บทที่ 54 ประลองเป็นตาย
บทที่ 54 ประลองเป็นตาย
แม้ว่าเถี่ยอู๋ฉิงจะขัดขวาง แต่เมิ่งฉางเหอก็ยังไม่ยอมปล่อยซูซินไปง่ายๆ
ความแค้นในการสังหารบุตรชาย ไม่สามารถอยู่ร่วมกันใต้ฟ้าเดียวกันได้ เมิ่งฉางเหอมีบุตรชายเพียงคนเดียว ด้วยอายุของเขาในตอนนี้ คงไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว
“ใต้เท้าเถี่ย ท่านบอกว่าข้ารังแกเด็ก งั้นดี ข้าจะไม่ลงมือเอง ข้าจะให้ศิษย์ของข้าสู้กับซูซินบนเวทีแบบตัวต่อตัว เป็นการต่อสู้แบบแพ้เป็นตาย เขากล้าหรือไม่?”
เถี่ยอู๋ฉิงหันไปมองซูซิน
ซูซินไม่ลังเลแม้แต่น้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง ข้ารับคำท้าประลองเป็นตายนี้”
เมิ่งฉางเหอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สามวันหลังจากนี้ ข้าจะตั้งเวทีที่เขตชางเต๋อ เราจะสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง!”
หลังจากพูดจบ เมิ่งฉางเหอก็นำคนของเขาจากไป
คดีฆาตกรรมที่น่าสยดสยองก็จบลงแบบง่ายๆ แต่กองกำลังอื่นๆ ก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่าเถี่ยอู๋ฉิง หัวหน้ามือปราบเขตสิบสองตะวันออก เป็นบุคคลที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างยิ่ง!
ซาเฟยอิงเองก็ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจากไป แต่เมื่อเห็นว่าเถี่ยอู๋ฉิงยังอยู่ เขาก็ได้แต่จ้องมองซูซินอย่างเกลียดชัง ก่อนจะหันหลังกลับไป
ซูซินโค้งคำนับให้เถี่ยอู๋ฉิงแล้วพูดว่า “ขอบคุณใต้เท้าเถี่ยมาก สำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเถี่ยอู๋ฉิงอีกครั้ง เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าช่วยข้ามาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าก็ควรตอบแทนเจ้าบ้าง ถ้าเจ้าอยากจะขอบคุณข้าจริงๆ งั้นก็ช่วยสร้างลูกเหล็กให้ข้าอีกสองลูกเถอะ ลูกที่ข้าเพิ่งใช้ไป มันเปื้อนเลือดของไอ้โง่นั่น ข้าไม่อยากได้แล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ อย่าว่าแต่ลูกเหล็กเลย แม้แต่ทองคำก็ไม่มีปัญหา” ซูซินยิ้มตอบ
“ไม่เอา ข้าเอาแค่ลูกเหล็กก็พอ ถ้าเป็นทองคำ ข้าคงไม่กล้าเอามันออกมาตีคนหรอก ใช่ไหม?”
หลังจากพูดติดตลก เถี่ยอู๋ฉิงก็มองไปที่ซาเฟยอิงที่จากไปแล้ว พูดอย่างเย้ยหยันว่า “เจ้าหนุ่ม ครั้งนี้เจ้าทำให้หัวหน้าพรรคของเจ้าเดือดร้อนไม่น้อยเลยนะ ซาเฟยอิงคงอยากจะกลืนกินเจ้าทั้งเป็นแล้วล่ะ”
สีหน้าของซูซินเรียบเฉย “นั่นเป็นทางเลือกของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าน้อย ถ้าพวกเขาไม่เลือกที่จะโยนข้าน้อยออกไปเพื่อระงับความโกรธของสมาคมสามวีรบุรุษ แต่เลือกที่จะสนับสนุน ตอนนี้พวกเขาก็คงจะได้ใจคนไปมากแล้ว”
เรื่องที่ไปขอความช่วยเหลือจากเถี่ยอู๋ฉิง ซูซินไม่ได้บอกลูกน้องของเขา และแน่นอนว่าจะไม่บอกซาเฟยอิงและคนอื่นๆ การทำเช่นนี้ก็เพื่อดูว่าพวกเขาจะเลือกอย่างไรนั่นเอง
ลูกน้องบางคนของเขาเลือกที่จะจากไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซูซินก็จะไม่รับพวกเขากลับมาอีก ส่วนคนที่เลือกที่จะอยู่ ก็จะกลายเป็นแกนนำของเขา
ในทำนองเดียวกัน ถ้าซาเฟยอิงเลือกที่จะสนับสนุนซูซิน เขาก็จะได้ใจคนของพรรคเหยี่ยวเหินอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะละทิ้งซูซิน พวกเขาก็ทำได้แค่เสียหน้าและเสียใจภายหลัง
ดังนั้น ซาเฟยอิงจึงโกรธมากตอนที่จากไป ซูซินมีเถี่ยอู๋ฉิงหนุนหลัง แต่กลับไม่ยอมบอกพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าและเสียใจโดยเปล่าประโยชน์!
เถี่ยอู๋ฉิงชี้ไปที่ซูซินแล้วพูดว่า “เจ้ามันเจ้าเล่ห์ อย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้าคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าด้วยนิสัยของซาเฟยอิง พวกเขาต้องเลือกแบบนี้แน่ๆ ดังนั้นเจ้าถึงไม่ยอมบอกพวกเขาสินะ?”
ซูซินยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เถี่ยอู๋ฉิงถามว่า “ทำไมเจ้าถึงยอมรับคำท้าประลองเป็นตายของเมิ่งฉางเหอ? ในเมื่อมีข้าอยู่ที่นี่ เมิ่งฉางเหอจะทำอะไรเจ้าได้?”
ซูซินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเถี่ย ท่านช่วยข้าได้ครั้งนี้ แต่ช่วยไม่ได้ทุกครั้ง เรื่องนี้ข้าต้องให้คำอธิบายกับสมาคมสามวีรบุรุษ ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน
ถ้าข้าชนะประลองเป็นตายนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไป และคนเราจะหวังพึ่งคนอื่นตลอดไปไม่ได้ บางเรื่องก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง”
“บางครั้งข้าก็สงสัยว่าเจ้าโตมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ราวกับคนวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามาก”
ซูซินยิ้มแล้วพูดว่า “โตมาในสลัม ถ้าไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ข้าน้อยก็คงโดนคนอื่นหลอกตายไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยยังมีน้องสาวที่ต้องดูแล ข้าน้อยไม่อยากตายเร็วขนาดนั้น”
“แต่การที่เจ้ายอมรับข้อเสนอของเมิ่งฉางเหอ มันก็ถือว่าประมาทไปหน่อย ศิษย์ของเมิ่งฉางเหอไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ”
เถี่ยอู๋ฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมิ่งฉางเหอเป็นศิษย์ของใคร?”
ซูซินส่ายหน้า มองไปที่หวงปิ่งเฉิง แต่หวงปิ่งเฉิงก็ส่ายหน้าเช่นกัน
สำหรับกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันอย่างพรรคเหยี่ยวเหินหรือพรรคไผ่เขียว เขายังอาจจะสืบข้อมูลมาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้สมาคมสามวีรบุรุษอยู่ไกลจากเขามากเกินไป
ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสมาคมสามวีรบุรุษ ล้วนเป็นสิ่งที่หวงปิ่งเฉิงได้ยินมาจากคนอื่น เขาไม่มีข้อมูลโดยละเอียดของพวกเขาเลย
“เขาเป็นคนของสำนักขนาดใหญ่งั้นหรือ?” ซูซินถามอย่างสงสัย
“ก็ประมาณนั้น แต่เขาไม่ได้มาจากสำนักขนาดใหญ่โดยตรง แต่เป็นศิษย์สืบทอดวิชา อาจารย์ของเขาชื่อโจวติ้งฟาง เป็นคนเมืองเซียงหนาน แต่เคยบวชเป็นศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน
หลังจากที่วัดเส้าหลินขับไล่ศิษย์ฆราวาสทั้งหมดออกไป อาจารย์ของเขาก็กลับมาที่เซียงหนานและเปิดสำนักคุ้มกัน เมิ่งฉางเหอเป็นศิษย์คนโปรดคนหนึ่งของเขา ได้รับการถ่ายทอดวิชาฝ่ามือทุบแผ่นศิลา หนึ่งในวิชาเจ็ดสิบสองวิชาของวัดเส้าหลิน”
ศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน? ซูซินถึงกับตะลึง
ดูเหมือนว่า เขากับวัดเส้าหลินจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ ครั้งก่อนเขาได้รับโอสถเสี่ยวฮวน(หวนกำเนิดเล็ก)จากตาเฒ่าหมาป่า ซึ่งเป็นยาที่ปรุงโดยวัดเส้าหลิน ครั้งนี้เขากลับได้พบกับศิษย์สืบทอดวิชาของศิษย์ฆราวาสวัดเส้าหลินอีก
เมื่อเห็นท่าทางของซูซิน เถี่ยอู๋ฉิงคิดว่าเขาคงตกใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ยังมีข่าวดีอีกสองเรื่อง
เรื่องแรก ศิษย์ฆราวาสไม่ใช่ศิษย์หลักที่โกนหัวออกบวช ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการถ่ายทอดวิชาเจ็ดสิบสองกระบวนท่าแต่มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น พลังของมันเทียบไม่ได้กับวิชาเจ็ดสิบสองกระบวนท่าของจริง
ยิ่งไปกว่านั้น โจวติ้งฟางสอนเมิ่งฉางเหอเพียงได้ไม่กี่ปีก็เสียชีวิต เขาเองก็ฝึกฝนวิชาฝ่ามือทุบแผ่นศิลาได้ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น สิ่งที่เขาถ่ายทอดให้ศิษย์ได้ ก็มีเพียงวิชานี้กับวิชากำลังภายในขั้นพื้นฐานของวัดเส้าหลินเท่านั้น
แต่เจ้าก็อย่าได้ประมาทคู่ต่อสู้ เพราะในการต่อสู้ครั้งนี้ เมิ่งฉางเหอต้องส่งหลี่จงเหอ ศิษย์เอกของเขา ลงมาสู้แน่ๆ
หลี่จงเหอก้าวเข้าสู่ขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลางมาหลายปี เขาเปิดจุดชีพจรได้อย่างน้อยเก้าสิบจุดแล้ว ส่วนเจ้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลาง ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเจ้ายังห่างไกลจากเขามากนัก”
“ขอบคุณใต้เท้าเถี่ยมาก ที่บอกข้อมูลเหล่านี้กับข้าน้อย” ซูซินกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ก็เช่นกัน การที่รู้ว่าอีกฝ่ายฝึกวิชากำลังภายในอะไร เก่งวิชาอะไร ถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการต่อสู้
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เจ้าเป็นคนที่ข้าปกป้อง ถ้าสามวันหลังจากนี้เจ้าตายบนเวที ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” เถี่ยอู๋ฉิงโบกมือแล้วเดินจากไป
“หัวหน้า พวกเราควรทำอย่างไรต่อดี?” หวงปิ่งเฉิงถาม
“จะทำอะไรได้อีก? แน่นอนว่าข้าต้องไปฝึกฝนสิ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลาง ยังต้องทำความคุ้นเคยกับพลังในขั้นนี้”
ทุกครั้งที่ก้าวข้ามขั้น พลังของผู้ฝึกยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ร่างกายไม่คุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักพัก
แม้ว่าซูซินจะเอาชนะตงเฉิงอู่ได้ แต่เขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับพลังของตัวเองเต็มสิบส่วน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเชื่อว่าศิษย์ที่เมิ่งฉางเหอฝึกฝนมา จะต้องแข็งแกร่งกว่าตงเฉิงอู่อย่างแน่นอน
อย่างไรเสีย เมิ่งฉางเหอก็ถือเป็นศิษย์สืบทอดวิชาของวัดเส้าหลิน แม้ว่าจะเป็นเพียงศิษย์ฆราวาส แต่ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักเล็กๆ อย่างตงเฉิงอู่อย่างแน่นอน
“จริงสิ บอกคนที่ดูแลน้องสาวข้าด้วย อย่าให้นางรู้ว่าข้าออกจากการฝึกฝนแล้ว บอกว่าข้ายังคงฝึกฝนอยู่” ซูซินกำชับ
ก่อนหน้านี้ เพราะต้องฝึกฝนที่สำนักงาน ซูซินจึงให้คนไปดูแลความเป็นอยู่ของซูซิ่นเอ๋อร์
แม้ว่าตอนนี้เขาจะออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้ซูซิ่นเอ๋อร์ได้ยินเรื่องเหล่านี้ กลัวว่านางจะเป็นห่วง
หวงปิ่งเฉิงพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ซูซินจึงสั่งให้หลี่ฮ่วยนำคนของเขาไปดูแลความสงบเรียบร้อยของเขตหย่งเล่อ จากนั้นเขาก็ไปฝึกฝน
ตอนนี้ลูกน้องของเขาลดลงไปกว่าครึ่ง ถ้าไม่เข้มงวดในการดูแล เขากลัวว่าความสงบเรียบร้อยที่เพิ่งจะเข้าที่เข้าทางในเขตหย่งเล่อจะกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน เมิ่งฉางเหอก็นำคนของเขากลับไปที่สำนักงานของสมาคมสามวีรบุรุษที่เขตชางเต๋อด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หลังจากที่ไล่ลูกน้องออกไปแล้ว หนิงลั่วจวินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าใหญ่ ข้าขอแนะนำว่า ท่านควรบอกหลี่จงเหอไว้ก่อน แม้ว่าเขาจะชนะซูซินบนเวทีแล้ว ก็อย่าฆ่ามัน”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” เมิ่งฉางเหอจ้องมองหนิงลั่วจวินด้วยความโกรธ “ซูซินฆ่าบุตรชายคนเดียวของข้า เจ้ายังจะให้ข้าไว้ชีวิตมันอีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าไม่เอาชีวิตซูซิน แล้วมันจะเรียกว่าประลองเป็นตายได้อย่างไร!?”
หนิงลั่วจวินตะโกนตอบว่า “ข้าไม่ได้จะให้ท่านไว้ชีวิตซูซิน ข้าแค่อยากให้สมาคมสามวีรบุรุษไม่ไปเป็นศัตรูกับเถี่ยอู๋ฉิง!
เขาต้องการปกป้องซูซิน ถ้าซูซินถูกหลี่จงเหอฆ่าตายบนเวที ท่านคิดว่าเขาจะเกลียดชังสมาคมสามวีรบุรุษหรือไม่?”
เมิ่งฉางเหอพูดไม่ออก ความแข็งแกร่งของเถี่ยอู๋ฉิงยังคงติดอยู่ในใจของเขา
แม้ว่าเถี่ยอู๋ฉิงจะลงมือเพียงครั้งเดียว แถมลูกเหล็กที่เขาขว้างออกมาก็ไม่นับว่าเป็นท่าไม้ตาย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งจากตัวเถี่ยอู๋ฉิง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของเขาที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเสียนเทียนแล้วเสียอีก
แต่เพื่อแก้แค้น เมิ่งฉางเหอก็ยังพูดอย่างเย็นชาว่า “ใช่ พวกเราสู้เถี่ยอู๋ฉิงไม่ได้ แต่ก็อย่าไปคิดว่าเขาแข็งแกร่งเกินจริง สมาคมสามวีรบุรุษของเรามีคนนับหมื่น ข้าไม่เชื่อว่าเถี่ยอู๋ฉิงจะกล้าทำอะไรสมาคมสามวีรบุรุษ!
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเสียนเทียน แต่เขาก็ไม่ใช่เทพเซียน ถ้าอยากจะกวาดล้างสมาคมสามวีรบุรุษ เขาก็ต้องเตรียมรับมือกับความวุ่นวายในเมืองฉางหนิง!”
“หัวหน้าใหญ่! อย่าทำเป็นไร้เดียงสา เถี่ยอู๋ฉิงไม่เหมือนกับมือปราบคนอื่นๆ! ท่านลองคิดดูสิว่าเขาแซ่อะไร เขามาจากลิ่วซานเหมิน เขาแซ่เถี่ย! เขาอาจจะเป็นคนของตระกูลเถี่ยแห่งลิ่วซานเหมิน!”
บนใบหน้าของหนิงลั่วจวินปรากฏแววหวาดกลัว “ข้าหนิงลั่วจวินก็ผ่านโลกมามากแล้ว ตอนนั้นข้าเคยไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเซียงหนานกับท่านพ่อ ตระกูลนั้นแข็งแกร่งมาก มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเสียนเทียนมากกว่าสามสิบคน
แต่ในงานเลี้ยง ตระกูลนั้นกลับถูกมือปราบสามคนจากลิ่วซานเหมินฆ่าล้างตระกูล!
มือปราบสามคนนั้นก็คือคนของตระกูลเถี่ยแห่งลิ่วซานเหมิน ตระกูลเถี่ยเป็นผู้ก่อตั้งลิ่วซานเหมินแห่งราชวงศ์ต้าโจว ในยุครุ่งเรือง มือปราบครึ่งหนึ่งในลิ่วซานเหมินล้วนแซ่เถี่ย!”
“คนแซ่เถี่ยมีอยู่ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น การที่เถี่ยอู๋ฉิงมาจากลิ่วซานเหมินหรือไม่ ก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเจ้าเท่านั้น
ตอนที่เถี่ยอู๋ฉิงเพิ่งมาถึงเมืองฉางหนิง พวกเจ้าก็เคยสืบประวัติเขามาแล้ว ผลลัพธ์ก็แค่สงสัยเท่านั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าเขามาจากลิ่วซานเหมินจริงๆ
ไม่ต้องพูดมากแล้ว ความแค้นเรื่องบุตรชาย ไม่สามารถอยู่ร่วมกันใต้ฟ้าเดียวกันได้ ซูซินต้องตาย!”
หลังจากพูดจบ เมิ่งฉางเหอก็หันหลังกลับไป ทิ้งให้หนิงลั่วจวินและต้วนเซียวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้ามืดมน