บทที่ 424: ห้องสมุดเปิดแล้ว! นี่มันดูหมิ่นผู้เล่นใช่มั้ย?
“ผมขอพบศาสตราจารย์หลี่ไข่ก่อนได้มั้ยครับเถ้าแก่ฉิน” ศาสตราจารย์ฟู่สุภาพกับฉินหลินมาก และยังเป็นมิตรมากอีกด้วย
ตอนเดินทางมานี่เขาได้รู้เรื่องของฉินหลินจากรัฐมนตรีหลู่แล้ว แถมยังอ่านข่าวของบริษัทชิงหลินทางอินเทอร์เน็ตมาแล้วไม่น้อย
โดยเฉพาะสินค้าที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศตะวันตก นี่เห็นแล้วบอกเลยว่าโล่งใจเป็นที่สุด
แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องชื่นชมผู้ประกอบการประเภทนี้จากใจจริง
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังอายุน้อยและเป็นหนุ่มหล่อที่คนชื่นชมมากซะด้วย
“เดี๋ยวผมโทรเรียกให้ครับ” ฉินหลินหยิบมือถือออกมากดโทรหาหลี่ไข่
หลี่ไข่เมื่อฉินหลินเรียกก็รีบบึ่งมาอย่างไว และเมื่อเห็นรัฐมนตรีหลู่ก็ประหลาดใจ “ท่านรัฐมนตรีหลู่มาหา น้องฉินโทรเรียก แสดงว่ามีธุระกับผมสินะครับ”
รัฐมนตรีหลู่ยิ้มและบอกว่า “มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาอยากขอความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์หลี่ไข่น่ะสิครับ”
พูดพลางแนะนำศาสตราจารย์ฟู่ “คนนี้คือศาสตราจารย์ฟู่ ตอนนี้มีหน้าที่แก้ไขหนังสือเรียนชุดใหม่ เราต้องการข้อมูลรายละเอียดของคุณแล้วใส่ไว้ในแบบเรียนป.ห้า”
“หา!” หลี่ไข่ตกใจทันทีที่ได้ยิน
นี่เป็นเรื่องที่ไม่คิดเลยว่าจะต้องเจอ
จู่ ๆ มาได้ยินว่าตัวเองจะไปอยู่ในหนังสือเรียนแบบนี้ก็เล่นเอาหลี่ไข่ทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่
จากนั้นเมื่อได้สติก็รีบบอกว่า “ศาสตราจารย์ฟู่ครับ อย่างผมจะไปมีคุณสมบัติอยู่ในหนังสือเรียนได้ไงกันล่ะครับ นี่คงไม่ได้ล้อผมเล่นหรอกนะ”
ศาสตราจารย์ฟู่เองก็รีบตอบ “ศาสตราจารย์หลี่ไข่ เราต้องเพิ่มบุคคลสำคัญในยุคใหม่ลงไปเพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้ ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติแล้วจะบอกว่าพวกดาราหรือเน็ตไอดอลมีเหรอครับ”
พูดพลางหันมองรัฐมนตรีหลู่ เห็นได้ชัดว่าส่งซิกขอให้ช่วยโนมน้าวให้หน่อย
รัฐมนตรีหลู่รีบโน้มน้าว “การเลือกคุณมาใส่ไว้ในหนังสือเรียนนี้ผ่านการหารือในที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว คุณน่าจะรู้แล้วนะว่าเหตุการณ์เรื่องตำราเรียนนี้มันหนักหนาสาหัสแค่ไหน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคุณ”
“คุณคงรู้นะว่าหลังจากที่กระแสของห้องแล็บชิงหลินลดลงเมื่อไหร่ กระแสต่อมาคือเรื่องหนังสือเรียนบัดซบพวกนั้น ถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรบ้างก็ไม่รู้”
“บางคนจริงจังกับปัญหาหนังสือเรียน แต่บางคนกลับอยากได้รับความนิยมเลยก่อเรื่องก่อปัญหา แต่ถ้าคุณให้ความร่วมมือกับศาสตราจารย์ฟู่ล่ะก็ ศาสตราจารย์ฟู่ก็จะสามารถทำงานให้เสร็จล่วงหน้าได้ เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ในสิ่งใหม่และมีสุขภาพจิตดีขึ้น”
“พี่หลี่ ทั้งสองท่านพูดถูกแล้ว นอกจากเป็นประโยชน์แล้วมันยังช่วยแก้ไขปัญหานี้ที่กำลังจะเกิดในโลกออนไลน์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ด้วย” ฉินหลินเองก็ช่วยโน้มน้าวด้วย
เป็นความจริงที่ว่าหนังสือเรียนในปัจจุบันมีปัญหา และก็เป็นความจริงที่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปอยู่ในหนังสือเรียนได้
เป็นเรื่องจริงที่ว่ามีชาวเน็ตมากมายพยายามเล่นเรื่องปัญหาหนังสือเรียน แต่ส่วนใหญ่กลับทำไปเพื่อพยายามเกาะกระแสถึงขนาดตีความเกินจริงเพื่อเรียกร้องความนิยม
นี่คือความสับสนวุ่นวาย
หนังสือเรียนมีบางอย่างผิดปกติจริง แต่ก็ไม่ได้ผิดไปซะทุกจุดแน่ ๆ
มีคลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นจำนวนมากที่มีปัญหากับประชาชนอย่างชัดเจน ไม่ใช่กับเนื้อหาของตำราเรียน
ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมได้โพสต์บทกวี “หย่งเอ๋อ” (ห่านร้องเพลง) โดยมีประโยคหนึ่งว่า “ขนขาวลอยอยู่บนน้ำเขียว หน้าวัวกวนคลื่นใส!”
ผู้หญิงคนนี้อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา ‘น้ำเขียว’ อย่างจริงจังและสอนเด็กคนนั้นว่าไม่มีน้ำเขียว
อิหยังวะ?
พูดเพื่อ?
แม้ว่าน้ำเขียวจะหมายถึงสภาพของน้ำในขณะนั้นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวน้ำนั้นต้องเป็นสีเขียว
ยิ่งกว่านั้นบทกวีนี้ไม่มีอะไรผิดรวมถึงคำว่า ‘น้ำเขียว’ ด้วย
ถ้าเลเวลแค่นี้ยังได้รับความนิยมอีกล่ะก็ไม่วุ่นวายสิแปลก
ดังนั้นจึงไม่แปลกในที่ฉินหลินอยากให้พี่หลี่เข้าไปอยู่ในหนังสือเรียน และจุดประสงค์อีกอย่างคือให้พี่หลี่เป็นแพะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
การเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือเรียนจึงเป็นสิ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมายทุกอย่าง
“ถ้างั้นก็... โอเค!” เมื่อเห็นฉินหลินพูดแบบนั้นหลี่ไข่ก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
วันต่อมา
มีผู้คนอีกเพียบได้มาที่คฤหาสน์ชิงหลิน โดยทั้งหมดเป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ฟู่
บางคนคอยถ่ายรูปให้หลี่ไข่ บางคนรวบรวมข้อมูลชีวประวัติกับหลี่ไข่ และบางคนคอยฟังคำอธิบายของหลี่ไข่เกี่ยวกับกระบวนการการทดลอง
จากนั้นพวกเขาจะสรุปสิ่งเหล่านี้และเขียนบทความสำหรับสำหรับนักเรียนป.5 เสร็จแล้วค่อยส่งให้ศาสตราจารย์ฟู่พิจารณาอีกครั้ง
เดิมทีฉินหลินคิดว่าการเขียนบทความไม่ใช่เรื่องยาก เพราะถึงยังไงคนอย่างเขาแค่เรียงความง่าย ๆ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
แต่สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่เหมือนอย่างที่เขาคิด เพราะต้องใช้เวลาไปทั้งวันที่คนเหล่านั้นได้รวบรวมเนื้อหาต่าง ๆ ได้หลายหน้าหลายรอบกว่าที่ศาสตราจารย์ฟู่จะอนุมัติ
วันรุ่งขึ้น บทความเกี่ยวกับศาสตราจารย์หลี่ไข่ก็ถือกำเนิดขึ้น
ฉินหลินกับหลี่ไข่เองก็ได้อ่านแล้วเหมือนกัน
ตรงกลางของบทความมีรูปภาพประกอบ เป็นภาพที่หลี่ไข่กำลังคุกเข่าอยู่ในโคลนเพื่อศึกษาพืชผล
สำหรับฉินหลินแล้วภาพนี้ดูคุ้น ๆ
มันภาพตอนโรค SMA ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ เป็นตอนที่รัฐมนตรีหลู่พาคนมาตรวจสอบหญ้าอโดนาซีและแอบถ่ายภาพพี่หลี่ตอนกำลังสังเกตหญ้าอโดนาซีอยู่
ไม่นึกเลยว่าจะใช้รูปนี้นะเนี่ย
“ศาสตราจารย์หลี่ไข่เกิดในเขตเมืองหมิง เขามีความสนใจในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และพืชผลอย่างมากตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเขาจะเห็นหญ้าที่บันไดขึ้นห้องเรียนเขาก็ยังสงสัยว่าหญ้านี้เติบโตได้อย่างไร... ศาสตราจารย์หลี่ไข่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เราควรเรียนรู้และปฏิบัติตาม”
ฉินหลินอ่านไปตกตะลึงไป ทำไมบทความเกี่ยวกับคนดังถึงต้องเริ่มต้นด้วยชีวิตวัยเด็กด้วยน่ะเนี่ย
หลี่ไข่หน้าแดงเล็กน้อย
เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างในบทความนี้ที่ไม่จริงและสวยงามเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่าควรเรียนรู้และปฏิบัติตาม
จะมาเรียนรู้อะไรกะกู? เรียน@#@!$$เหรอ?
“ชอบบทความนี้มัยครับศาสตราจารย์หลี่” ศาสตราจารย์ฟู่ถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่ไข่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข “เอ่อ... ผมจะไปเก่งขนาดนี้ได้ยังไงครับศาสตราจารย์ฟู่ ตอนผมยังเด็กจะไปคิดเรื่องแบบนี้ออกได้ยังไงก่อน ตอนนั้นผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อนที่สนามหญ้าแถมยังโดดเรียนอย่างหนักอีกตะหาก”
ศาสตราจารย์ฟู่จึงถามว่า “ถ้าเราเขียนไปแบบนั้นมันจะดีเหรอครับ เด็กนักเรียนที่เห็นคุณเป็นไอดอลมาอ่านเข้าไม่คิดว่างั้นเราก็ไม่ต้องเรียนหนังสือ แค่โดดเรียนไปวิ่งเล่นก็ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ อย่างศาสตราจารย์หลี่ไข่ได้แล้วหรอกเหรอครับ”
“เพราะงั้นบทความจึงไม่ควรเป็นแบบนั้น แต่สวยงามแบบนี้ หลังจากที่นักเรียนได้อ่านแล้วถึงจะได้เรียนรู้ว่าการรักการคิด การเรียนรู้ และการศึกษาให้ดีตั้งแต่ตอนนี้เท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาค่อย ๆ โตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกับคุณได้”
“เพราะคุณก็รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถเหมือนคุณนะศาสตราจารย์หลี่ ที่ถึงแม้จะโดดเรียนไปวิ่งเล่นก็ยังโตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจได้ เด็กส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงคนธรรมดาซึ่งต้องเรียนหนักตั้งแต่เด็กเพื่อไขว่คว้าอนาคต”
นี่เป็นคำอธิบายที่หลี่ไข่ไม่สามารถค้านได้เลย
ฉินหลินเองก็ยังคล้อยตามคิดว่ามันสมเหตุสมผล
แต่อันที่จริงแล้วตราบใดที่เราประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดและสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้นักเรียนได้เรียนรู้ได้ล่ะก็ มันไม่สำคัญว่าสมัยเด็กเราจะทำอะไรและบทความนั้น ๆ จะเขียนว่าอย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้นักเรียนได้รู้ว่าเพียงทำตามข้อความที่กล่าวไว้และเล่าเรียนให้หนักเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคนเก่ง ๆ ในหนังสือเรียนถึงได้เขียนประวัติกันตั้งแต่สมัยเด็กเลย
ไม่สำคัญว่าคนเหล่านั้นสมัยเด็กจะอะไรยังไง สำคัญตรงที่ความสำเร็จของคนเหล่านั้นมีจริง และสามารถใช้ความจริงเพียงบางส่วนมาสอนเด็กได้
นี่คือความหมายของการศึกษาและเป็นความหมายในเชิงบวกด้วย
จนสุดท้ายหลี่ไข่ก็ต้องยอมรับบทความนี้
“ยินดีด้วยนะพี่หลี่ อีกไม่นานก็จะได้เป็นตัวละครในหนังสือเรียนละ” ฉินหลินยิ้มและแสดงความยินดีกับหลี่ไข่ แต่ในใจก็คิดว่าในอนาคตเมื่อนักเรียนได้อ่านบทความเกี่ยวกับพี่หลี่แล้วตัวพี่หลี่จะมีสกิน เพียบขนาดไหน
ปัจจุบันไม่ใช่แค่ตัวละครในเกมเท่านั้นที่มีสกินมากมาย ในปัจจุบันคนที่มีสกินมากที่สุดคือคนในหนังสืออย่างหลี่ไป๋ ตู้ฝู่ ฯลฯ
หนังสือของใครก็ตามที่ไม่มีสกินของคนเหล่านี้แสดงว่าสมัยเรียนคนพวกนี้มีข้อบกพร่อง
อย่างเช่นดีเจหลี่ไป๋ มือกระบี่หลี่ไป๋ สิงห์มอไซหลี่ไป๋...
หรือตู้ฝู่แว่นดำ ตู้ฝู่ดูหรี่ ตู้ฝู่เล่นกีตาร์...
เขาเองก็รอคอยสกินพี่หลี่ในอนาคตอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ขณะที่ฉินหลินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้นเองจู่ ๆ ศาสตราจารย์ฟู่ก็พูดขึ้นซะเฉย ๆ เลย “แล้วเถ้าแก่ฉินล่ะครับ เมื่อไหร่คุณจะมารวมอยู่ในหมวดคนดังยุคใหม่ คุณเองก็เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู๊ มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติมากมาย บริษัทชิงหลินที่คุณก่อตั้งขึ้นก็ทำให้ประเทศเราเป็นนัมเบอร์วันอีกครั้ง และยังเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ระบายความโกรธแค้นที่มีต่อไอ้พวกต่างชาติ คุณเลือกวิชาที่จะลงก่อนเลยน่าจะดีนะ”
“อย่าเลยครับ ผมไม่ได้ต้องการให้โลกภายนอกรับรู้ถึงตัวตนของผม” ฉินหลินรีบตอบด้วยความตกใจ
จะบ้าเหรอ ถ้าเข้าไปอยู่ในตำราเรียนล่ะก็ไม่เท่ากับว่าอยากแข่งกับพี่หลี่ว่าใครมีสกินมากกว่ากันน่ะสิ
รัฐมนตรีหลู่ยิ้มและช่วยพูด “ผมว่าคุณกะลังทำให้เถ้าแก่ฉินกลัวอยู่นะศาสตราจารย์ฟู่”
ศาสตราจารย์ฟู่ได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ
เขารู้สึกว่าเถ้าแก่ฉินเหมาะสมที่จะเป็นตัวละครในบทความคนดังยุคใหม่ แต่รัฐมนตรีหลู่ได้บอกกับทางเบื้องบนของตนไว้ก่อนแล้วว่าเถ้าแก่ฉินเป็นพวกชอบเก็บเนื้อเก็บตัวจึงไม่เหมาะที่จะนำมาเข้าร่วมด้วย
หากอยากได้จริง ๆ ก็มีแต่ต้องรอให้สถานะของอีกฝ่ายถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนก่อน
เชื่อว่าถึงตอนนั้นใคร ๆ ก็ต้องตกใจ เพราะนี่คงเป็นชายหนุ่มที่แซงหน้าบิ๊กบอสไม่ว่าจะแซ่หม่า เหริน หลิว... ไปแล้ว
หลังจากยืนยันบทความของหลี่ไข่เสร็จแล้วศาสตราจารย์ฟู่ก็รีบนำหมู่คณะจากไปทันทีไม่ได้รีรอ
เนื่องจากไม่ได้มีเพียงศาสตราจารย์หลี่ไข่เท่านั้นที่เขาต้องทำบทความ แต่ยังมีของคนอื่น ๆ อีกหลายคนด้วย
รัฐมนตรีหลู่เองก็กลับเมืองหลวงเช่นกัน ช่วงนี้เขางานยุ่งสุด ๆ
ในครั้งนี้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตให้แก่เมล็ดพันธุ์ของห้องทดลองชิงหลินไม่เพียงทำให้แผนการคว่ำบาตรของฝ่ายตรงข้ามสูญเปล่าเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในภาคเกษตรกรรมภายในประเทศด้วย
ยังมีอีกหลายอย่างที่สามารถทำได้และต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ๆ ในการทำสิ่งเหล่านั้น
บ้านไร่ชิงหลินกลับมาสงบอีกครั้ง ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตก็กลายเป็นหน้าที่ของห้องทดลองชิงหลินไป ส่วนตัวฉินหลินนั้นก็ได้มีเวลาว่าง ๆ เป็นการชั่วคราว
สำหรับการแปรรูปเมล็ดพันธุ์ใหม่นั้นเขายังไม่รีบ เพราะว่ายังมีเมล็ดพันธุ์แปรรูปที่ปลูกไปแล้วแต่ยังไม่โตเต็มที่เหลืออยู่อีกเยอะ
หลังจากที่พืชผลจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เติบโตเต็มที่และได้รับการโปรโมตโดยบริษัทเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอย่างประสบความสำเร็จแล้วเขาถึงค่อยหาข้ออ้างถึงเรื่องเมล็ดพันธุ์แปรรูปชุดใหม่
และแล้วก็ผ่านไปอีกวัน
ฉินหลินตื่นแต่เช้า หาอะไรกิน และกำลังจะออกไปข้างนอก ทว่าจู่ ๆ ก็เห็นว่าเกมมีอะไรผิดปกติ
นายกเทศมนตรีโทมัสมาหาอีกครั้ง
เขาเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าต้องมาเรื่องห้องสมุด เขาเลยให้ตัวละครเข้าไปกดคุยด้วยและบทสนทนาก็เด้งดังที
[นายอยู่ฟาร์มพอดีเลย ฉันมาแจ้งให้ทราบว่าห้องสมุดเปิดแล้ว ในฐานะผู้บริจาคนายต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยนะ จะมีเกมทายผลที่สนุกมาก!]
โทมัสพูดจบก็รีบวิ่งหายไปเลย
ฉินหลินไม่รอช้ารีบไปที่ห้องสมุดทันที
ตำแหน่งของห้องสมุดแต่เดิมเป็นอาคารที่ปิดไว้ แต่ตอนนี้ประตูของอาคารได้เปิดออกแล้วโดยมีคำว่าห้องสมุดเมืองแร่ดิบเขียนบอกไว้อยู่
เมื่อตัวละครเข้าไปในห้องสมุดก็เห็นว่ามี NPC มากมายจากเมืองมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดห้องสมุด
ฉินหลินให้ตัวละครไปเดินดูรอบ ๆ และแน่นอนว่าได้เห็น NPC แมรี่ เด็กสาวขี้อายสวมแว่นตา
แมรี่เวอร์ชันใหม่สวยและเงียบขรึมกว่าโมเดลตัวละครแมรี่เวอร์ชันเก่า แต่คนที่เห็นยังไงก็จำได้
ก็นะ สุดท้ายแล้วเกมฮาร์เวสต์มูนเวอร์ชันเก่าเมียคนแรกของเขาก็คือแมรี่นี่แหละ
เขาให้ตัวละครไปกดคุยกับแมรี่ จากนั้นบทสนทนาก็เด้งขึ้นมา
[ฉันเป็นผู้ดูแลห้องสมุดเมืองแร่ดิบ วันนี้มีเกมทายผลให้เล่นด้วย คุณจะเล่นไหม? หากชนะจะได้รับของรางวัลพิเศษด้วย!]
ฉินหลินกด [เล่น] อยู่แล้ว
เมื่อพูดถึงเกมทายผล จริง ๆ แล้วมันเป็นคำถามทดสอบความรู้แบบปรนัย หนึ่งคำถามสี่คำตอบ
แล้วบทสนทนาของแมรี่ก็เด้งอีกรอบ
[จริงเหรอ? ถ้างั้นก็ตอบให้ได้แล้วเอาของรางวัลไป มาเริ่มกันเลย!]
[คำถามที่ 1: โทษทีนะ 1 + 1 = ?]
[ก:1, ข:2, ค:3, ง:4!]
“?????” ฉินหลินอ่านคำถามและตัวเลือกแล้วก็ไม่มีคำอื่นจะพูดนอกจาก ‘MMP’ ในใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะจริงจังดีมั้ย
คำถามในเควสต์ของเกมหมานี่มันจะดูถูกสติปัญญาของผู้เล่นเกินไปแล้ว