ตอนที่แล้วบทที่ 423: บริษัทชิงหลินน่าเกลียดเกินไป! หลี่ไข่จะไปอยู่ในหนังสือเรียน!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 425: หนังสือแผ่นหินลึกลับ! นี่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?

บทที่ 424: ห้องสมุดเปิดแล้ว! นี่มันดูหมิ่นผู้เล่นใช่มั้ย?


“ผมขอพบศาสตราจารย์หลี่ไข่ก่อนได้มั้ยครับเถ้าแก่ฉิน” ศาสตราจารย์ฟู่สุภาพกับฉินหลินมาก  และยังเป็นมิตรมากอีกด้วย

ตอนเดินทางมานี่เขาได้รู้เรื่องของฉินหลินจากรัฐมนตรีหลู่แล้ว  แถมยังอ่านข่าวของบริษัทชิงหลินทางอินเทอร์เน็ตมาแล้วไม่น้อย

โดยเฉพาะสินค้าที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศตะวันตก  นี่เห็นแล้วบอกเลยว่าโล่งใจเป็นที่สุด

แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องชื่นชมผู้ประกอบการประเภทนี้จากใจจริง

ที่สำคัญอีกฝ่ายยังอายุน้อยและเป็นหนุ่มหล่อที่คนชื่นชมมากซะด้วย

“เดี๋ยวผมโทรเรียกให้ครับ” ฉินหลินหยิบมือถือออกมากดโทรหาหลี่ไข่

หลี่ไข่เมื่อฉินหลินเรียกก็รีบบึ่งมาอย่างไว  และเมื่อเห็นรัฐมนตรีหลู่ก็ประหลาดใจ “ท่านรัฐมนตรีหลู่มาหา  น้องฉินโทรเรียก  แสดงว่ามีธุระกับผมสินะครับ”

รัฐมนตรีหลู่ยิ้มและบอกว่า “มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาอยากขอความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์หลี่ไข่น่ะสิครับ”

พูดพลางแนะนำศาสตราจารย์ฟู่ “คนนี้คือศาสตราจารย์ฟู่  ตอนนี้มีหน้าที่แก้ไขหนังสือเรียนชุดใหม่  เราต้องการข้อมูลรายละเอียดของคุณแล้วใส่ไว้ในแบบเรียนป.ห้า”

“หา!” หลี่ไข่ตกใจทันทีที่ได้ยิน

นี่เป็นเรื่องที่ไม่คิดเลยว่าจะต้องเจอ

จู่ ๆ มาได้ยินว่าตัวเองจะไปอยู่ในหนังสือเรียนแบบนี้ก็เล่นเอาหลี่ไข่ทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่

จากนั้นเมื่อได้สติก็รีบบอกว่า “ศาสตราจารย์ฟู่ครับ  อย่างผมจะไปมีคุณสมบัติอยู่ในหนังสือเรียนได้ไงกันล่ะครับ  นี่คงไม่ได้ล้อผมเล่นหรอกนะ”

ศาสตราจารย์ฟู่เองก็รีบตอบ “ศาสตราจารย์หลี่ไข่  เราต้องเพิ่มบุคคลสำคัญในยุคใหม่ลงไปเพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้  ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติแล้วจะบอกว่าพวกดาราหรือเน็ตไอดอลมีเหรอครับ”

พูดพลางหันมองรัฐมนตรีหลู่  เห็นได้ชัดว่าส่งซิกขอให้ช่วยโนมน้าวให้หน่อย

รัฐมนตรีหลู่รีบโน้มน้าว “การเลือกคุณมาใส่ไว้ในหนังสือเรียนนี้ผ่านการหารือในที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว  คุณน่าจะรู้แล้วนะว่าเหตุการณ์เรื่องตำราเรียนนี้มันหนักหนาสาหัสแค่ไหน  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคุณ”

“คุณคงรู้นะว่าหลังจากที่กระแสของห้องแล็บชิงหลินลดลงเมื่อไหร่  กระแสต่อมาคือเรื่องหนังสือเรียนบัดซบพวกนั้น  ถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรบ้างก็ไม่รู้”

“บางคนจริงจังกับปัญหาหนังสือเรียน  แต่บางคนกลับอยากได้รับความนิยมเลยก่อเรื่องก่อปัญหา  แต่ถ้าคุณให้ความร่วมมือกับศาสตราจารย์ฟู่ล่ะก็  ศาสตราจารย์ฟู่ก็จะสามารถทำงานให้เสร็จล่วงหน้าได้  เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ในสิ่งใหม่และมีสุขภาพจิตดีขึ้น”

“พี่หลี่  ทั้งสองท่านพูดถูกแล้ว  นอกจากเป็นประโยชน์แล้วมันยังช่วยแก้ไขปัญหานี้ที่กำลังจะเกิดในโลกออนไลน์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ด้วย” ฉินหลินเองก็ช่วยโน้มน้าวด้วย

เป็นความจริงที่ว่าหนังสือเรียนในปัจจุบันมีปัญหา  และก็เป็นความจริงที่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปอยู่ในหนังสือเรียนได้

เป็นเรื่องจริงที่ว่ามีชาวเน็ตมากมายพยายามเล่นเรื่องปัญหาหนังสือเรียน  แต่ส่วนใหญ่กลับทำไปเพื่อพยายามเกาะกระแสถึงขนาดตีความเกินจริงเพื่อเรียกร้องความนิยม

นี่คือความสับสนวุ่นวาย

หนังสือเรียนมีบางอย่างผิดปกติจริง  แต่ก็ไม่ได้ผิดไปซะทุกจุดแน่ ๆ

มีคลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นจำนวนมากที่มีปัญหากับประชาชนอย่างชัดเจน  ไม่ใช่กับเนื้อหาของตำราเรียน

ตัวอย่างเช่น  ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมได้โพสต์บทกวี “หย่งเอ๋อ” (ห่านร้องเพลง) โดยมีประโยคหนึ่งว่า “ขนขาวลอยอยู่บนน้ำเขียว  หน้าวัวกวนคลื่นใส!”

ผู้หญิงคนนี้อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา ‘น้ำเขียว’ อย่างจริงจังและสอนเด็กคนนั้นว่าไม่มีน้ำเขียว

อิหยังวะ?

พูดเพื่อ?

แม้ว่าน้ำเขียวจะหมายถึงสภาพของน้ำในขณะนั้นก็ตาม  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวน้ำนั้นต้องเป็นสีเขียว

ยิ่งกว่านั้นบทกวีนี้ไม่มีอะไรผิดรวมถึงคำว่า ‘น้ำเขียว’ ด้วย

ถ้าเลเวลแค่นี้ยังได้รับความนิยมอีกล่ะก็ไม่วุ่นวายสิแปลก

ดังนั้นจึงไม่แปลกในที่ฉินหลินอยากให้พี่หลี่เข้าไปอยู่ในหนังสือเรียน  และจุดประสงค์อีกอย่างคือให้พี่หลี่เป็นแพะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

การเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือเรียนจึงเป็นสิ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมายทุกอย่าง

“ถ้างั้นก็...  โอเค!” เมื่อเห็นฉินหลินพูดแบบนั้นหลี่ไข่ก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้

วันต่อมา

มีผู้คนอีกเพียบได้มาที่คฤหาสน์ชิงหลิน  โดยทั้งหมดเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ฟู่

บางคนคอยถ่ายรูปให้หลี่ไข่  บางคนรวบรวมข้อมูลชีวประวัติกับหลี่ไข่  และบางคนคอยฟังคำอธิบายของหลี่ไข่เกี่ยวกับกระบวนการการทดลอง

จากนั้นพวกเขาจะสรุปสิ่งเหล่านี้และเขียนบทความสำหรับสำหรับนักเรียนป.5 เสร็จแล้วค่อยส่งให้ศาสตราจารย์ฟู่พิจารณาอีกครั้ง

เดิมทีฉินหลินคิดว่าการเขียนบทความไม่ใช่เรื่องยาก  เพราะถึงยังไงคนอย่างเขาแค่เรียงความง่าย ๆ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ

แต่สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่เหมือนอย่างที่เขาคิด  เพราะต้องใช้เวลาไปทั้งวันที่คนเหล่านั้นได้รวบรวมเนื้อหาต่าง ๆ ได้หลายหน้าหลายรอบกว่าที่ศาสตราจารย์ฟู่จะอนุมัติ

วันรุ่งขึ้น  บทความเกี่ยวกับศาสตราจารย์หลี่ไข่ก็ถือกำเนิดขึ้น

ฉินหลินกับหลี่ไข่เองก็ได้อ่านแล้วเหมือนกัน

ตรงกลางของบทความมีรูปภาพประกอบ  เป็นภาพที่หลี่ไข่กำลังคุกเข่าอยู่ในโคลนเพื่อศึกษาพืชผล

สำหรับฉินหลินแล้วภาพนี้ดูคุ้น ๆ

มันภาพตอนโรค SMA ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ  เป็นตอนที่รัฐมนตรีหลู่พาคนมาตรวจสอบหญ้าอโดนาซีและแอบถ่ายภาพพี่หลี่ตอนกำลังสังเกตหญ้าอโดนาซีอยู่

ไม่นึกเลยว่าจะใช้รูปนี้นะเนี่ย

“ศาสตราจารย์หลี่ไข่เกิดในเขตเมืองหมิง  เขามีความสนใจในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และพืชผลอย่างมากตั้งแต่เด็ก  แม้ว่าเขาจะเห็นหญ้าที่บันไดขึ้นห้องเรียนเขาก็ยังสงสัยว่าหญ้านี้เติบโตได้อย่างไร...  ศาสตราจารย์หลี่ไข่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เราควรเรียนรู้และปฏิบัติตาม”

ฉินหลินอ่านไปตกตะลึงไป  ทำไมบทความเกี่ยวกับคนดังถึงต้องเริ่มต้นด้วยชีวิตวัยเด็กด้วยน่ะเนี่ย

หลี่ไข่หน้าแดงเล็กน้อย

เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างในบทความนี้ที่ไม่จริงและสวยงามเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่าควรเรียนรู้และปฏิบัติตาม

จะมาเรียนรู้อะไรกะกู?  เรียน@#@!$$เหรอ?

“ชอบบทความนี้มัยครับศาสตราจารย์หลี่” ศาสตราจารย์ฟู่ถามด้วยรอยยิ้ม

หลี่ไข่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข “เอ่อ...  ผมจะไปเก่งขนาดนี้ได้ยังไงครับศาสตราจารย์ฟู่  ตอนผมยังเด็กจะไปคิดเรื่องแบบนี้ออกได้ยังไงก่อน  ตอนนั้นผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อนที่สนามหญ้าแถมยังโดดเรียนอย่างหนักอีกตะหาก”

ศาสตราจารย์ฟู่จึงถามว่า “ถ้าเราเขียนไปแบบนั้นมันจะดีเหรอครับ  เด็กนักเรียนที่เห็นคุณเป็นไอดอลมาอ่านเข้าไม่คิดว่างั้นเราก็ไม่ต้องเรียนหนังสือ  แค่โดดเรียนไปวิ่งเล่นก็ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ อย่างศาสตราจารย์หลี่ไข่ได้แล้วหรอกเหรอครับ”

“เพราะงั้นบทความจึงไม่ควรเป็นแบบนั้น  แต่สวยงามแบบนี้  หลังจากที่นักเรียนได้อ่านแล้วถึงจะได้เรียนรู้ว่าการรักการคิด  การเรียนรู้  และการศึกษาให้ดีตั้งแต่ตอนนี้เท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาค่อย ๆ โตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกับคุณได้”

“เพราะคุณก็รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถเหมือนคุณนะศาสตราจารย์หลี่  ที่ถึงแม้จะโดดเรียนไปวิ่งเล่นก็ยังโตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจได้  เด็กส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงคนธรรมดาซึ่งต้องเรียนหนักตั้งแต่เด็กเพื่อไขว่คว้าอนาคต”

นี่เป็นคำอธิบายที่หลี่ไข่ไม่สามารถค้านได้เลย

ฉินหลินเองก็ยังคล้อยตามคิดว่ามันสมเหตุสมผล

แต่อันที่จริงแล้วตราบใดที่เราประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดและสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้นักเรียนได้เรียนรู้ได้ล่ะก็  มันไม่สำคัญว่าสมัยเด็กเราจะทำอะไรและบทความนั้น ๆ จะเขียนว่าอย่างไร

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้นักเรียนได้รู้ว่าเพียงทำตามข้อความที่กล่าวไว้และเล่าเรียนให้หนักเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคนเก่ง ๆ ในหนังสือเรียนถึงได้เขียนประวัติกันตั้งแต่สมัยเด็กเลย

ไม่สำคัญว่าคนเหล่านั้นสมัยเด็กจะอะไรยังไง  สำคัญตรงที่ความสำเร็จของคนเหล่านั้นมีจริง  และสามารถใช้ความจริงเพียงบางส่วนมาสอนเด็กได้

นี่คือความหมายของการศึกษาและเป็นความหมายในเชิงบวกด้วย

จนสุดท้ายหลี่ไข่ก็ต้องยอมรับบทความนี้

“ยินดีด้วยนะพี่หลี่  อีกไม่นานก็จะได้เป็นตัวละครในหนังสือเรียนละ” ฉินหลินยิ้มและแสดงความยินดีกับหลี่ไข่  แต่ในใจก็คิดว่าในอนาคตเมื่อนักเรียนได้อ่านบทความเกี่ยวกับพี่หลี่แล้วตัวพี่หลี่จะมีสกิน  เพียบขนาดไหน

ปัจจุบันไม่ใช่แค่ตัวละครในเกมเท่านั้นที่มีสกินมากมาย  ในปัจจุบันคนที่มีสกินมากที่สุดคือคนในหนังสืออย่างหลี่ไป๋  ตู้ฝู่  ฯลฯ

หนังสือของใครก็ตามที่ไม่มีสกินของคนเหล่านี้แสดงว่าสมัยเรียนคนพวกนี้มีข้อบกพร่อง

อย่างเช่นดีเจหลี่ไป๋  มือกระบี่หลี่ไป๋  สิงห์มอไซหลี่ไป๋...

หรือตู้ฝู่แว่นดำ  ตู้ฝู่ดูหรี่  ตู้ฝู่เล่นกีตาร์...

เขาเองก็รอคอยสกินพี่หลี่ในอนาคตอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน

ขณะที่ฉินหลินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้นเองจู่ ๆ ศาสตราจารย์ฟู่ก็พูดขึ้นซะเฉย ๆ เลย “แล้วเถ้าแก่ฉินล่ะครับ  เมื่อไหร่คุณจะมารวมอยู่ในหมวดคนดังยุคใหม่  คุณเองก็เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู๊  มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติมากมาย  บริษัทชิงหลินที่คุณก่อตั้งขึ้นก็ทำให้ประเทศเราเป็นนัมเบอร์วันอีกครั้ง  และยังเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ระบายความโกรธแค้นที่มีต่อไอ้พวกต่างชาติ  คุณเลือกวิชาที่จะลงก่อนเลยน่าจะดีนะ”

“อย่าเลยครับ  ผมไม่ได้ต้องการให้โลกภายนอกรับรู้ถึงตัวตนของผม” ฉินหลินรีบตอบด้วยความตกใจ

จะบ้าเหรอ  ถ้าเข้าไปอยู่ในตำราเรียนล่ะก็ไม่เท่ากับว่าอยากแข่งกับพี่หลี่ว่าใครมีสกินมากกว่ากันน่ะสิ

รัฐมนตรีหลู่ยิ้มและช่วยพูด “ผมว่าคุณกะลังทำให้เถ้าแก่ฉินกลัวอยู่นะศาสตราจารย์ฟู่”

ศาสตราจารย์ฟู่ได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ

เขารู้สึกว่าเถ้าแก่ฉินเหมาะสมที่จะเป็นตัวละครในบทความคนดังยุคใหม่  แต่รัฐมนตรีหลู่ได้บอกกับทางเบื้องบนของตนไว้ก่อนแล้วว่าเถ้าแก่ฉินเป็นพวกชอบเก็บเนื้อเก็บตัวจึงไม่เหมาะที่จะนำมาเข้าร่วมด้วย

หากอยากได้จริง ๆ ก็มีแต่ต้องรอให้สถานะของอีกฝ่ายถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนก่อน

เชื่อว่าถึงตอนนั้นใคร ๆ ก็ต้องตกใจ  เพราะนี่คงเป็นชายหนุ่มที่แซงหน้าบิ๊กบอสไม่ว่าจะแซ่หม่า  เหริน  หลิว...  ไปแล้ว

หลังจากยืนยันบทความของหลี่ไข่เสร็จแล้วศาสตราจารย์ฟู่ก็รีบนำหมู่คณะจากไปทันทีไม่ได้รีรอ

เนื่องจากไม่ได้มีเพียงศาสตราจารย์หลี่ไข่เท่านั้นที่เขาต้องทำบทความ  แต่ยังมีของคนอื่น ๆ อีกหลายคนด้วย

รัฐมนตรีหลู่เองก็กลับเมืองหลวงเช่นกัน  ช่วงนี้เขางานยุ่งสุด ๆ

ในครั้งนี้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตให้แก่เมล็ดพันธุ์ของห้องทดลองชิงหลินไม่เพียงทำให้แผนการคว่ำบาตรของฝ่ายตรงข้ามสูญเปล่าเท่านั้น  แต่ยังเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในภาคเกษตรกรรมภายในประเทศด้วย

ยังมีอีกหลายอย่างที่สามารถทำได้และต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ๆ ในการทำสิ่งเหล่านั้น

บ้านไร่ชิงหลินกลับมาสงบอีกครั้ง  ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตก็กลายเป็นหน้าที่ของห้องทดลองชิงหลินไป  ส่วนตัวฉินหลินนั้นก็ได้มีเวลาว่าง ๆ เป็นการชั่วคราว

สำหรับการแปรรูปเมล็ดพันธุ์ใหม่นั้นเขายังไม่รีบ  เพราะว่ายังมีเมล็ดพันธุ์แปรรูปที่ปลูกไปแล้วแต่ยังไม่โตเต็มที่เหลืออยู่อีกเยอะ

หลังจากที่พืชผลจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เติบโตเต็มที่และได้รับการโปรโมตโดยบริษัทเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอย่างประสบความสำเร็จแล้วเขาถึงค่อยหาข้ออ้างถึงเรื่องเมล็ดพันธุ์แปรรูปชุดใหม่

และแล้วก็ผ่านไปอีกวัน

ฉินหลินตื่นแต่เช้า  หาอะไรกิน  และกำลังจะออกไปข้างนอก  ทว่าจู่ ๆ ก็เห็นว่าเกมมีอะไรผิดปกติ

นายกเทศมนตรีโทมัสมาหาอีกครั้ง

เขาเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าต้องมาเรื่องห้องสมุด  เขาเลยให้ตัวละครเข้าไปกดคุยด้วยและบทสนทนาก็เด้งดังที

[นายอยู่ฟาร์มพอดีเลย  ฉันมาแจ้งให้ทราบว่าห้องสมุดเปิดแล้ว  ในฐานะผู้บริจาคนายต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยนะ  จะมีเกมทายผลที่สนุกมาก!]

โทมัสพูดจบก็รีบวิ่งหายไปเลย

ฉินหลินไม่รอช้ารีบไปที่ห้องสมุดทันที

ตำแหน่งของห้องสมุดแต่เดิมเป็นอาคารที่ปิดไว้  แต่ตอนนี้ประตูของอาคารได้เปิดออกแล้วโดยมีคำว่าห้องสมุดเมืองแร่ดิบเขียนบอกไว้อยู่

เมื่อตัวละครเข้าไปในห้องสมุดก็เห็นว่ามี NPC มากมายจากเมืองมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดห้องสมุด

ฉินหลินให้ตัวละครไปเดินดูรอบ ๆ และแน่นอนว่าได้เห็น NPC แมรี่  เด็กสาวขี้อายสวมแว่นตา

แมรี่เวอร์ชันใหม่สวยและเงียบขรึมกว่าโมเดลตัวละครแมรี่เวอร์ชันเก่า  แต่คนที่เห็นยังไงก็จำได้

ก็นะ  สุดท้ายแล้วเกมฮาร์เวสต์มูนเวอร์ชันเก่าเมียคนแรกของเขาก็คือแมรี่นี่แหละ

เขาให้ตัวละครไปกดคุยกับแมรี่  จากนั้นบทสนทนาก็เด้งขึ้นมา

[ฉันเป็นผู้ดูแลห้องสมุดเมืองแร่ดิบ  วันนี้มีเกมทายผลให้เล่นด้วย  คุณจะเล่นไหม?  หากชนะจะได้รับของรางวัลพิเศษด้วย!]

ฉินหลินกด [เล่น] อยู่แล้ว

เมื่อพูดถึงเกมทายผล  จริง ๆ แล้วมันเป็นคำถามทดสอบความรู้แบบปรนัย  หนึ่งคำถามสี่คำตอบ

แล้วบทสนทนาของแมรี่ก็เด้งอีกรอบ

[จริงเหรอ?  ถ้างั้นก็ตอบให้ได้แล้วเอาของรางวัลไป  มาเริ่มกันเลย!]

[คำถามที่ 1: โทษทีนะ 1 + 1 = ?]

[ก:1, ข:2, ค:3, ง:4!]

“?????” ฉินหลินอ่านคำถามและตัวเลือกแล้วก็ไม่มีคำอื่นจะพูดนอกจาก ‘MMP’ ในใจ  เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะจริงจังดีมั้ย

คำถามในเควสต์ของเกมหมานี่มันจะดูถูกสติปัญญาของผู้เล่นเกินไปแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด