ตอนที่ 15: หวงเจิง
ตอนที่ 15: หวงเจิง
ในตอนเช้า หลังจากหวังฝูรับประทานอาหารเช้าแล้วก็ลงไปที่ทุ่งสมุนไพรเพื่อดูว่ามีวัชพืชใหม่ที่ต้องกำจัดทิ้งหรือไม่ ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาถอนวัชพืชในทุ่งสมุนไพรสิบแห่งที่ตัวเองรับผิดชอบซ้ำไปมา ตอนนี้เหลือเพียงตรวจสอบพวกมันวันละครั้งเพื่อดูว่ามีวัชพืชใหม่หรือไม่ ส่วนวัชพืชที่ถูกกำจัดแล้วจะถูกกลั่นเป็นของเหลววิญญาณผ่านการดูดกลืนแก่นของหม้อขนาดเล็ก
“หากสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ถูกกลั่นเป็นของเหลววิญญาณ ผลจะต้องแข็งแกร่งกว่าน้ำในทะเลสาบวิญญาณกระจ่างอย่างแน่นอน…” หวังฝูเลียริมฝีปากขณะมองสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอย่างดีในทุ่งสมุนไพร แต่เขาทำได้เพียงคิดเท่านั้น สมุนไพรวิญญาณที่นี่แต่ละต้นมีรายละเอียดและปริมาณที่เฉพาะเจาะจง หากหายไปแม้แต่นิดเดียวแล้วโดนจับได้ขึ้นมาจะต้องถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส
หลังจากเดินครบรอบแล้วก็ไม่พบวัชพืชแต่อย่างใด หวังฝูจึงเดินกลับไป
เขาเห็นร่างหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังนั่งอยู่หน้าบ้านขณะจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร เมื่อเข้าไปใกล้ หวังฝูจึงขจัดความเกลียดชังในดวงตาก่อนจะเดินเข้าไปหาพร้อมกับฝืนยิ้ม
“หวังฝู ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเปี่ยมด้วยความสามารถ ถึงกับสามารถขนน้ำยี่สิบถึงได้ภายในหนึ่งชั่วโมง นับว่ามีเรี่ยวแรงไม่ธรรมดา”
จางเหิงนั่งขัดสมาธิขณะแตะโต๊ะไม้ด้วยนิ้ว โดยสายตาหรี่เล็กจับจ้องหวังฝูในสภาพที่บอกไม่ได้ว่ายินดีหรือยินร้าย
“ศิษย์พี่จางประเมินสูงเกินไปแล้ว ข้าน้อยไม่มีความสามารถเทียบเคียงกับศิษย์พี่จางได้ จะมีก็แต่อยากทำงานให้เสร็จโดยไวเพื่อจะได้พักผ่อนเร็วขึ้นก็เท่านั้น” หวังฝูลดการวางท่า เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนโดยง่าย สิ่งที่ทำได้มีเพียงอดทนอดกลั้นจนกว่าพละกำลังจะเหนือกว่าอีกฝ่าย
“พักผ่อนหรือ? เหอะเหอะ… ก็แค่อยากฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องปกปิดไปหรอก แต่พวกเจ้าทุกคนโง่เง่าเหมือนกับหมู ไม่ว่าจะฝึกฝนมากแค่ไหนก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกตนได้หรอก สู้ทำงานให้มากแล้วสั่งสมคุณงามความดีไว้ พอถึงเวลาแล้วก็จะได้เงินทองเมื่อลงเขาไปแล้ว เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ” จางเหิงเย้ยหยัน ไม่คิดปกปิดสีหน้าเหยียดหยันที่มีต่อหวังฝูแต่อย่างใด
ปากของหวังฝูกระตุกเล็กน้อย แม้ในใจจะเดือดดาล แต่ภายนอกกลับเห็นพ้องกับอีกฝ่าย “ศิษย์พี่จางพูดถูก”
“อื้ม ในเมื่อเข้าใจง่ายแบบนี้ งั้นนับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าต้องตักน้ำไปที่บ่อน้ำวิญญาณห้าสิบถังทุกวัน คิดว่าไง?” จางเหิงจ้องหวังฝูขณะนิ้วผละออกจากโต๊ะไม้ ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกับพร้อมจะเตะทุกเมื่อหากหวังฝูไม่ตอบตกลง
หวังฝูทราบว่าชายตรงหน้าเป็นคนโหดเหี้ยมและไม่ยอมให้โอกาส เขาทำเพียงก้มศีรษะแล้วพยักหน้า “ศิษย์พี่จางไม่ต้องห่วง น้ำห้าสิบถังนับว่าไม่เกินความสามารถเท่าไหร่”
“เหอะ… เจ้ามีเหตุผลดีนี่” จางเหิงลุกขึ้นขณะหันข้างมองหวังฝู จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน
ขณะมองจางเหิงจากไปด้วยสีหน้าภาคภูมิ หวังฝูกำหมัดจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
หวังฝูเพียงเก็บความอับอายเหล่านี้ไว้ในใจโดยไม่เอ่ยคำที่ไม่จำเป็นมากจนเกินไป
หลังจากเข้าบ้านและหยิบหยดของเหลววิญญาณออกมา หวังฝูจึงเริ่มทำการฝึกฝน เขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในใจแล้ว ในเมื่อขอให้ตักน้ำห้าสิบถังก็เท่ากับมีเหตุผลอยู่ทะเลสาบวิญญาณกระจ่างนานขึ้น ถึงอย่างไรเขาต้องขนน้ำมากกว่าคนอื่นอีกสามสิบถัง ทำให้ต้องมีจังหวะพักผ่อนบ้าง ซึ่งในระหว่างพักก็จะเป็นโอกาสให้เอาหม้อขนาดเล็กใส่ลงไปในทะเลสาบวิญญาณกระจ่าง…
เสียงเคาะประตูเสียงหนึ่งขัดจังหวะการฝึกฝนของหวังฝู
เขาค่อนข้างไม่ยินดี ทำให้ต้องระงับของเหลววิญญาณที่แผดเผาอยู่ในร่างกายชั่วคราว จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วเดินออกไปด้วยสีหน้ามืดมน
เมื่อเห็นใบหน้าแย้มยิ้มของหวงเจิงที่อาจเกิดจากการกดขี่ของจางเหิง เขายิ่งรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
“ศิษย์น้องฝู…”
“ศิษย์พี่หวงมีอะไรหรือ?” หวังฝูเพียงอยากส่งเขากลับไปโดยไวเท่านั้น
“ไม่มีอะไรหรอก แต่ข้าเห็นศิษย์พี่จางเหิงมาที่บ้านเจ้าเมื่อครู่ พวกมันมารังแกเจ้าอีกแล้วหรือ?” หวงเจิงเอ่ยถามด้วยความกังวล
หวังฝูพยักหน้าอย่างจนใจ
หวงเจิงเอ่ยคำต่อทันที “นี่มันมากเกินไปแล้ว เหตุใดพวกมันถึงขอให้เจ้าตักน้ำวันละห้าสิบถังทุกวัน นี่มันมากกว่างานที่คนอื่นทำถึงสองเท่านะ แถมเจ้ายังมีภารกิจอื่นที่ต้องทำอีก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกฝน… ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถดึงลมปราณเข้าร่างกายเพื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนได้เมื่อไหร่…”
หวังฝูเงยหน้าขึ้นพลางหรี่ตามองหวงเจิงที่พูดจาไม่หยุดหย่อน
เขาไม่เคยบอกใครว่าจางเหิงขอให้ขนน้ำห้าสิบถังทุกวัน อีกทั้งเขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปในเวลาอันสั้น… ความเป็นไปได้เดียวก็คือหวงเจิงทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
จางเหิงจะมาขอให้เขาขนน้ำห้าสิบถังโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
หวงเจิงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งหวังฝูคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาล ของเหลววิญญาณที่สั่งสมอยู่ในร่างกายและยังไม่ได้รับการขัดเกลาโดยสมบูรณ์เปรียบได้กับลูกไฟในอก แล้วใบหน้าของเขาจึงดุร้ายขึ้นมา
“หวงเจิง…”
“หืม?”
“เหตุใดท่านถึงทราบว่าจางเหิงขอให้ข้าตักน้ำห้าสิบถังหรือ?” หวังฝูถามเสียงดังขณะจ้องเขม็งอย่างโกรธเคือง
หวงเจิงตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นจึงกลอกตาแล้วเอ่ยคำด้วยรอยยิ้ม “แพร่งพรายมาจากข้างนอกน่ะสิ ข้าเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันนี่แหละ”
“แพร่งพรายหรือ? เหอะเหอะ…” หวังฝูยิ้มหยัน “จางเหิงออกไปนานแค่ไหน? มันจะแพร่งพรายเร็วขนาดนั้นเลยหรือไง? หรือว่าเขาบอกทุกคนที่เจอ? เขาเป็นคนโง่? หรือเจ้าคิดว่าข้าโง่กันแน่?”
หวังฝูขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาคล้ายกับมีเปลวเพลิงพ่นออกมา
หวงเจิงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า… โดนจับได้เสียแล้ว”
“ใช่แล้ว ข้าบอกให้จางเหิงมาจัดการเจ้าเอง ไม่ใช่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ข้ายังเป็นคนรายงานเรื่องคราวที่แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นพวกจูเจิ้นจะทราบหรือว่ามีเด็กใหม่มา? เหอะ… เหตุใดเด็กใหม่เช่นเจ้าถึงได้รับมอบหมายงานง่ายเช่นนี้? ข้ารับไม่ได้!”
“ครอบครัวข้ารับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน แล้วทำไมถึงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ? ส่วนคนชั้นต่ำอย่างเจ้ามีชีวิตที่สุขสบายกว่าข้าได้อย่างไร! ส่วนครอบครัวของจางเหิงยากจน แต่เขาอยากให้พ่อแม่คิดว่ามีชีวิตสุขสบายก็เลยให้ข้ารับหน้าที่เรื่องเขียนจดหมาย เหอะเหอะ…”
“อะไร? อยากมีเรื่องหรือ? เหอะเหอะ… ร่างกายของเจ้าเล็กแค่นี้…” เจตนาแท้จริงของหวงเจิงถูกเปิดโปงออกมา ปราศจากความสัตย์ซื่อเหมือนก่อนหน้า เขาดึงเสื้อตรงหน้าอกของหวังฝูอย่างเย้ยหยันขณะตบหน้าหวังฝู “ถึงข้าจะไม่กล้าขัดขืนพวกจูเจิ้น แต่คิดหรือว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้?”
หวังฝูมองสีหน้าเย้ยหยันของหวงเจิง
“เจ้าพูดถูก ถึงข้าจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้ แต่ก็ยังเอาชนะเจ้าได้ไม่ใช่หรือไง?”
หมัดพุ่งตรงไปที่ท้องของหวงเจิงอย่างแม่นยำ แล้วสีหน้าของหวงเจิงเปลี่ยนไป ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนต้องขดตัวแล้วร้องคร่ำครวญอย่างแผ่วเบา
“เจ้ากล้าต่อยข้า! เจ้าถึงกับกล้าต่อยข้า!” หวงเจิงสูดลมหายใจก่อนจะเผยท่าทีดุร้ายทันที เขาตั้งท่าซึ่งเป็นวิชาหมัดประเภทหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงซัดเข้าที่หน้าของหวังฝู “เจ้าคนชั้นต่ำ คุกเข่าเพื่อข้าซะ!”
ก่อนเข้าสำนักขนนกร่วงโรย หวงเจิงเคยรับใช้ในกองทัพพร้อมครอบครัว ชาวบ้านธรรมดาถึงกับมาโจมตีเขา ดังนั้นเขาต้องให้หวังฝูรู้เสียบ้างว่าตัวเองร้ายกาจแค่ไหน ในเมื่อตอนนั้นถูกจับได้แล้วก็ขอทุบตีให้หนำใจหน่อยแล้วกัน
ขณะมองหมัดที่ตรงเข้ามา หวังฝูสัมผัสได้ว่าความเร็วของหวงเจิงช้ากว่าเล็กน้อย เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งขนขนาดเล็กบนกำปั้นก็ยังปรากฏแก่สายตาของหวังฝู
เขายื่นมือออกไป แล้วหมัดของหวงเจิงจึงพุ่งเข้าที่ฝ่ามือราวกับมีดวงตาเป็นของตัวเอง
จากนั้นฝ่ามือถูกผลักออกไป
กร็อบ!
เสียงกระดูกกระทบกันพลันดังขึ้น
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น หวงเจิงบีบข้อมือขวาด้วยมือซ้ายขณะคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด เขาสัมผัสได้ว่าข้อมือหัก ความเจ็บปวดที่แล่นมาจากช่องว่างของกระดูกทำให้ไม่กล้าขยับเขยื้อน
หวังฝูมองหวงเจิงขณะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปให้พ้น อย่ามายั่วโมโหข้าอีก อย่ามาสร้างปัญหากับข้าเป็นครั้งที่สอง หากพวกจางเหิงรังแกข้า ข้าก็จะมาอัดเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นต้นตอหรือไม่ ข้าไม่อัดจนตายหรอก แต่ต่อให้หักมือหักเท้าไปทางสำนักก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”
“เจ้า…” หวงเจิงยังไม่ยอมแพ้
“ไป ถ้ายังไม่ไปอีกก็เตรียมโดนหักมืออีกข้างได้เลย” หวังฝูเอ่ยคำอย่างเกรี้ยวกราด
หวงเจิงกัดฟันขณะเผยสายตาเกลียดชังอย่างแรงกล้า จากนั้นจึงประคองข้อมือแล้วเดินโซเซกลับไปทีละก้าว
เมื่อเห็นหวงเจิงหายไปจากสายตาแล้ว ในที่สุดหวังฝูจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะหันกลับเข้าบ้าน เขาพิงกับประตูที่ปิดไล่หลังในสภาพหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีเรื่องกับใครสักคน
“นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะแข็งแกร่งจนสามารถทำร้ายหวงเจิงได้ด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว ของเหลววิญญาณที่เกิดจากหม้อใบน้อยช่างน่าอัศจรรย์นัก” หวังฝูกำหมัดที่เปี่ยมด้วยกำลังขณะอุทานออกมา “แต่ตอนใช้ฝ่ามือโจมตีเพราะโทสะเมื่อครู่ ทำเอาเสียของเหลววิญญาณที่ยังไม่ได้ขัดเกลาไปไม่น้อย จึงถือว่ามันไม่ใช่ความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้า”
“ต้องเร่งการฝึกฝนเพื่อดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายโดยไว หากหวงเจิงทำได้ก่อนก็จะต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน”
ด้วยความคิดนี้ หวังฝูจึงทำการฝึกฝนต่ออย่างรวดเร็ว
หลังจากนี้คงสงบและตึงเครียดพร้อมกันเป็นแน่
หวังฝูอาศัยประโยชน์จากการทำภารกิจด้วยการนำหม้อขนาดเล็กใส่ลงไปในทะเลสาบวิญญาณกระจ่างทุกวันเพื่อรวบรวมของเหลววิญญาณจำนวนมาก เขากลืนของเหลววิญญาณที่ถูกกลั่นขึ้นมาทุกวัน ทำให้พละกำลังยิ่งมายิ่งมาก ประสาทสัมผัสยิ่งมายิ่งเฉียบคม สภาพร่างกายยิ่งมายิ่งดี แล้วในที่สุด หนึ่งเดือนต่อมาของคืนหนึ่ง เขาสามารถดึงปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จก่อนจะเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับหนึ่งอย่างเป็นทางการ
กลับกัน หวงเจิงผู้ได้รับบาดเจ็บจากหวังฝูได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ อาจเป็นเพราะความเกลียดชังกับความจริงที่เข้าสำนักมาได้หนึ่งปี แล้วในที่สุดเขาจึงประสบความสำเร็จในการดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายจนกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณระดับหนึ่ง
“หวังฝู เหอะเหอะ… รอข้าก่อนเถอะ… คราวนี้ข้าจะทำลายเส้นทางการเป็นเซียนของเจ้า เด็กใหม่มันจะมาเหนือกว่าข้าได้อย่างไร…”
…