ตอนที่ 17: ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง
ตอนที่ 17: ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง
“เจ้า… ทำไมถึง…”
หวงเจิงมองหนามที่ยื่นออกมาจากหน้าอกด้วยความไม่อยากเชื่อ โลหิตไหลออกมาจากปากของเขาพร้อมกับเศษชิ้นส่วนของอวัยวะภายใน
“เหตุใด… เหตุใดเจ้าถึงใช้… วิชาได้…”
“เพราะข้าเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน” หวังฝูเดินเข้ามาขณะระงับความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนเอาไว้
“ไม่ เป็นไปไม่ได้…”
ดวงตาของหวงเจิงเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนเขาจะทันได้เอ่ยคำจบก็เอียงศีรษะแล้วสิ้นลมหายใจ
“อึ่ก…”
หวังฝูมองใบหน้าของหวงเจิงซึ่งไร้ชีวิตและซีดเผือด แล้วในที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา เขาฆ่าคนไปแล้ว ขนาดตอนอยู่หมู่บ้านอู๋ถงยังต้องซ่อนตัวให้ไกลจากเพื่อนบ้านที่ฆ่าหมูและไก่ แต่ตอนนี้เขากลับฆ่าคนไปเสียแล้ว
เขานั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้นด้วยสภาพหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุดหย่อน แม้จะเป็นการป้องกันตัว แต่ก็ยังฆ่าคนไปอยู่ดี หากเกิดการฆ่าในสำนักขนนกร่วงโรยขึ้นมาแล้วโดนสาวถึงตัวขึ้นมา อย่างน้อยการลงโทษสถานเบาสุดยังเป็นการยกเลิกการฝึกตน
“จะให้ใครรู้เรื่องไม่ได้” หวังฝูสงบสติอารมณ์
เขามองรอบข้างอย่างระมัดระวัง มันทั้งมืดและเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่แถวนี้
หลังจากระงับอาการคลื่นไส้ได้แล้ว หวังฝูจึงเริ่มเก็บกวาดรอบข้าง
จนกระทั่งตกดึกถึงจะซ่อมแซมที่ดินรกร้างกับบ้านไม่ได้สำเร็จ เหตุผลหลักมาจากคราบโลหิตยากที่จะจัดการได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้วิชาหนามปฐพีเพื่อทำการปกปิดเท่านั้น ต่อมาก็เป็นร่างของหวงเจิง ร่างดังกล่าวเด่นชัดเกินกว่าจะฝังไว้หน้าประตู หากถูกพบขึ้นมาจะต้องโดนสาวถึงตัวเป็นแน่
“ต้องฝังให้ไกลโดยใช้ประโยชน์จากเดือนมืดกับลมแรง… เฮ้อ ถ้าสามารถฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้ได้ก็คงซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ไม่ว่าหายังไงก็คงไม่เจอ”
ในตอนนี้ หวังฝูกระตือรือร้นที่จะฝึกฝนวิชาปฐพีหลบลี้ให้สำเร็จ
เมื่อหวังฝูกำลังคิดว่าจะฝังไว้ที่ไหนอยู่นั้น หม้อขนาดเล็กบนหน้าอกกลับพลันปรากฏขึ้นก่อนจะกลายเป็นวัตถุจับต้องได้ แรงดูดเฉพาะตัวกลุ่มหนึ่งมาจากปากหม้อ แล้วกลุ่มแสงสีเลือดจึงปรากฏจากร่างของหวงเจิงก่อนจะไหลหลั่งเข้าสู่หม้อดังกล่าว สภาพของมันไม่ต่างจากแก่นที่อยู่ในทะเลสาบวิญญาณกระจ่าง
“นี่มัน…”
หวังฝูเบิกตากว้างขณะทำได้เพียงยกมือขึ้นเพื่อถือหม้อขนาดเล็กเอาไว้ จากนั้นมองดูร่างของหวงเจิงหดลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนกระทั่งแห้งเหือด
ผ่านไปสักพัก แรงดูดหายไป แล้วหวังฝูจึงล้มลงกับพื้น
ขณะมองหวงเจิงที่เกือบจะกลายเป็นเนื้อแห้งจนไม่สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้อีกต่อไป ความคิดแรกของเขาคือหม้อขนาดเล็กคืออาวุธชั่วร้ายจนเกือบจะโยนทิ้งไป หวังฝูไม่สามารถยอมรับความจริงที่มันกลืนกินเลือดเนื้อมนุษย์จนกลายเป็นแก่นวิญญาณ
นั่นคือมนุษย์
“เฮ้อ จัดการกับร่างก่อนแล้วกัน”
ร่างที่แห้งเหี่ยวไม่แตกต่างจากกิ่งไม้แห้ง มันสามารถหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้เพียงแค่เตะครั้งเดียว ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าจะจัดการได้ยาก
หวังฝูฝังพวกมันทีละชิ้น บางชิ้นถึงกับถูกฝังไว้ในทุ่งวิญญาณ
หลังจากนอนไม่หลับทั้งคืน ช่วงเช้าหวังฝูก็พบหยดของเหลววิญญาณหลายสิบหยดกับไข่มุกสีแดงอ่อนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกองอยู่ในหม้อขนาดเล็กอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงตกอยู่ในห้วงความคิด
เขากำลังดิ้นรน
การทิ้งหม้อขนาดเล็กย่อมเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเพียงอาวุธชั่วร้าย ขอเพียงตัวเขาไม่ใช่คนชั่ว สิ่งที่เขากังวลคือไข่มุกสีแดงอ่อนที่ดูเหมือนยาเม็ด มันคือแก่นเลือดเนื้อกับพลังวิญญาณของหวงเจิง
“หม้อใบน้อยเอ๋ยหม้อใบน้อย แกสร้างปัญหาให้ข้าไม่น้อย เหตุใดถึงต้องดูดกลืนแก่นเลือดเนื้อของหวงเจิงด้วย นี่คือมนุษย์ แกจะให้ข้ากินเข้าไปได้อย่างไร? แบบนี้มีหวังถูกเรียกว่ามนุษย์กินคนเป็นแน่
หวังฝูไม่อยากกินเนื้อและดื่มเลือดมนุษย์
แสงเจิดจ้ากะพริบไปมาราวกับหม้อขนาดเล็กเข้าใจคำพูดของหวังฝู แล้วสีของไข่มุกค่อยจางลงจนเหลือเพียงวงแสงบริสุทธิ์ประหนึ่งน้ำ ไม่มีร่องรอยของสีสันแต่อย่างใด
“แก่นพลังวิญญาณ... เหอะหอะ... ข้านึกแล้วว่าแกมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ช่วยข้ารักษาบาดแผลในคืนนั้น” หวังฝูถือหม้อขนาดเล็ก “แกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าแกจะเป็นอาวุธชั่วร้ายหรืออาวุธธรรมดา ขอเพียงแกไม่สร้างเรื่องให้กับข้า ข้าก็จะไม่สร้างเรื่องให้กับแกเช่นกัน”
หวังฝูมีสีหน้าจริงจัง
หม้อขนาดเล็กตอบรับอย่างแผ่วเบา
“แต่หลังจากนี้แกห้ามกลืนกินแก่นเลือดเนื้อมนุษย์ ข้าเป็นมนุษย์เหมือนกัน ถึงจะฆ่าคนได้ แต่ก็ไม่สามารถกินเนื้อดื่มเลือดมนุษย์ได้”
หม้อขนาดเล็กยังคงไม่ขยับ
หลังจากทานมื้อเช้า หวังฝูได้อาศัยประโยชน์จากแสงกลางวันเพื่อตรวจสอบพื้นที่รอบบ้านไม้อย่างละเอียด เมื่อไม่พบความผิดปกติจึงไปทำภารกิจของวันนี้ให้เสร็จสิ้น
ยาเม็ดพลังวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากหม้อขนาดเล็กที่กลืนกินแก่นทั้งหมดจากร่างของหวงเจิงเข้าไปบริสุทธิ์และทรงพลังยิ่งกว่าปราณวิญญาณที่อยู่ภายในของเหลววิญญาณ ยิ่งกว่านั้นแก่นพลังวิญญาณขัดเกลาง่ายกว่าปราณวิญญาณฟ้าดิน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หวังฝูต้องใช้เวลาสี่วันสี่คืนโดยไม่ได้หลับนอนกว่าขัดเกลายาเม็ดพลังวิญญาณได้ในที่สุด ในเวลาเดียวกันก็เข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองซึ่งเร็วกว่าการฝึกฝนปกติหลายเดือน
หลังจากใช้เวลาในการรวบรวมพลังการฝึกฝน หวังฝูจึงไม่ได้ไปทะเลสาบวิญญาณกระจ่างเพื่อตักน้ำถึงห้าวัน
จากนั้นปัญหาจึงมาเคาะถึงหน้าประตู
พวกจูเจิ้นทั้งสามมาหาอีกครั้ง
“หวังฝู ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ตัวบ้านไม้ไม่เก็บเสียงแต่อย่างใด น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของจางเหิงจึงทะลวงเข้าหูของหวังฝู
“เข้ามาสิ” หวังฝูไม่หวาดกลัว การที่เขาไม่ไปตักน้ำเป็นเวลาห้าวัน นอกจากเป็นเพราะการฝึกฝนแล้ว เขายังมีอีกจุดมุ่งหมายอยู่ นั่นก็คือการทดสอบความอดทนกับความแข็งแกร่งของพวกจูเจิ้นไปพร้อมกัน
ตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักขนนกร่วงโรยอีกแล้ว การอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองทำให้เขามั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรจูเจิ้นย่อมไม่กล้าฆ่าเขาอย่างโจ่งแจ้งเป็นแน่
ขณะผลักประตูออกไป หวังฝูเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง
“หวังฝู เจ้าไม่อยากอยู่ในสำนักขนนกร่วงโรยอีกแล้วห…” จางเหิงผู้เดือดดาลกำลังจะเข้าไปเล่นงานหวังฝู แต่กลับถูกจูเจิ้นห้ามเอาไว้ “ไม่ต้องห่วง ศิษย์น้องหวังของพวกเราไม่ใช่มดปลวกที่เจ้าเคยเตะอีกต่อไปแล้ว”
จูเจิ้นมองเพียงปราดเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณรอบข้างหวังฝู
“ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง… คาดไม่ถึงว่าในเวลาอันสั้นจะเปลี่ยนจากมนุษย์ไปเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง ดูท่าว่าศิษย์น้องหวังจะเข้ากันได้ดีกับ”วิชาปฐพีปึกแผ่น“สินะ”
“ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองหรือ? เป็นไปได้อย่างไร!” จางเหิงตกตะลึง เขามองอย่างละเอียดก่อนจะพบว่าร่างของหวังฝูเต็มไปด้วยความผันผวนพลังวิญญาณที่ทัดเทียมกับตัวเอง นั่นก็คือขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง
อีกสองคนตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายได้ แล้วหวังฝูมาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่? อย่างมากสุดก็เพียงสองเดือนเท่านั้น
สองเดือนสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง
ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นจึงเผยท่าทีที่จะล่าถอยออกมา
“หวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายจะสบายดี” หวังฝูยิ้มกว้าง พฤติกรรมประหลาดใจของคนอื่นทำให้เขาพึงพอใจยิ่งนัก
“เหอะเหอะ…” จูเจิ้นหัวเราะแผ่วเบา “ไม่เป็นไรงั้นหรือ?”
“พอเห็นว่าไม่เป็นไรแล้ว… น่าเสียดายน่าเสียดาย…”
“น่าเสียดายหรือ?” หวังฝูสับสน
“น่าเสียดายที่ความพยายามเข้าใกล้ข้าของเจ้าช่างไร้ประโยชน์!”
“เอาละ เลิกเสียเวลาดีกว่า เจ้าไม่ได้ทำภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เจ้าในห้าวัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร?” จูเจิ้นเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา “หรือเจ้าคิดว่าจะสามารถเมินคำพูดของข้าได้หลังจากทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสองแล้ว ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยแล้วกัน ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในหุบเขาร้อยหญ้าก็ต้องทำตามกฎของข้า”
หวังฝูขมวดคิ้ว “ไม่มีพื้นที่ให้เจรจาเลยหรือ?”
จางเหิงตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “เจรจาเพื่ออะไร…” บรรยากาศเริ่มมาคุ
“มี!” จูเจิ้นเอ่ยคำ
จางเหิงหันกลับมาด้วยความประหลาดใจกับท่าทีเปลี่ยนไปของลูกพี่ จนกระทั่งเห็นรอยยิ้มของเขา “เอาชนะพวกข้า!”
จางเหิงหัวเราะพร้อมกับกำหมัด จากนั้นมองหวังฝูด้วยสายตาดูถูก “เหอะเหอะ…”
“เอาชนะพวกท่าน…” หวังฝูมองทั้งสี่คน นอกจากจูเจิ้นแล้ว สามคนที่เหลือต่างอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสอง “ได้ งั้นมาสู้กัน”
“จางเหิง เจ้าไปสั่งสอนบทเรียนให้เขาที”
จูเจิ้นพบเก้าอี้ตัวหนึ่งก่อนจะนั่งไขว่ห้างเพื่อเตรียมรับชมการแสดงอย่างใจจดใจจ่อ
“เหอะเหอะ ได้เลย”
จางเหิงบิดคอพลางมองหวังฝูด้วยสายตาดูถูก “เจ้าหนู วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เอง”
พลังวิญญาณสีแดงปกคลุมหมัดทั้งสองข้าง แล้วจางเหิงจึงกระโดดสูงก่อนจะกระแทกเข้าที่หน้าอกของหวังฝู ส่วนหวังฝูรีบก้าวถอยออกมาพร้อมกับพลังวิญญาณสีเหลืองอมน้ำตาลที่ปกคลุมช่วงแขน แล้วนิ้วทั้งห้าจึงสร้างผนึกขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมปลดปล่อยวิชาหนามปฐพีทุกเมื่อ
“หลบหรือ? เหอะเหอะ…” แม้การโจมตีจะล้มเหลว แต่จางเหิงยังเย้ยหยันก่อนจะไล่ล่าต่อ