขาลอยลงมาอย่างช้าๆ
“วู้ว!”
หลินเสวียนเป่าขลุ่ยอีกครั้ง, อินทรีปีกสีเขียวก็บินขึ้นไปบินวนอยู่บนท้องฟ้า!
“ข้ามาถึงแล้ว!”
หลินเสวียนส่งข้อความไปหาองครักษ์สิบสาม
“ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหุบเขาหลัวหวง!”
องครักษ์สิบสามตอบกลับอย่างรวดเร็ว…จากนั้นก็ส่งแผนที่ตามมาอีกฉบับ
เเค่ที่เรียกว่าแผนที่จริงๆแล้วเป็นแค่เส้นง่ายๆสองสามเส้น
แต่นั่นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับหลินเสวียน
หลินเสวียนไม่ลังเล, เขารีบใช้วิชาทะยานเหนือคลื่นเพื่อพุ่งไปยังตำแหน่งที่องครักษ์สิบสามบอกทันที
……
ณ หุบเขาหลัวหวง!
นี่คือหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองเทียนเป่ย
มันได้ชื่อนี้มาจากหินก้อนใหญ่ในภูเขา…ที่ดูเหมือนนกฟีนิกซ์ที่กำลังร่วงหล่นลงมา
ลำธารในหุบเขานี้ไหลเชี่ยวเเถมมี ภูมิประเทศก็ซับซ้อน
มันจึงเหมาะกับการดำรงชีวิตของอสูรโลหิตทองคำเป็นอย่างมาก
“หลินเสวียน, ที่นี่!”
หลินเสวียนเดินตามแผนที่ขององครักษ์สิบสามไปเรื่อยๆ, ไม่นานก็ได้ยินเสียงขององครักษ์สิบสามที่จงใจลดระดับเสียงลง
เมื่อหลินเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง, เขาก็เห็นองครักษ์สิบสามกำลังโบกมืออยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่
หลินเสวียนพยักหน้า, หลังจากก้าวเท้าเบาๆเขาก็มาถึงหน้าองครักษ์สิบสาม
“อสูรโลหิตทองคำอยู่ไหน?” หลินเสวียนถามอย่างใจร้อน
“ดูตรงโน้นสิ!”
องครักษ์สิบสามพาหลินเสวียนอ้อมไปหลังก้อนหิน, แล้วมองลงไปที่หุบเขาด้านล่าง
ภายในหุบเขา!
มีถ้ำอยู่!
เเละตอนนี้มันมีแสงสีทองส่องประกายออกมาจากปากถ้ำ
ด้วยสายตาของหลินเสวียน แน่นอนว่าเขามองเห็นหัวอสูรอันน่าเกลียดน่ากลัวที่มีดวงตาสีทองเข้มปรากฏอยู่ที่ปากถ้ำ!
ดูจากหัวอสูรแล้ว, อสูรโลหิตทองคำน่าจะมีขนาดใหญ่ประมาณสามเมตร
ตามบันทึกของคัมภีร์เตาหลอมโลหิต…อสูรโลหิตทองคำมีรูปร่างคล้ายวัว, แต่ไม่มีเขา
ทั้งตัวมีสีทองและมีเกราะเเน่นหนา
อสูรโลหิตทองคำที่โตเต็มวัยจะมีพลังอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณขั้นที่เก้า
แต่การป้องกันของมันจะแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ
ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมลมปราณขั้นที่เก้าธรรมดาๆ…ยากที่จะฆ่ามันได้
อีกอย่าง, อสูรโลหิตทองคำเป็นสัตว์ขี้ขลาดมาก
เมื่อมันสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิต…มันจะปล่อยหมอกสีทองออกมา
เเละหมอกสีทองนี้มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง, นั่นก็คือจะเปลี่ยนทุกสิ่งรอบๆให้กลายเป็นทองคำ!
ถ้าผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมรวมลมปราณขั้นที่เก้าโดนหมอกสีทองปกคลุมโดยไม่ระวัง…ก็จะกลายเป็นรูปปั้นสีทองและจะกลับมาเป็นปกติได้ก็ต่อเมื่อพลังของหมอกสีทองหายไป
ถ้าในระหว่างนั้นเกิดโดนใครเก็บไปหลอมละก็คงได้สนุกกันแน่
ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็ไม่มีใครอยากไปไล่ล่าอสูรโลหิตทองคำหรอก
……
[นายท่าน!]
[นี่คืออสูรโลหิตทองคำที่โตเต็มวัยเเล้ว!]
[โลหิตของมันต้องมีประโยชน์มากแน่ๆ!]
คัมภีร์เตาหลอมโลหิตกล่าวอย่างคาดหวัง
……
“หลินเสวียน, ตอนนี้มีเรื่องยุ่งยากแล้ว!”
อยู่ๆองครักษ์สิบสามก็ขมวดคิ้ว
“ท่านหมายความว่ายังไง?” หลินเสวียนถามอย่างสงสัย
“เดิมที ด้วยความแข็งแกร่งของข้า”
“การฆ่าอสูรโลหิตทองคำจะใช้เวลาแค่พริบตาเดียว, เเละมันไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนอง”
“จากนั้นพวกเราก็เก็บโลหิตของมันมาปรุงยาได้เลย!”
“แต่ตอนนี้, มันมีคนอื่นกำลังจับตามองอสูรโลหิตทองคำตัวนี้อยู่เหมือนกัน!”
“เเละพวกเราเผชิญก็หน้ากันมาทั้งคืนแล้ว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็กลัวว่าจะไปรบกวนอสูรโลหิตทองคำ….ป่านนี้คงได้ลงไม้ลงมือกันไปแล้ว”
องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างขมขื่น
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเสวียนก็รีบกลั้นหายใจแล้วตรวจสอบ!
ทันใดนั้น, เขารู้สึกถึงรัศมีสามสาย
ในนั้นมีสองสายที่อ่อนแอ, น่าจะเป็นขอบเขตหลอมรวมลมปราณ
ส่วนอีกรัศมีหนึ่งนั้นแข็งแกร่งมาก
หลินเสวียนไม่สามารถประเมินระดับลมปราณได้!
แต่ในเมื่อองครักษ์สิบสามยังหวาดกลัว, นั่นคงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดเเก่นเเท้เป็นแน่
“พูดคุยต่อรองกันไม่ได้เหรอ?” หลินเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ถ้าเป็นคนจากสำนักอื่นก็คงพอคุยกันได้!”
“อย่างน้อย, พวกเขาก็ยังให้เกียรติหน้าตาของสำนักเทียนเซียว”
“น่าเสียดายที่ทั้งสามคนนั้นเป็นคนของสำนักเสินโหยว!”
องครักษ์สิบสามกล่าวอย่างขมขื่น
“สำนักเสินโหยว?”
“หนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งมณฑลก่วางหลิง, สำนักเสินโหยวงั้นเหรอ?”
หลินเสวียนพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง
……………………..