บทที่ 182 สายเลือดสัตว์อสูรบรรพกาล
“สะท้านขุนเขา!”
หลัวเฉิงไม่คิดถอยแม้เพียงก้าว เขาชกหมัดเข้าใส่หินใหญ่ยักษ์นี้โดยตรงจนแตกกระจายเป็นผุยผง
ด้วยการอาศัยโอกาสจากช่องว่างนี้ งูยักษ์ก็เคลื่อนตัวไปทางกู่หลิงเฟิงและหยวนจื่อหลานทันที
เมื่อมันบรรลุถึง ก็ฟาดหางอันใหญ่โตคล้ายแส้เข้าใส่ทั้งสองอย่างกะทันหัน!
ปัง!
หางงูขนาดใหญ่ที่ฟาดเข้าใส่อย่างไร้ปรานีนี้ สามารถบดขยี้ก้อนหินตามทางจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในพริบตา
“แย่แล้ว! สายลมเคลื่อนเมฆา!”
ใบหน้าของกู่หลิงเฟิงเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาไม่กล้าปะทะกับมันโดยตรง จึงฟาดฟันกระบี่เข้าใส่หางงูยักษ์ หวังจะใช้แรงส่งเพื่อหลบหนี
แต่ทว่าเขาประเมินพลังของงูยักษ์ตัวนี้ต่ำไป
ทันทีที่กระบี่ปะทะเข้ากับหางงู รูปลักษณ์กระบี่ก็โค้งงอจนถึงขีดสุด ท่านใดก็เกิดการบิดสะบัดอย่างแรง
พลั่ก!
พลังมหาศาลนั้น ทำให้กู่หลิงเฟิงถูกซัดกระเด็นไปไกลเจ็ดหรือแปดจั้ง แรงปะทะพานให้เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาขณะที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ
“ฮ่าๆ! ข้าบอกแล้วว่าไอ้หนูนั่นไม่มีทางจะทำได้! แต่พวกเจ้าไม่เชื่อ! ดูซิว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป!”
เมื่อเห็นทั้งสามอยู่ในสภาพน่าอนาถ จั่วฉางซานหัวเราะเยาะออกมาด้วยความสะใจ จากนั้นหันไปกล่าวกับโจวรั่วและคนอื่นๆ
“รอให้พวกเขาดึงดูดความสนใจของงูยักษ์เสียก่อน จากนั้นเราค่อยอาศัยจังหวะเข้าไปเก็บผลหยวนหลิง!”
“ตกลง!”
โจวรั่วและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ขึ้นเรือลำเดียวกับหลัวเฉิง
มิเช่นนั้น เกรงว่าตอนนี้ต้องมีผู้ใดบางคนตายไปแล้วเป็นแน่
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ งูยักษ์เกล็ดดำที่ฟาดหางเข้าใส่กู่หลิงเฟิงจนกระเด็นออกไป ยังไม่คิดหยุดจู่โจม หางอันใหญ่โตของมันถูกยกสูงขึ้นอีกหนประหนึ่งดาบยักษ์ เตรียมฟาดเข้าใส่หยวนจื่อหลาน
หวืด!...
ทันทีที่มันตวัด เสียงหางตัดผ่านอากาศที่หนาแน่นทำให้ห้วงอากาศถูกเขย่า ส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาทดุจดั่งเสียงฟ้าคำรณมิมีผิด!
“จบสิ้นแล้ว!”
หยวนจื่อหลานไร้ซึ่งหนทางหลบหนี ใบหน้าสดใสดั่งลูกท้อของนางยามนี้กลับซีดขาวราวกระดาษ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือยกมือขึ้นป้องกันเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้าย
“ย้ายภูผาเคลื่อนมหาสมุทร!”
ในเสี้ยววินาทีชี้เป็นตาย เงาสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหยวนจื่อหลาน พริบตาก็ชกหมัดเข้าปะทะด้วยพลังอันมหาศาล
ปัง!
หมัดและหางงูปะทะกันอย่างรุนแรง คลื่นอากาศพลันระเบิดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง
หลัวเฉิงถึงกับล่าถอยไปหลายก้าว แต่แขนของเขายังโอบรัดเอวแน่งน้อยของหยวนจื่อหลานไว้แนบแน่น ทันใดก็ขยับฝีเท้าพุ่งไปทางกู่หลิงเฟิงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” หลัวเฉิงเอ่ยถามขณะที่อ้อมแขนค่อยๆ คลายร่างหยวนจื่อหลาน
หยวนจื่อหลานเพิ่งได้สติสัมปชัญญะกลับมา จึงมองเขาพลางสายศีรษะเบาๆ
หลัวเฉิงกำหมัดที่กำลังชาของเขาในยามนี้ พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าเป็นปม
แม้เขาจะรู้ว่างูยักษ์เกล็ดดำขั้นสูงสุดสองดาวตัวนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะแข็งแกร่งได้มากถึงเพียงนี้
กระทั่งหมัดที่ถูกปล่อยอย่างสุดแรงของเขายังมิอาจทะลวงเกราะป้องกันของมันได้ แต่ในทางกลับกันมันเกือบทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ!
“งูยักษ์เกล็ดดำตัวนี้มิใช่ธรรมดาเสียแล้ว ข้าคิดว่ามันน่าจะมีสายเลือดของสัตว์อสูรบรรพกาล! ทางที่ดีพวกเราควรยอมตัดใจเสียดีกว่า!” กู่หลิงเฟิงกล่าวแนะนำ
สัตว์อสูรที่มีสายเลือดสัตว์อสูรบรรพกาล โดยทั่วไปแล้วมันมักจะเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูรในระดับเดียวกัน! ความแข็งแกร่งของมันนั้นสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปมิอาจเทียบได้!
พลังของงูเกล็ดดำตัวนี้ใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเขตแดนลึกลับ ความอันตรายของมันนั้นยากจะประเมินได้!
“สิบลมหายใจ”
หลัวเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
กู่หลิงเฟิงพลันสะดุ้งเฮือก
“จะว่าอะไรนะ?”
“ข้าจะถ่วงเวลางูเกล็ดดำตัวนี้ไว้สิบลมหายใจ เจ้าทั้งสองจงรีบไปเก็บผลหยวนหลิง!”
สิ้นวาจา หลัวเฉิงก็คว้ากระบี่ทลายสวรรค์ของตน แล้วพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับงูยักษ์ตัวนั้นทันที
“เจ้า...”
แม้แต่กู่หลิงเฟิงที่โดยปกติจะเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นดั่งขุนเขา ก็ยังตกตะลึงกับการกระทำของหลัวเฉิง
นี่คือสัตว์อสูรขั้นสูงสุดสองดาว ทั้งยังเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูรอีกต่างหาก!
“ไป! พวกเราไปเก็บผลหยวนหลิงกันเถอะ!”
หยวนจื่อหลานเป็นคนแรกที่ตอบสนอง นางเหยียดปลายเท้าแล้วขยับร่างอรชรกระโดดขึ้นสูง มุ่งหน้าไปยังต้นไม้ขาวที่สูงตระหง่าน
“ช่างเป็นชายที่บ้าบิ่นยิ่งนัก!”
กู่หลิงเฟิงสูดหายใจเข้าลึก และตามหยวนจื่อหลานไปติดๆ
ฟ่อ!
งูยักษ์เกล็ดดำแสยะเขี้ยวคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ แต่ทว่ามันกลับไม่ให้ความสนใจต่อหลัวเฉิงแม้แต่น้อย ยามนี้มันขยับร่างอันใหญ่โตพุ่งไปทางกู่หลิงเฟิงและหยวนจื่อหลาน
“เจ้าสัตว์อสูร! คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”
แววตาของหลัวเฉิงเปล่งประกายสดใส ทันใดก็ทะยานร่างขึ้นสูง กวัดแกว่งกระบี่ทลายสวรรค์ร่ายรำออกไปเป็นประกายแสงเยือกเย็น