ตอนที่ 18: ปลาตายตาข่ายแตก
ตอนที่ 18: ปลาตายตาข่ายแตก [1]
พลังวิญญาณธาตุไฟซึ่งเปี่ยมด้วยกลิ่นอายทมำลายล้างช่างละม้ายคล้ายกับอุปนิสัยของจางเหิง หวังฝูจดจำ “สามัญสำนึกพื้นฐานของการฝึกตนเป็นเซียน” ได้ดีจนเข้าใจว่าวิชาธาตุไฟส่วนใหญ่มีพลังระเบิดรุนแรงแต่ความทนทานค่อนข้างต่ำ
“เราเพียงหลบไปมาเพื่อรอให้เขาร่ายวิชาเท่านั้น!”
จิตใจของหวังฝูแจ่มชัด เขาทราบดีว่าการต่อสู้จำเป็นต้องคำนวณเช่นกัน ตราบใดที่วางแผนมาดีก็มากพอที่จะเพิ่มโอกาสในการชนะได้ มันอาจถึงขั้นเอาชนะผู้แข็งแกร่งด้วยผู้ที่อ่อนแอกว่า
ตามที่คาดไว้ หลังจากพยายามไล่ตามหลายครั้ง จางเหิงกลับไม่สามารถแตะต้องหวังฝูได้จนรู้สึกอับอายขายขี้หน้า จากนั้นจึงเอาฝ่ามือประสานเข้าด้วยกันเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ เมื่อฝ่ามือค่อยแยกออก ลูกไฟร้อนขนาดเท่ากำปั้นจึงเริ่มก่อตัวขึ้น
“ชอบหลบใช่ไหม ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าทีนี้เจ้าจะหลบได้หรือไม่!
หวังฝูครุ่นคิดขณะเห็นลูกไฟกำลังลอยเข้ามา
“วิชาลูกไฟหรือ? หากมีวิชาลูกไฟก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นวิชาวางเพลิง ไม่อย่างนั้นเมื่อปราศจากการควบคุมจิตเทวะ ความเร็วการเคลื่อนไหวกับระยะการโจมตีของลูกไฟจะเพียงส่งผลกับมนุษย์เท่านั้น”
ด้วยความเร็วการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตน หากไม่ยืนนิ่งอยู่กับที่ วิชาลูกไฟที่ไม่มีการควบคุมจิตเทวะก็ทำได้เพียงโจมตีเป็นเส้นตรงเท่านั้น มีเพียงการใช้ควบคู่กับวิชาวางเพลิงจึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ซึ่งมันเทียบเท่ากับความสะดวกสบายจากการควบคุมจิตเทวะ
จิตเทวะจะถือกำเนิดขึ้นได้หลังจากไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่เท่านั้น
หวังฝูค่อนข้างว่องไว ดังนั้นลูกไฟลูกเดียวย่อมไม่มีประสิทธิภาพ จางเหิงจึงตัดสินใจใช้กำลังทั้งหมดเพื่อยิงลูกไฟออกมาอีกสองลูก แล้วลูกไฟสามลูกจึงพุ่งเข้าหาหวังฝู มันคือขีดจำกัดที่เขาสามารถทำได้
มันสาหัสถึงขนาดทำให้ใบหน้าซีดเซียว
ลูกไฟสามลูกกำลังไล่ล่า จึงเป็นการยากที่หวังฝูจะหลบเลี่ยงได้ ทว่าเขาไม่จำเป็นต้องหลบแต่อย่างใด สภาพของจางเหิงในตอนนี้ไม่ใช่ว่ากำลังเหนื่อยล้าหรอกหรือ?
วิชาหนามปฐพีถูกใช้งาน แล้วหนามปฐพีสามอันจึงทะลวงผ่านพื้นจนตั้งตระหง่านเบื้องหน้าลูกไฟทั้งสามประหนึ่งกำแพงดิน ทำให้ลูกไฟกระแทกใส่หนามปฐพีจนเกิดการระเบิดในทันที ส่งผลให้ดินหินแตกเป็นเสี่ยงจนกลายเป็นธุลีพวยพุ่งออกมา
จางเหิงบังเกิดความยินดี แต่ก่อนเขาจะทันได้หัวเราะออกมาเสียงดัง หนามอันหนึ่งกลับโผล่ขึ้นมาจากใต้เท้า ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอจึงทำให้เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ จึงทำได้เพียงเฝ้ามองหนามโผล่ขึ้นมาจากข้างใต้เท่านั้น
เขาหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“ไม่…”
โชคดีที่การโจมตีด้วยหนามปฐพีเพียงเฉียดเป้าของเขาจนถากเข้าที่ต้นขาเท่านั้น ไม่ได้แทงทะลุร่างของเขาแต่อย่างใด ถึงกระนั้นจางเหิงยังหวาดกลัวจนร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว
กลิ่นฉุนหนึ่งค่อยลอยฟุ้งออกมา
ภายในธุลี หวังฝูปัดฝุ่นกับก้อนกรวดตามร่างกายแล้วเดินออกมา แม้สภาพจะดูไม่จืด แต่เนื่องจากเขาเอาชนะจางเหิง มันจึงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
ใช้ปัญญาควบคู่กับกำลังของตัวเอง
“จางเหิง เจ้าแพ้แล้ว…”
จางเหิงยังคงเงียบ ความเปียกชื้นใต้เป้าทำให้เขาอับอาย กระนั้นส่วนลึกในดวงตากลับกลายเป็นสีแดง
ฟู่! เพี้ยะ!
ลมกระโชกแรงหอบหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตบที่คมชัด ร่างของหวังฝูกระเด็นออกมาขณะศีรษะครึ่งหนึ่งชาด้าน ส่วนหูเกิดเสียงอื้ออึงจนแทบจะระเบิดออกมา
“เจ้า…”
หวังฝูเดือดดาล
“เจ้าพูดเรื่องอะไร… จางเหิงแพ้งั้นหรือ? การที่เขาแพ้ไม่ได้แปลว่าข้าแพ้เสียหน่อย!” จูเจิ้นมีท่าทีหยิ่งทะนงขณะก้มมองหวังฝูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้หวังฝูรอดไปอย่างง่ายดาย
“เจ้าไม่ทำตามกฎ!” หวังฝูยืนขึ้นในสภาพตัวสั่นเทาขณะโลหิตไหลออกจากปาก
“กฎหรือ? ข้าคือคนตั้งกฎที่นี่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องกฎกับข้า? เหลวไหลสิ้นดี” จูเจิ้นยิ้มหยัน “นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าต้องขนน้ำสองร้อยถังมาให้ข้า หากขาดตกแม้แต่ถังเดียวข้าจะตบเจ้าให้ดู”
“เป็นไปไม่ได้!” หวังฝูตะโกนเสียงดัง
“เป็นไปไม่ได้หรือ? เหอะเหอะ… ซุนเสียน เถียนจื้อ ทำให้มันพิการเพื่อข้า”
ทั้งสองคนที่กำลังชมการแสดงต่างมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย ทว่าพวกเขามีแต่ต้องลงมือ หาไม่แล้วพวกเขาจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรหากจูเจิ้นมาคิดบัญชีทีหลัง
“ทำให้ข้าพิการหรือ? ถ้าอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องตายกันหมดนี่แหละ!”
หวังฝูเผยสีหน้าคลุ้มคลั่งขณะระงับความเจ็บปวดในศีรษะที่กำลังจะระเบิดออกมา จากนั้นจึงขยับมือเพื่อสร้างผนึกพร้อมกับปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา แล้วหนามปฐพีหนาอันหนึ่งจึงปรากฏขึ้นที่สุดขอบของทุ่งวิญญาณ มันอยู่ห่างจากสมุนไพรวิญญาณในทุ่งวิญญาณเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น
ซุนเสียนกับเถียนจื้อหยุดทันทีก่อนจะอุทานออกมา “เจ้าจะทำอะไร?”
“ทำอะไรหรือ? พวกเจ้าอยากทำให้ข้าพิการ เพราะงั้นข้าจะทำลายทุ่งวิญญาณที่นี่ ทำลายสมุนไพรวิญญาณพวกนี้ อย่างเลวร้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตาย ในเมื่อต้องตายอยู่แล้ว ข้าก็อยากรู้นักว่าสำนักขนนกร่วงโรยจะเหมารวมพวกเจ้าเพื่อทำการลงโทษพร้อมกับข้าด้วยหรือไม่!”
หวังฝูหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะที่เจือด้วยโลหิตยิ่งฟังดูน่าขนลุกยิ่ง “รวมหัวกันกลั่นแกล้ง ทำให้ทุ่งวิญญาณกับสมุนไพรวิญญาณเกิดความเสียหาย พวกเจ้ากล้ารับข้อกล่าวหานี้ร่วมกับข้าหรือไม่? พวกเจ้ากล้าหรือเปล่า!”
ซุนเสียนกับอีกคนต่างหลั่งเหงื่อเย็นบนหน้าผาก พวกเขาย่อมไม่กล้าอยู่แล้ว
แล้วสายตาจึงหันไปทางจูเจิ้น
จูเจิ้นขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าหวังฝูจะคิดใช้ไม้นี้ หากไม่ได้ทำจริงพวกเขาก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาอยู่ที่กรณีทำต่างหาก หากทุ่งวิญญาณกับสมุนไพรวิญญาณถูกทำลายขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องโดนลงโทษสถานหนักหากเบื้องบนลงมาตรวจสอบ ต่อให้เขามาจากตระกูลผู้ฝึกตนเป็นเซียนก็ไม่สามารถหนีรอดจากความรับผิดชอบนี้ได้
“เจ้าหนู เจ้าแน่มาก” จูเจิ้นกำหมัดแน่นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้ในหุบเขาร้อยหญ้า “อย่าให้ข้ามีโอกาสเชียว…”
“ไป!”
จูเจิ้นไม่เสียเวลาพูดอีกขณะพาสามคนที่เหลือออกจากบ้านของหวังฝู ส่วนหวังฝูเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวราวกับพร้อมที่จะใช้วิชาเพื่อทำลายทุ่งวิญญาณทันทีหากอีกฝ่ายไม่ยอมรามือ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้กลับทางเดิมแต่กลับมุ่งหน้าไปยังบ้านไม้ของหวงเจิง หวังฝูจึงเข้าใจว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อจะสร้างปัญหาให้กับหวงเจิง ถึงอย่างไรหวงเจิงก็ไม่ได้ไปทำภารกิจมาหกถึงเจ็ดวันแล้ว
ช่างน่าเสียดาย พวกเขาคงไม่มีวันได้พบกับหวงเจิงอีกแล้ว
ผ่านไปสักพัก ทั้งสี่คนจึงออกจากบ้านไม้ของหวงเจิง หวังฝูยังคงได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยันบางส่วน ในระหว่างนั้นจางเหิงมองหวังฝูอยู่ไกลลิบ แม้จะอยู่ไกลกัน แต่หวังฝูก็สัมผัสถึงความเกลียดชังของอีกฝ่ายที่มีต่อตัวเองได้
“เกลียดข้าหรือ? เหอะเหอะ… หากไม่ใช่เพราะตอนนี้จังหวะไม่อำนวย เจ้าได้ถูกหนามปฐพีแทงไปนานแล้ว แต่ถ้าปล่อยเอาไว้ก็คงกลายเป็นอุปสรรคเช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าอย่าปล่อยให้ข้ามีโอกาสก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าร่างของทั้งสี่หายไปแล้ว ในที่สุดหวังฝูจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะนั่งลงกับพื้นในสภาพหมดแรง ศีรษะของเขายังคงเจ็บปวดแสนสาหัสจนอดไม่ได้ที่จะสาปส่งอยู่ในใจ เขาไม่คาดคิดว่าจูเจิ้นจะเล่นทีเผลอ
“การฝึกตนเป็นเซียนไม่ใช่เพียงความปรารถนาอันเรียบง่ายที่หลุดออกมาจากปากคนธรรมดา มีเพียงผู้เข้ามาอยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะสามารถสัมผัสกับอันตรายได้… แต่ในเมื่อเริ่มต้นเส้นทางนี้แล้วก็ไม่มีโอกาสหันหลังกลับอีก”
หวังฝูหยิบหยดของเหลววิญญาณออกมาหนึ่งหยดแล้วกลืนเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มขัดเกลาอยู่ข้างทุ่งวิญญาณ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา สภาพของหวังฝูจึงฟื้นคืนเต็มที่
หลังจากเก็บกวาดสนามรบแล้ว หวังฝูจึงเดินรอบทุ่งวิญญาณพร้อมกับทำภารกิจของวันนี้จนเสร็จ ส่วนเรื่องการขนน้ำหรือ? แน่นอนว่าไม่ทำ แต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้หม้อขนาดเล็กเพื่อกลืนกินแก่นของทะเลสาบวิญญาณกระจ่าง
ด้วยสภาพของขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองในตอนนี้ ทำให้ถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือแห่งหุบเขาร้อยหญ้า ขอเพียงไม่ไปหาเรื่องจูเจิ้นก็สามารถไปที่ไหนก็ได้
ทว่าผ่านไปหนึ่งถึงสองเดือนแล้วจูเจิ้นก็ไม่เพ่งเล็งเขาอีก เมื่อนั้นหวังฝูจึงรู้สึกสบายใจ
แต่ละวันมีเวลาฝึกฝนเพียงพอ ซึ่งการฝึกฝนของหวังฝูพัฒนาอย่างมั่นคงด้วยการสนับสนุนจากของเหลววิญญาณ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือวิชาปฐพีหลบลี้ยังคืบหน้าไม่มากนัก
ต่อให้หวังฝูขุดหลุมลึกเพื่อกลบฝังตัวเองก็ตาม
จนกระทั่งวันนี้ เขากำลังนอนอยู่บนพื้นดินขณะฝันกลางวัน ขณะมึนงงอยู่นั้นก็รู้สึกว่าดินรอบนิ้วอ่อนนุ่มผิดปกติราวกับมีน้ำไหลผ่าน ส่วนฝ่ามือครึ่งหนึ่งได้ยื่นออกไปสัมผัสมัน
เขาพลันได้สติขึ้นมา
ชั้นพลังวิญญาณสีเหลืองอมน้ำตาลพันรอบนิ้วทั้งห้า…
“ฮ่าฮ่าฮ่า... สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว…”
[1]: ต่อสู้กันจนตายทั้งสองฝ่าย