บทที่ 48 แผนการของสมาคมสามวีรบุรุษ
บทที่ 48 แผนการของสมาคมสามวีรบุรุษ
หลังจากกลับมาถึงสำนักงาน ซูซินก็เปิดขวดกระเบื้องออกดู ข้างในมีโอสถสีเหลืองอ่อนสิบเม็ด ปล่อยกลิ่นยาเข้มข้นออกมา
แต่เขาเองก็ต้องระวังไว้ก่อน ใครจะไปรู้ว่าหมาป่าเฒ่าตัวนั้นจะยังไม่ยอมแพ้ และแอบทำอะไรกับโอสถพวกนี้หรือไม่?
แต่ถึงจะเอาโอสถพวกนี้ไปถามร้านขายโอสถก็ไม่มีประโยชน์
โอสถที่สำนักยุทธ์ใหญ่ๆ ผลิตขึ้นมา พวกเขาจะรู้จักที่ไหนกัน ใช่ไหม?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูซินก็นึกวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ ทว่าไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า?
เขาเข้าไปในพื้นที่ระบบ แล้วถามระบบว่า “ข้าได้โอสถมาขวดหนึ่ง เจ้าช่วยประเมินให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ระบบตอบว่า “ได้ สิ่งของทุกอย่างที่โฮสต์ได้รับมาจากโลกภายนอก ระบบสามารถตรวจสอบของจริงและของปลอมได้ และให้คะแนนตามระดับดาวของระบบ”
ซูซินยิ้ม นี่มันเรื่องน่ายินดีโดยไม่คาดคิดจริงๆ
ระบบตัวร้ายตัวนี้ยังมีคุณสมบัติแอบแฝงอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ ถ้าซูซินไม่ถาม ระบบก็จะไม่บอกเขา
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยประเมินโอสถขวดนี้ให้ข้าหน่อย ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
บนหน้าจอขนาดใหญ่ของพื้นที่ระบบ ก็ปรากฏภาพโอสถขวดนั้นขึ้นมา พร้อมกับคำอธิบายมากมาย
“โอสถเสี่ยวฮวน(หวนกำเนิดเล็ก) ผลิตโดยวัดเส้าหลิน ทำมาจากสมุนไพรเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าชนิด บวกกับเคล็ดวิชาปรุงยาลับ เป็นโอสถเสริมพลังรุ่นย่อส่วน ตัวยาสามารถเร่งการไหลเวียนของปราณแก่นแท้ในร่างกาย เสริมสร้างพลังลมปราณและเลือดลม ช่วยในการฝึกฝน คะแนนรวมสองดาวครึ่ง”
โลกนี้ก็มีวัดเส้าหลิน แต่ว่าอยู่ไกลจากเขตฉางหนิงแดนใต้แห่งนี้มาก ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอของจากวัดเส้าหลินจริงๆ
ดินแดนรกร้างทางใต้อย่างเขตฉางหนิงแห่งนี้ ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับยุทธภพแดนจงหยวนภาคกลาง ซูซินเคยถามหวงปิ่งเฉิงแล้ว แต่เขาก็รู้แบบงูๆ ปลาๆ
สำหรับพวกเขา เขตฉางหนิงแห่งนี้ก็เป็นโลกทั้งใบแล้ว จะไปสนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นอีกทำไม ใช่ไหม?
ดังนั้น ซูซินจึงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพแดนจงหยวนภาคกลางเพียงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ว่าวัดเส้าหลินเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนา และมีชื่อเสียงมากในยุทธภพ
ในเมื่อโอสถเสี่ยวฮวนนี้ผลิตโดยวัดเส้าหลิน แล้วยังได้คะแนนสองดาวครึ่งจากระบบ ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
ตอนนี้ซูซินเปิดจุดชีพจรไปแล้วหกสิบจุด ด้วยความช่วยเหลือจากโอสถเสี่ยวฮวนสิบเม็ดนี้ เขาคาดว่าตัวเองน่าจะสามารถบุกทะลุขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลางได้ภายในสิบวัน
คนจนเรียนหนังสือ คนรวยฝึกวิทยายุทธ์ คำนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ สินะ?
ถ้าไม่มีโอสถเสี่ยวฮวนขวดนี้ ซูซิ่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการบุกทะลวงขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลาง แต่ตอนนี้เขาสามารถทำสำเร็จได้ภายในสิบวัน
……………………
เซิ่งหลงโหลว(หอมังกรรุ่งเรือง) เจ็ดชั้น ย่านชางเต๋อ ที่นี่คือร้านสุราที่ใหญ่ที่สุดในเขตฉางหนิง แม้ว่าจะมีเงิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติเข้ามาได้
เซิ่งหลงโหลวเจ็ดชั้นแห่งนี้ แต่ละชั้นล้วนต้องมีสถานะและชื่อเสียงมากพอ จึงจะมีคุณสมบัติขึ้นไปได้
ซาเฟยอิง หัวหน้าพรรคเหยี่ยวเหิน ก็มีคุณสมบัติขึ้นไปได้แค่ชั้นหก ส่วนชั้นเจ็ดนี้ ในเขตฉางหนิง มีไม่ถึงสิบคนที่มีคุณสมบัติขึ้นไป
ทว่าตอนนี้ บนชั้นเจ็ดของเซิ่งหลงโหลว กลับมีชายวัยกลางคนสามคนกำลังดื่มสุราอยู่ มองดูผู้คนด้านล่าง
สามพรรคสี่สมาคมแห่งเขตฉางหนิง พรรคเหยี่ยวเหิน พรรคไผ่เขียว พรรคทะเลแม่น้ำ อ่อนแอที่สุด
ส่วนสี่สมาคมก็คือ สมาคมดาบเหล็ก สมาคมเสื้อโลหิต สมาคมวายุศักดิ์สิทธิ์ และสมาคมสามวีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด
ชายวัยกลางคนสามคนนี้ก็คือ หัวหน้าสมาคมทั้งสามคนของสมาคมสามวีรบุรุษ
ในบรรดาสามพรรคสี่สมาคม ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกองกำลังที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าร้อยปี บางกองกำลังสืบทอดกันมาสามสี่รุ่นแล้ว มีเพียงสองกองกำลังที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ อันหนึ่งคือพรรคเหยี่ยวเหิน ส่วนอีกกนึ่งก็คือสมาคมสามวีรบุรุษ
เวลาที่สมาคมสามวีรบุรุษก่อตั้งขึ้นมา น้อยกว่าพรรคเหยี่ยวเหินเสียอีก เพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้น
แต่ในช่วงเวลาเพียงสิบกว่าปี พวกเขาทั้งสามคนก็ทำให้สมาคมสามวีรบุรุษกลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเขตฉางหนิง เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้มีฝีมือและเล่ห์เหลี่ยมไม่ธรรมดา
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องของหัวหน้ากลุ่มเล็กคนใหม่ของพรรคเหยี่ยวเหินหรือยัง?” ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันคนหนึ่งถามขึ้น
เขาคือเมิ่งฉางเหอ หนึ่งในหัวหน้าสมาคมทั้งสามของสมาคมสามวีรบุรุษ รับผิดชอบดูแลบุคลากรของสมาคม และถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้กับลูกน้อง มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาหัวหน้าสมาคมทั้งสาม
ชายร่างผอมแห้งอีกคนหนึ่งมีรอยแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้าเอ่ยขึ้นว่า “อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็สามารถสังหารไต้ชงและเฉินเหล่าต้าของพรรคไผ่เขียวได้ ฝีมือขนาดนี้ไม่ย่อมธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยเอาชนะหลัวเจิ้นของพรรคไผ่เขียวได้อีกด้วย แบบนี้ยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่ หลัวเจิ้นมาจากสำนักคุ้มภัยเหว่ยหยวน อาจารย์ของเขาคือหลินลั่วหยวน ‘หอกวิญญาณสลาย’ หัวหน้าสำนักคุ้มภัยเหว่ยหยวน และเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเสียนเทียนของจริง
ซูซินสามารถเอาชนะหลัวเจิ้นได้ ฝีมือที่เขาแสดงออกมาแน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งกว่านี้แน่นอน”
ชายรอยแผลเป็นคนนี้คือต้วนเซียว หนึ่งในหัวหน้าสมาคมทั้งสาม รับผิดชอบการทำสงครามกับกองกำลังอื่น คล้ายกับห้องโถงสงครามของพรรคเหยี่ยวเหิน
แต่ห้องโถงสงครามเป็นการฝึกฝนคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ วางแผนที่จะเดินเส้นทางชนชั้นสูง ส่วนการทำสงครามของสมาคมสามวีรบุรุษนั้น ต้วนเซียวเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ว่ากันว่าต้วนเซียวเคยเป็นทหารมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญการวางแผนและการจัดทัพเป็นอย่างมาก
หัวหน้าสมาคมคนสุดท้ายอายุน้อยที่สุด ดูเหมือนจะมีอายุเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น สวมชุดบัณฑิต ผิวพรรณดีมาก ดูไม่เหมือนคนในวงการนักเลง แต่เหมือนคุณชายตระกูลขุนนางมากกว่า
คนผู้นี้คือหนิงลั่วจวิน หนึ่งในหัวหน้าสมาคมทั้งสาม ว่ากันว่าเขามาจากตระกูลนักยุทธ์ ทว่าเขาถูกไล่ออกจากตระกูลเพราะทำผิดร้ายแรง
แม้ว่าหนิงลั่วจวินจะมีใบหน้าที่ดูอ่อนโยน แต่เขากลับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาหัวหน้าสมาคมทั้งสาม
หลังจากที่สมาคมสามวีรบุรุษก่อตั้งขึ้นใหม่ๆ หนิงลั่วจวินที่ดูเหมือนคุณชายผู้นี้ เขาได้ใช้ตะขอพรากวิญญาณ สังหารผู้คนในเขตฉางหนิงจนเลือดไหลนองราวกับแม่น้ำ คนที่ตายในมือเขามีมากกว่าร้อยคน
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนเซียว หนิงลั่วจวินก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้ากลับเห็นตรงกันข้าม เล่ห์เหลี่ยมของซูซินผู้นี้ น่ากลัวยิ่งกว่าวิทยายุทธ์ของมันเสียอีก
ซาเฟยอิงเฒ่าผู้นั้นใจแคบยิ่งกว่ารูเข็มมาก ทว่าเขาถึงกับยอมให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กได้ แสดงให้เห็นว่า ซูซินผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เมิ่งฉางเหอเคาะโต๊ะเบาๆ “ไม่ว่าจะพูดยังไง ซูซินคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ข้าตัดสินใจแล้วว่า จะดึงเขามาสมาคมสามวีรบุรุษ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ต้วนเซียวและหนิงลั่วจวินต่างก็พยักหน้า
บทสนทนาแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก การไปดึงตัวคนจากพรรคอื่น ถือเป็นกลยุทธ์หลักอย่างหนึ่งของสมาคมสามวีรบุรุษด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้ว กลยุทธ์ของสมาคมสามวีรบุรษก็คล้ายกับพรรคเหยี่ยวเหิน พวกเขาจะไม่เสียเวลาสอนวิชากำลังภายในให้กับลูกน้องระดับล่าง
แต่สมาคมสามวีรบุรุษทำได้ดีกว่าซาเฟยอิงอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ พวกเขาไม่เคยหวงค่าใช้จ่ายในการดึงตัวคนที่มีความสามารถ
ตอนแรกพรรคเหยี่ยวเหินก็แข็งแกร่งมาก แต่ซาเฟยอิงกลับฆ่าหัวหน้ากลุ่มเล็กไปเกือบครึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง
ถ้าหัวหน้ากลุ่มเล็กเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฝีมือของพวกเขาน่าจะพอๆ กับหลินฝูหูและหัวหน้าห้องโถงอีกสองคน
หัวหน้าสมาคมทั้งสามของสมาคมสามวีรบุรุษมั่นใจในตัวเองมากกว่าซาเฟยอิงมาก ตราบใดที่เป็นคนที่พวกเขาดึงตัวมาได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติหรือสาวงาม หรือแม้แต่วิชายุทธ์ ตราบใดที่เจ้าต้องการ พวกเราก็จะให้!
ด้วยเหตุนี้เอง ฝีมือของสมาคมสามวีรบุรุษจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหมือนหิมะที่กลิ้งไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่
หัวหน้ากลุ่มเล็กของพรรคเหยี่ยวเหินไม่มีใครที่บุกทะลุขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นต้นได้เลย แต่สมาคมสามวีรบุรุษกลับมีหัวหน้ากลุ่มเล็กมากกว่าสามสิบคน ทุกคนล้วนมีฝีมือระดับขอบเขตโฮ่วเทียนขั้นกลางทั้งสิ้น
ตอนนี้ซูซินมีทั้งฝีมือ มีทั้งศักยภาพ แล้วยังอายุน้อยมาก ย่อมถือเป็นเป้าหมายในการดึงตัวของพวกเขาพอดี
หนิงลั่วจวินกล่าวว่า “ดึงตัวได้ แต่จากข้อมูลที่ได้มา ซูซินผู้นี้เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าเดาว่าเขาคงไม่ตอบตกลงง่ายๆ เหมือนกับตอนที่พวกเราไปดึงตัวหลัวเจิ้น เขาก็ปฏิเสธโดยตรง”
เมิ่งฉางเหอยิ้มอย่างมั่นใจ “พวกเขาสองคนไม่เหมือนกัน หลัวเจิ้นอายุมากแล้ว ไม่มีความฝันอะไรมากมาย แค่อยากจะปกป้องพี่น้องของเขาในพรรคไผ่เขียว ใช้ชีวิตที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง แน่นอนว่า เขาย่อมไม่เต็มใจมาเป็นลูกน้องของพวกเราที่สมาคมสามวีรบุรุษอยู่แล้ว
แต่ซูซินยังเด็ก เขามีความทะเยอทะยาน แต่พรรคเหยี่ยวเหินไม่สามารถทำให้ความทะเยอทะยานของเขาเป็นจริงได้ แต่สมาคมสามวีรบุรุษของพวกเราย่อมทำได้!”
หนิงลั่วจวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองส่งคนไปดู งั้น… ให้จางเหิงไป เขามีนิสัยสุขุมเยือกเย็น เหมาะที่จะไปเกลี้ยกล่อมซูซินที่สุด”
เมิ่งฉางเหอขมวดคิ้ว “ตอนนี้จางเหิงรับผิดชอบการค้าขายกับพวกคนเถื่อนอยู่คนเดียว แค่เขานี่แหละที่คุยกับพวกคนเถื่อนในภูเขาได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาไม่ยอมแน่ เปลี่ยนเป็นคนอื่นไปจะดีกว่า”
“งั้นจะให้ใครไป?”
เมิ่งฉางเหอตบมือดังปั๊บ แล้วตะโกนว่า “ฉงเอ๋อร์ เจ้าขึ้นมาหน่อย”
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้น ชายหนุ่มหน้าตาหยิ่งผยองอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเดินขึ้นมา โค้งคำนับให้กับหนิงลั่วจวินและต้วนเซียว “เมิ่งฉงคารวะท่านลุงทั้งสอง”
ในบรรดาหัวหน้าสมาคมทั้งสามของสมาคมสามวีรบุรุษ มีเพียงเมิ่งฉางเหอคนเดียวที่มีบุตรชาย ก็คือเมิ่งฉงที่อยู่ตรงหน้า
“หัวหน้ารอง หัวหน้าสาม ฉงเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อยแล้ว ข้ากำลังจะให้เขามาทำความคุ้นเคยกับเรื่องราวในสมาคม ครั้งนี้ก็ให้เขาไปเถอะ” เมิ่งฉางเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หนิงลั่วจวินลังเล “แต่อารมณ์ของฉงเอ๋อร์รุนแรงเกินไป ถ้าไปเจอกับซูซิน เกรงว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ต้วนเซียวที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้า พวกเขารู้จักนิสัยของบุตรชายหัวหน้าสมาคมอันดับหนึ่งดี มีนิสัยเสียเต็มไปหมด เกือบทั้งหมดล้วนถูกตามใจตั้งแต่เด็ก
เมิ่งฉางเหอส่ายหน้า “ฉงเอ๋อร์ย่อมรู้จักหนักเบา”
เขาหันไปดุเมิ่งฉง “เวลาเจอซูซินก็สุภาพหน่อย ตราบใดที่ข้อเสนอที่เขาต้องการไม่เกินไป เจ้าก็ตกลงไปเลย
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในหมู่คนรุ่นเดียวกันในเขตฉางหนิง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีลูกน้องอีกนับพันคน และตลาดอีกหนึ่งแห่ง พวกเราต้องควบคุมคนผู้นี้ไว้ในมือให้ได้”
เมิ่งฉงพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรือไม่?
เมื่อเห็นหนิงลั่วจวินและต้วนเซียวเงียบไม่พูด เมิ่งฉางเหอก็หัวเราะเสียงดัง “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน งั้นครั้งนี้ก็ให้ฉงเอ๋อร์ไปก็แล้วกัน ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเลือกลูกน้องที่ไว้ใจได้สักสองสามคน”
พูดจบ เมิ่งฉางเหอก็ดึงเมิ่งฉงลงไปข้างล่าง ทิ้งให้หนิงลั่วจวินและต้วนเซียวมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“หัวหน้าใหญ่ใจร้อนเกินไปแล้ว เขาอยากจะปูทางให้บุตรชายตัวเอง เขาก็ไม่เห็นต้องเอาผลประโยชน์ของสมาคมมาล้อเล่นแบบนี้เลย!” หนิงลั่วจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ปกติต้วนเซียวเป็นคนพูดน้อย แต่ตอนนี้เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “สมาคมสามวีรบุรุษเคยเป็นของพวกเราสามคน ตอนนี้ก็ยังเป็นของพวกเราสามคน ตราบใดที่พวกเราสามคนยังไม่ตาย สมาคมสามวีรบุรุษก็จะเป็นของพวกเราตลอดไป!
สิ่งที่หัวหน้าใหญ่ทำ ไม่ใช่แค่ใจร้อนเท่านั้น แต่ยังเกินไปอีกด้วย!”