บทที่ 186 ยุติความเจ็บปวด!
แววตาหลัวเฉิงเปล่งประกายดั่งสายอสุนีบาตที่แหวกผ่านผืนท้องนภายามราตรีกาล เสี้ยวลมหายใจก็ฟาดฟันกระบี่ออกไปทันที
ฉัวะ!
แสงคลื่นกระบี่คล้ายมีจริงคล้ายลวงตา ถูกปลดปล่อยออกจากกระบี่พุ่งตรงเข้าใส่ศีรษะงูยักษ์เกล็ดดำอย่างรุนแรง
ปัง!
ร่างอันมหึมาของงูยักษ์เกล็ดดำ ถูกแรงกระแทกจากปราณกระบี่ซัดกระเด็นไปในทันที
ใต้คางของงูยักษ์เกล็ดดำยามนี้ ปรากฏบาดแผลลึกจวนถึงกระดูกยาวกว่าจั้ง เลือดพุ่งอาบไปตามลำคออย่างน่าสยดสยอง
ระหว่างนั้น งูยักษ์เกล็ดดำที่คุ้มคลั่งยามนี้มันคล้ายจะได้สติกลับมา ดวงตาแดงฉานมันมองหลัวเฉิงด้วยความหวาดผวายิ่ง มันมิกล้าคิดสู้อีกต่อไป จึงหันอีกทางแล้วเลื้อยหนีอย่างรวดเร็ว
“หนีไปแล้วงั้นหรือ?”
หลัวเฉิงมองงูยักษ์เกล็ดดำที่เลื้อยหายเข้าไปในป่าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ทันใดจึงทอดถอนใจยาวด้วยความเหนื่อยล้ายิ่ง
“กระบวนท่านี้ช่างกินแรงยิ่งนัก!”
เมื่อความกดดันในการต่อสู้คลายเบาลง หลัวเฉิงก็รู้สึกว่าปราณแท้ในร่างถูกดูดออกไปจนเกือบหมด แม้แต่แรงจะกระชับกระบี่ทลายสวรรค์ก็แทบจะไม่เหลือ
การฟาดฟันกระบี่ในครั้งนี้ไม่เพียงใช้ปรานแท้ไปมากเท่านั้น แต่ยังทำให้พลังวิญญาณของเขาอ่อนล้าลงมากด้วยเช่นกัน
“เมื่อครู่ นั่นคือปราณกระบี่งั้นหรือ? ทะลายสวรรค์กระบวนท่าที่สาม ‘อัสนีคลั่ง’ มิใช่ต้องมีพลังยุทธ์ถึงขั้นเขตแดนลึกลับก่อนงั้นหรือ…”
เหตุที่เขาคิดเช่นนั้นก็เพราะ ทะลายสวรรค์กระบวนท่าที่สาม ‘อัสนีคลั่ง’ เป็นกระบวนท่าที่ต้องปลดปล่อยปรานกระบี่ โดยปกติแล้วต้องมีพลังยุทธ์ถึงขั้นเขตแดนลึกลับเท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยมันได้
หลัวเฉิงเคยพยายามฝึกปรือและทำความเข้าใจกระบวนท่านี้มาก่อนเช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านพลังยุทธ์ที่ยังไม่สูงพอ เขาจึงไม่สามารถฝึกปรือมันได้สำเร็จ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับงูยักษ์เกรดดำในครั้งนี้ หลัวเฉิงคิดเพียงว่าต้องสังหารงูยักษ์เกรดดำตัวนี้ให้ได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญสามารถใช้กระบวนท่าที่สามนี้ได้ จนก่อเกิดเป็นปราณกระบี่ฟาดเข้าใส่งูยักษ์เกล็ดดำทำให้มันบาดเจ็บสาหัสและหนีไปได้
แต่ปราณกระบี่เมื่อครู่นั้นถูกปลดปล่อยโดยมิได้ตั้งใจ
หากจะร่ายรำฟาดฟันมันอีกครั้ง เกรงว่าคงยากแล้ว
“การปลดปล่อยปราณกระบี่ หากข้าฝึกฝนกระบวนท่านี้ได้สำเร็จจริงๆ ในบรรดาผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นเขตแดนลึกลับ ข้าจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน!”
“แต่กระบวนท่านี้ใช้ปราณแท้มากเกินไป หากเมื่อครู่ไม่สามารถขับไล่งูยักษ์เกล็ดดำไปได้ ชีวิตข้าคงไม่พ้นกลายเป็นเหยื่อของมันแทนเป็นแน่”
หลัวเฉิงทอดถอนใจเบาๆ พลางส่ายศีรษะกับความโชคดีของตนในครั้งนี้
เพลงกระบี่เมื่อครู่แทบจะใช้พลังปราณทั้งหมดในร่างที่เขามีเลยทีเดียว
หากมันมิอาจขับไล่งูยักษ์เกล็ดดำตัวนี้ไปได้ ผลที่ตามมาคงน่ากลัวจนเขามิกล้าจินตนาการแม้แต่น้อย
“มิน่าว่างูยักษ์เกล็ดดำตัวนี้อาจจะย้อนกลับมาอีกหนก็เป็นได้ ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะหยุดคิดเรื่องกระบวนท่าเมื่อครู่นี้ไปก่อน แล้วเตรียมตัวจะออกจากที่นั่นทันที ทว่า จู่ๆ หูเขาก็แว่วยินเสียงร้องโหยหวนครวญครางอย่างเจ็บปวด
เมื่อหลัวเฉิงหันศีรษะไปมองทางต้นเสียง ก็ได้บังเอิญพบกับสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
ท่ามกลางมวลพฤกษาที่รกทึบ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยคราบเลือดและเศษเนื้อกระจัดกระจาย ผู้ที่อยู่ตรงนั้นเป็นใครไปมิได้นอกจากหลินจินไท่
ในตอนแรกร่างเขามีสภาพอิดโรยอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เกรงว่าเนินเขานั้นจะถูกงูยักษ์เกล็ดดำซัดจนถล่มจากการต่อสู้เมื่อครู่จึงได้ตกลงมาที่นี่
ถึงแม้หลินจินไท่จะมีบาดแผลและได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้า ด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยามนี้จึงยังไม่ทันสิ้นลม
“ข้าจะยุติความเจ็บปวดให้เจ้าเอง”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะพร้อมเดินเข้าหาแล้วใช้กระบี่แทงเข้าไปที่ลำคอของหลินจินไท่ จากนั้นจึงนั่งเข้าฌานสมาธิเบื้องหน้าแล้วกลืนกินวิญญาณยุทธ์หลินจินไท่ทันที
พัฟ!
วิญญาณยุทธ์ที่เปล่งประกายด้วยดาวห้าดวงปรากฏขึ้น พริบตาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในฝ่ามือของหลัวเฉิง
ระหว่างนี้ หลัวเฉิงไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด มีเพียงจิตมุ่งมั่นในการกลืนกินวิญญาณยุทธ์เท่านั้น
หลัวเฉิงรีบกลืนวิญญาณยุทธ์ทันทีที่มันปรากฏเพราะเกรงจะมีผู้ใดมาพบเข้า หากผู้ใดมาพบตอนนี้ก็ไม่เหลือร่องรอยใดแล้ว อาจคิดได้เพียงว่าหลัวเฉิงนั่งสมาธิฝึกปราณเท่านั้น
หลังจากดูดกลืนวิญญาณยุทธ์ของหลินจินไท่แล้ว หลัวเฉิงก็รู้สึกว่าปราณแท้ของเขาฟื้นฟูกลับมาถึงสามส่วน และพลังวิญญาณก็ค่อยๆ ฟื้นตัวเช่นเดียวกัน
“ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ เกรงว่าคงยากหากต้องเผชิญหน้ากับราชาแห่งสัตว์อสูรสองดาวอีกครั้ง…”
“แต่ถ้าข้าสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่ทลายสวรรค์กระบวนท่าที่สามได้สำเร็จ หรือสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหกได้สำเร็จ การสังหารงูยักษ์เกล็ดดำก็มิเป็นปัญหาอีกต่อไป!”
เขามองยังทิศทางที่งูยักษ์เกล็ดดำหนีไป ก่อนถอนใจยาวพร้อมกับผลักร่างให้ลุกขึ้นยืน
“ตอนนี้คงถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปแล้ว! หวังว่าพวกกู่หลิงเฟิงจะปลอดภัยดี! เมื่อได้ผลหยวนหลิงมาแล้ว อีกไม่นานข้าต้องสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหกได้แน่! หรือยิ่งกว่าอาจทะลวงไปถึงขั้นเขตแดนลึกลับก็เป็นได้!”
เมื่อเห็นว่าดวงสุริยันใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที หลัวเฉิงจึงเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินกลับไปทางเดิม ซึ่งเป็นทางลาดลงจากหุบเขา