บทที่ 88-89
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 88 ข้อกล่าวหา (III)
"ทุกคนถอย! อย่าแตะต้องนกกระเรียนสีฟ้าห้าธาตุ!" หลานจู้เสวียนหันหลังวิ่งไปหาศิษย์ที่กำลังสกัดเลือดจากซากอสูร "เหมิงฉีรักษาพวกเราไม่ได้ นางหลอกลวง!" นางกรีดร้องพลางดึงศิษย์ที่บาดเจ็บทั้งหมดกลับมา "นางหลอกลวงพวกเรา!"
น้ำเสียงของหลานจูเสวียนเต็มไปด้วยความปิติยินดีและปราศจากความกลัว หากเหมิงฉีโกหกจริงๆ อาการบาดเจ็บของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?! พึ่งพาท่านเจ้าสำนักหรือ?
หลังจากตะโกนออกมา หลานจู้เสวียนก็พลันเงียบเสียงลง ใบหน้างามซีดเผือด นางหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ส่วนเหมิงฉียังคงยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งความยินดีหรือโทสะใดๆ
เหล่าศิษย์ที่ถูกหลานจูเสวียนตะโกนใส่ต่างมองดูเหตุการณ์นี้อย่างงุนงง
สายลมพัดผ่านป่าทำให้ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบ
ทั้งค่ายเงียบกริบและไม่มีใครพูดอะไร
ถ้าเหมิงฉีโกหก แสดงว่านางไม่สามารถรักษาพวกเขาได้ และยิ่งเป็นไปได้ยากที่ท่านเจ้าสำนักและคนอื่นๆ ที่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเถาวัลย์กลืนวิญญาณจะรู้วิธีรักษา
แต่ถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจริงแล้ว จะทำอย่างไร?
ทุกคนต่างมองไปที่เหมิงฉีและหลานจูเสวียน ไม่มีใครปริปาก เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
ลู่ชิงหรันฝืนยิ้ม ถามศิษย์น้องเหมิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "เหตุใดเจ้าจึงปิดบังเรื่องนี้ ศิษย์พี่ที่บาดเจ็บจะทำอย่างไร พวกเขาเจ็บมาสิบวันแล้ว คงมิอาจหาผู้ใดมารักษาทัน"
เหมิงฉีขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเหมิง” ศิษย์หุบเขาชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างลู่ชิงหรันก็เอ่ยขึ้น “ทำไมเจ้าถึงโกหกพวกเรา? เราเสียเวลาไปสิบวันโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้สายเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้ว!” เหล่าศิษย์หุบเขาชิงเฟิงพยักหน้าเห็นพ้อง พวกเขาได้ยินกับหูตนเองว่าผู้อาวุโสซุนเหยียนดุว่าหัวหน้าสำนักและหลานจูเสวียนจนแทบไม่มีที่ยืน ทำให้พวกเขาขายหน้าไปด้วย บัดนี้เมื่อเห็นเหมิงฉีจนมุม พวกเขาอดสะใจเล็กๆ มิได้ เพราะอย่างไรเสีย ก็มิใช่พวกเขาที่ต้องเจ็บตัว
ศิษย์อีกคนเอ่ยขึ้น "ใช่แล้ว ศิษย์น้องเหมิง หากเจ้าบอกแต่แรกว่ามิรู้ พวกเราอาจหาแพทย์คนอื่นมารักษาทัน เหตุใดจึงทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาเช่นนี้"
“ใช่ ใช่…”
เหมิงฉียังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อคำกล่าวหาของเหล่าศิษย์ นางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "เรื่องรักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณ แม้ในตำราจะมิได้บันทึกไว้ละเอียด แต่..."
หลานจูเสวียนขัดขึ้นอย่างเหลืออด "พอที ศิษย์น้องเหมิงฉี เจ้าจะหลอกลวงพวกเราไปถึงเมื่อใด! ใช่ ข้ามิควรพูดลับหลังเจ้า แต่ถึงเจ้าจะมิชอบข้า ก็มิควรทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนี้" หลานจูเสวียนชี้นิ้วกล่าวอย่างเดือดดาล "ทำให้ศิษย์ร่วมสำนักมากมายต้องตาย สนุกนักหรือ? ข้าแค่พูดถึงเจ้าไม่ดีสองสามคำ เจ้ากลับต้องการชีวิตข้า! เจ้า...ช่างโหดเหี้ยม!"
เหมิงฉีขมวดคิ้ว มองข้ามหลานจูเสวียนไปยังเหล่าศิษย์ที่บาดเจ็บ "ข้ารักษาอาการบาดเจ็บจากเถาวัลย์กลืนวิญญาณได้ พวกเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่"
เหล่าศิษย์ที่บาดเจ็บต่างหลบสายตาเหมิงฉี ไม่กล้าสบตา แต่แววตาพวกเขาบ่งบอกชัดเจนว่ามิมีผู้ใดเชื่อคำนาง
“ศิษย์น้องเหมิงฉี…” ศิษย์อีกคนถามขึ้นทันที “เถาวัลย์กลืนวิญญาณนี่จัดการยากจริงๆ หรือ?”
“ทำไมข้ารู้สึก…ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง?” ซูจุนโม่พึมพำ ทำไมพวกเขาถึงเริ่มโทษเหมิงฉี?
“มากกว่า ‘ไม่ถูกต้องเสียอีก!” ฉู่เทียนเฟิงแค่นเสียงเย็นชา “นี่คือสิ่งที่คนพวกนี้ถนัดที่สุด เป็นคนโง่เง่า! ไร้สมอง!”
“เจ้า…” ฉู่เทียนเฟิงก้าวไปข้างหน้าและเรียกศิษย์ทั้งสามของวังสวรรค์เฟินเทียนที่ได้รับบาดเจ็บจากเถาวัลย์กลืนวิญญาณเช่นกัน “มาที่นี่”
“ขอรับ!” ศิษย์ทั้งสามเดินไปหาฉู่เทียนเฟิงและคำนับอย่างเคารพ “นายน้อย”
“ข้าเคยได้รับบาดเจ็บและถูกพิษจากสัตว์อสูรระดับห้ามาก่อน และเป็นสหายเต๋าเหมิงฉีที่ช่วยชีวิตข้า ข้าเชื่อมั่นในนาง และเชื่อว่านางจะสามารถช่วยพวกเจ้าได้อย่างแน่นอน” ฉู่เทียนเฟิงมองไปที่เพื่อนศิษย์ของเขา “พวกเจ้าจะเชื่อในตัวข้าหรือไม่?”
“พวกเราเต็มใจเชื่อในตัวนายน้อย” ศิษย์ทั้งสามโค้งคำนับพร้อมกันและกล่าวโดยไม่ลังเล “พวกเราก็เต็มใจเชื่อในสหายเต๋าเหมิงเช่นกัน”
“ดี” ฉู่เทียนเฟิงพยักหน้า ด้วยการโบกมือของเขา เขากล่าวอย่างหนักแน่นกับเหล่าศิษย์ที่ได้รับคำสั่งให้ไปเอาเลือดของนกกระเรียนสีฟ้าห้าธาตุ “ทำการเก็บเลือดต่อไป”
“เหมิงฉี” หลังจากนั้น ฉู่เทียนเฟิงหันไปมองเหมิงฉี “ศิษย์ของวังสวรรค์เฟินเทียน ข้าฝากชีวิตพวกเขาไว้กับเจ้า”
“คุณชายฉู่!” หลานจูเสวียนกรีดร้อง “อย่าไปเชื่อนาง ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเหมิงฉีสมรู้ร่วมคิดกับสัตว์อสูร ไม่เช่นนั้นนางจะรักษาพิษของคุณชายได้อย่างไรในเมื่อนางยังอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ….”
ด้วยเสียง ‘ป๊อก’ เบาๆ ศีรษะของหลานจูเสวียนก็ถูกตีไปด้านข้างทันที นางยืนนิ่งงันอยู่นานด้วยความสับสนและมึนงง จนกระทั่งความเจ็บปวดร้อนแรงแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของนาง นางจึงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเหมิงฉีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ฉินซิ่วโม่ประสานมือไว้ที่หน้าอกและจ้องมองนางอย่างเกียจคร้าน ดวงตาของเขาเย็นชาและมืดมิดเหมือนบ่อเหมันต์ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งลอยอยู่ข้างๆ เขา และลมปราณกระบี่ของเขานั่นเองที่ฟาดใส่หลานจูเสวียนอย่างไร้ความปราณี
“เจ้า?!” หลานจูเสวียนจ้องมองฉินซิ่วโม่ด้วยความโกรธ แต่ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
ฉินซิ่วโม่ยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชา สายตากวาดมองเหล่าศิษย์หุบเขาชิงเฟิง ก่อนจะยิ้มเยาะ "ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี ถึงพวกเจ้าจะมีเวลาสิบห้าวัน ก็ลองดูเถิดว่าจะหาผู้รักษาเถาวัลย์กลืนวิญญาณเจอหรือไม่ หรือแม้แต่จะรู้จักมันได้หรือไม่?" ว่าแล้วเขาก็ก้าวไปข้างหน้า บังเหมิงฉีไว้ด้านหลัง "แต่หากผู้ใดกล้าดูถูกเหมิงฉี ความคมกระบี่ข้าจะเป็นสิ่งที่ฟาดใส่พวกเจ้า!"”
“ไปกันเถอะ” ฉู่เทียนเฟิงพูดกับเหมิงฉี “พวกเราทุกคนในวังสวรรค์เฟินเทียนเชื่อใจเจ้า”
บทที่ 89 ข้อกล่าวหา (IV)
“ไปกันเถอะ” ฉู่เทียนเฟิงพูดกับเหมิงฉี “พวกเราทุกคนในวังสวรรค์เฟินเทียนเชื่อใจและมั่นใจเจ้า”
เสียงของเขาดังก้องกังวาน ทุกผู้คนในที่นั้นได้ยินชัดเจน ด้วยมีท่านฉู่เทียนเฟิงหนุนอยู่เบื้องหน้า และฉินซิวโม่ข่มขู่ด้วยกระบี่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา แม้แต่หลานจูเสวียนก็ได้แต่ขยับปาก เกรงกระบี่ที่ฉิวซิวโม่ควบคุมอยู่
เหมิงฉีไม่สนใจผู้คนในหุบเขาชิงเฟิงอีกต่อไป ก้าวตรงไปยังศิษย์วังสวรรค์เฟินเทียนทั้งสามที่บาดเจ็บ ฉู่เทียนเฟิงกับฉินซิวโม่เดินตาม ระวังภัยรอบด้าน ด้วยวรยุทธ์ของพวกเรา ไม่มีผู้ใดในหุบเขานี้ต่อกรได้ เหล่าศิษย์ได้แต่มองตาม แม้แต่เจ้าสำนักก็มิอาจแตะต้องเหมิงฉีได้
"ไปพักผ่อนก่อนเถิด" ก่อนที่เหมิงฉีจะก้าวเข้าไปในกระท่อม ฉู่เทียนเฟิงแตะแขนอาภรณ์นางแผ่วเบา ชี้ไปยังกระท่อมหลังเล็กอีกหลัง "อีกหลายชั่วยาม ข้าจะมาปลุกเจ้า"
เหมิงฉีส่ายหน้าเบาๆ ก่อนสาวเท้าเข้าไปในกระท่อมที่ศิษย์วังสวรรค์เฟินเทียนพักรักษาตัว กลิ่นคาวเลือดจากนกกระเรียนสีฟ้าห้าธาตุอบอวลคลุ้งไปทั่วทั้งกระท่อม
เหมิงฉีทอดสายตามองศิษย์ทั้งสามที่กำลังแช่ตัวในถังโลหิตเงียบๆ "หลานจูเสวียนนางมิกลัวตายหรือ?" นางขมวดคิ้วงาม หันไปกล่าวกับฉู่เทียนเฟิง เรื่องนี้ทำให้เหมิงฉีฉงนนัก แม้หลานจูเสวียนจะโง่งม แต่เหตุใดอีกฝ่ายจึงกล้ากระโดดออกมาเผชิญหน้ากับนางเช่นนี้?
แม้หลานจูเสวียนจะเคลือบแคลงสงสัย คิดว่าข้าโกหก แต่เหตุใดนางจึงมิแสดงความวิตกกังวลออกมาเลย? หากข้าโกหก ชีวิตของนางและศิษย์ที่บาดเจ็บอื่นๆ ก็ตกอยู่ในอันตรายมิใช่หรือ?
เหมิงฉีครุ่นคิดมิออก นางกำลังจะอธิบายวิธีรักษาพิษเถาวัลย์กลืนวิญญาณ แต่หลานจูเสวียนกลับไม่ฟัง กลับขัดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวเสียก่อน
ศิษย์พี่ผู้นี้มิใช่คนไม่กลัวตายเป็นแน่ แล้ว...เหตุใดนางจึง...
กลิ่นคาวโลหิตเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ศิษย์ทั้งสามที่แช่อยู่ในถังต่างกัดฟันแน่น ราวกับกำลังทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดแสนสาหัส
เหมิงฉีไม่เคยใช้วิธีนี้กับตนเอง แต่จากที่พอเข้าใจจิ้งจอกซู ทุกคราที่เขาแช่ตัวในโลหิตนกกระเรียนสีฟ้าห้าธาตุ มันจะเป็นช่วงที่พูดมากที่สุด ดังนั้น คงมิใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก
"ดูท่าคนพวกนั้นจะได้รับการรักษาแล้ว" ซูจุนโม่ก้าวเข้ามาในกระท่อมอย่างกะทันหัน กระซิบเสียงแผ่ว "ดูเหมือนศิษย์พี่ลู่ชิงหรันของเจ้าจะหาวิธีรักษาพวกเขาได้แล้ว ตอนนี้คงกำลังวุ่นวายอยู่"
"อืม" เหมิงฉีตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทักษะทางวิชาแพทย์ของศิษย์พี่ลู่ชิงหรันเลื่องลือว่าเหนือกว่านาง หากนางยังพออนุมานวิธีรักษาได้ ลู่ชิงหรันย่อมทำได้เช่นกัน
"เมื่อครู่ เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้น?" ซูจุนโม่เอ่ยถามอีกครา "เจ้ากับพวกเขามิใช่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงเป็นศัตรูกับเจ้า? นั่นมัน...ราวกับปฏิบัติต่อศัตรู มิใช่ศิษย์ร่วมสำนัก"
"มิมีสิ่งใด" เหมิงฉีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "อย่างไรก็ไม่สำคัญหรอก อีกไม่นาน พวกเราก็คงไม่ได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแล้ว"
"หา?" ดวงตาของฉู่เทียนเฟิงเป็นประกายระยิบระยับ "ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปวังสวรรค์เฟินเทียนกับข้าแล้วหรือ?"
เหมิงฉีส่ายหน้า " ผู้อาวุโสซุนเหยียนกล่าวถูกแล้ว ข้าคงอยู่ที่สำนักเช่นนี้ต่อไปมิได้" นางอยู่หุบเขาชิงเฟิงก็เพราะผู้อาวุโสเหยียน ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ ด้วยระดับการบ่มเพาะเช่นนี้ การท่องไปในสามภพคงเป็นเรื่องยากยิ่ง
แต่บัดนี้ นางมิได้กังวลอีกแล้ว เมื่อครู่ แผ่นหยกสื่อสารจากแดนเหนือสวรรค์สั่นไหวเบาๆ เป็นสัญญาณจากสัมผัสวิญญาณที่นางได้ทำเครื่องหมายไว้ หมายความว่าสิ่งของที่นางสั่งซื้อจากแดนเหนือสวรรค์มาถึงสถานีถ่ายทอดแล้ว เมื่อนางกลับไปเมืองชิงเฟิง ก็สามารถไปรับได้
เหมิงฉีมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะวิชาแพทย์ แต่ความสามารถในการบ่มเพาะปราณนั้น...ธรรมดาสามัญยิ่งนัก ในชาติก่อน ครั้งที่วิชาแพทย์ของข้ากำลังจะทะลวงสู่ขั้นสี่ การบ่มเพาะปราณของข้ายังคงติดอยู่ที่ขั้นสร้างรากฐาน เป็นอาจารย์ของนางที่ช่วยหาหนทางให้ในภายหลัง
หินวิญญาณ สกุลเงินหมุนเวียนในสามภพ อุดมไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์และมากพลังปราณเท่าใด ยิ่งมีมูลค่าสูงส่ง การบ่มเพาะตนของผู้ฝึกยุทธ แท้จริงแล้วคือการรวบรวมพลังปราณจากสรรพสิ่งรอบกายเข้าสู่ร่างกาย แล้วหลอมรวมเป็นของตนเอง เก็บสะสมพลังปราณทีละน้อย เมื่อพลังปราณที่ร่างกายรองรับได้ถึงขีดจำกัด ผู้ฝึกยุทธก็จะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตเดิม ก้าวสู่ขอบเขตหรือขั้นต่อไปได้
ทว่า การรวบรวมพลังปราณเข้าสู่ร่างกายมนุษย์นั้นมิใช่เรื่องง่ายดาย กล่าวโดยสรุป การบ่มเพาะตนในสถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังปราณอันเข้มข้นและบริสุทธิ์นั้นง่ายกว่า ยิ่งมากยิ่งดี ทว่าสถานที่เช่นนั้นหาได้ยากยิ่งนัก มักถูกครอบครองโดยสำนักใหญ่ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าหินวิญญาณก็อุดมไปด้วยพลังปราณเช่นกัน ทว่า แหล่งกำเนิดของพลังปราณในหินวิญญาณและในผู้ฝึกยุทธนั้นแตกต่างกัน จึงมิอาจดูดซับพลังปราณจากหินวิญญาณได้โดยตรง
อาจารย์ของเหมิงฉีคิดว่าความเร็วในการผู้บ่มเพาะของนางช้าเกินไป และต่อมาก็ได้ออกแบบข่ายพลังใหม่ให้นาง หน้าที่ของข่ายพลังนี้ง่ายมาก คือเปลี่ยนพลังปราณในหินวิญญาณให้เป็นพลังปราณที่ผู้บ่มเพาะสามารถนำไปใช้ผู้บ่มเพาะตนได้โดยตรง
ด้วยข่ายพลังนี้ การบ่มเพาะปราณของเหมิงฉีก็เริ่มรุดหน้าขึ้น ในที่สุด ก่อนที่วิชาแพทย์ของนางจะทะลวงสู่ขั้นสี่ นางก็ประสบความสำเร็จในการสร้างแก่นทองคำ ก้าวเข้าสู่ขั้นแก่นทองคำได้
ทว่า วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับวิธีนี้ล้วนราคาสูงลิบลิ่ว หลังจากได้เกิดใหม่ เหมิงฉีก็ลังเลอยู่บ้างที่จะใช้มัน โชคดีที่เม็ดยาเป่ยหมิงมีราคาสูงกว่าที่นางคาดไว้มากนัก นางจึงสั่งซื้อวัสดุที่จำเป็นสำหรับการวาดและเปิดใช้ข่ายพลังทันที ด้วยวิธีนี้ นางจะสามารถได้รับผลลัพธ์สองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว และแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
เดิมทีเหมิงฉีคิดจะไปยังเมืองเฟิงเทียนก่อนจึงค่อยใช้ข่ายพลังนี้ แต่บัดนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว