บทที่ 65 เป้าหมายเชิงกลยุทธ์
ช่วงแรกของการจัดระเบียบ กองทัพแนวหน้าใหม่ แวนการ์ด นั้นยากยิ่ง มีจุดความรู้มากเกินไปที่ไม่สามารถอธิบายได้หมดในวันหรือสองวัน แต่เซารอนไม่รีบร้อนหลังจากคนกลุ่มแรกได้รับการฝึกฝนและเข้าใจแล้ว ด้วยความคิดของตนเองที่สืบทอดมาจากกองทัพแนวหน้าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป
การเดินเรือในทะเลค่อนข้างน่าเบื่อจริงๆ นอกเหนือจากการชักดาบฟันกันแล้ว นายกองแนวหน้าก็มักจะไม่มีความบันเทิงอื่นใด ในระหว่างวัน พวกเขาศึกษาปืนคาบศิลาและปืนใหญ่กับวิศวกร ฝึกร่างกายและการต่อสู้ทุกวัน และทำงานร่วมกับพวกกิ้งก่าเป็นครั้งคราวเพื่อจับปลาและทำอาหาร แค่นั้นเอง
ทันใดนั้นเมื่อได้สัมผัสกับชั้นเรียนเปิดของ เซารอน ทุกคนก็เริ่มกระตือรือร้นในการเรียนรู้และตั้งกลุ่มการศึกษาทีละกลุ่ม เมื่อถึงเวลาเย็น พวกเขาก็ย้ายม้านั่งตัวเล็กๆ มารวมตัวกันที่ร้านอาหารเพื่อเรียนภาคค่ำ พวกเขาไม่เพียงแต่ท่อง ศึกษา และส่งเสริมซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่พวกเขายังจดบันทึก และกลับไปยังกลุ่มของตนเพื่อส่งเสริมและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ในบางครั้ง พวกเขาจะพูดบางอย่างเกี่ยวกับ "รวมผู้ถูกกดขี่ของโลกไว้ด้วยกัน" กับมนุษย์กิ้งก่า และเหล่าชายร่างบึกที่กำลังตกปลาอยู่กับพวกเขา พร้อมกับคำว่า อินเตอร์เนชั่นแนล
มันนิยมมากเสียจนเช้าสองสามเช้าเมื่อเซารอนพบปะกับมนุษย์กิ้งก่าระหว่างทาง เขาได้รับการทักทายว่า "ขอให้อินเตอร์เนชั่นแนลปกป้องเจ้า!" นี่ทำให้เขาต้องมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
เรือลำหนึ่งมีขนาดใหญ่มากและมีคนมากกว่าหนึ่งหมื่นคนถูกอัดแน่นอยู่ในนั้น เป็นผลให้คนและกิ้งก่ามาฟังทอล์คโชว์ของเซารอนมากขึ้นในทุกๆ คืน จนท้ายที่สุด ไม่มีที่ว่างในโรงอาหารเหลืออีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงจัดการประชุมบนดาดฟ้าแทน
มันไม่เป็นไรถ้าพวกมนุษย์กิ้งก่าจะมาฟังด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ได้เห็นว่ามนุษย์กิ้งก่าหลายๆ คนมีสิ่งประดับตกแต่งร่างกายที่เหมือนและต่างกัน นี่ทำให้เซารอนค้นพบว่า จริงๆ แล้วมนุษย์กิ้งก่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมเฉพาะเจาะจง นั่นก็คือการแสดงสัญลักษณ์ไว้บนร่างกายเพื่อที่จะแยกพี่น้องคลอกเดียวกันออกจากมนุษย์กิ้งก่าตนอื่น
ตัวอย่างเช่นหากต้องกินอาหารปรุงสุกที่มีเครื่องเทศและเครื่องเคียง จะมีข้อห้ามพิเศษในการกิน 'เนื้อสัตว์ที่มีจิตวิญญาณ' อาจเป็นเพราะมีข้อห้ามทางวัฒนธรรมบางประเภทที่ทำให้กังวลว่าหากพวกเขากิน 'เนื้อสัตว์ที่มีจิตวิญญาณ' ไปแล้ว จิตวิญญาณของพวกเขาจะเสื่อมโทรมลงเป็นสัตว์ร้ายอีกครั้ง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มีเผ่าพันธุ์เพียงไม่กี่เผ่าพันธุ์ในโลกนี้ที่ไม่กินมนุษย์ และเนื่องจากพวกเขาถูกแยกออกจากกันโดยสองทวีป พวกเขาจึงไม่มีข้อขัดแย้งทางประวัติศาสตร์กับมนุษย์เลยจริงๆ และเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ
ดังนั้นจึงค่อนข้างเรียบง่ายสำหรับกองทัพแนวหน้าที่จะยอมรับมนุษย์กิ้งก่ารุ่นใหม่เหล่านี้ที่ถูกไล่ออกจากรังเพื่อฝึกฝน ทั้งสองเผ่าพันธุ์เข้ากันได้ค่อนข้างดี พูดตรงๆ พวกเขาล้วนเป็นคนยากจนระดับรากหญ้าโดยไม่มีอะไรเลยที่เป็นประเด็นของความขัดแย้ง
แต่สิ่งที่เซารอนไม่คาดคิดก็คือ...นักเวทย์ก็เข้ามาฟังด้วย ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองคน ยกเว้นเพียง ซีเชี่ยน ที่มีพื้นที่ ซ่อนตัวอยู่ในห้องทดลองของตน คนอื่นๆ ได้มารวมกันที่นี่ จนเซารอนอดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาไม่ไปฝึกเวทมนต์หรือทำสมาธิกัน?
"การฝึกจิตและการควบคุมทั่วไปนั้นเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่การวิจัยเวทมนต์จำเป็นต้องมีสถานที่และการเตรียมวัสดุของตัวเอง ซีเชี่ยน ย้ายห้องทำงานของเธอเองไปที่เรือซึ่งนั่นทำให้เธอไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่เราไม่ได้ "นำมันมา" กิลต์อธิบาย
"ข้าได้ยินมาว่าเป็นลิชชุดขาวที่สอนความรู้เรื่องสงครามแก่เจ้า ข้าไม่ได้เรียนเรื่องการทหารและการเมืองอย่างจริงจัง มันน่าจะมีประโยชน์ในการต่อสู้หากมาฟังเจ้าพูดสักหน่อย"
"ลิชชุดขาว? ใครล่ะนั่น? เจ้าหมายถึงคิลเลี่ยนเหรอ?” เซารอนสับสน
“อ้าวเจ้าไม่ใช่ว่าบรรณารักษ์สอนเจ้ามาหรอกเหรอ กิ้งก่าที่สวมมงกุฏสีเหลืองบอกว่าเจ้าได้รับการแนะนำมาจากบรรณารักษ์ห้องสมุดนี่นา” พอลลักซ์เอ่ยถามออกมาตรงๆ
"...ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...โอ้ ลืมไปเถอะ มันไม่สำคัญ แค่ฟัง..." เซารอนลูบหน้าผากแล้วมองไปทางสะพานเดินเรือ
กลุ่มเล็กๆ ของ เซราทอส รวมทั้งผู้ถือธงกองทัพอย่าง ซีเชี่ยน เฮล่า และสิลาซัส ได้วางเก้าอี้สามตัวไว้ที่ประตูห้องบัญชาการ ในที่สุดเซรอทอสก็เข้ามาใช้ เธอวางผ้าเช็ดมือ ถือน้ำผลไม้และนำขนมไปเสิร์ฟให้เป็ดสนาม(ทหารนายกองแนวหน้า)กว่าหนึ่งพันห้าร้อยคนที่นอนคุยกันอยู่ที่นั่น เขาไม่รู้ว่าเธอสนใจจริงๆ เกี่ยวกับ กองทัพแนวหน้าใหม่ แวนการ์ด ของเขาหรือไม่หลังจากฟังรายงานของ แมทธิว หรือว่าเธอแค่อยากจะแสดงท่าทางรังเกียจต่อเซารอนต่อหน้าผู้คนเพื่อให้ทุกคนเห็นเขาว่ากำลังทำเรื่องตลก
เซารอนไม่สนใจแจกัน(คนที่มาเฉยๆ)ไร้ประโยชน์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเซารอน บทบาทเดียวของสิลาซัสคือการจำกัดจำนวนคนที่มาเข้ารวมในครั้งนี้ ซึ่งมีเงื่อนไขงานเป็นเรื่องจำนวนคนได้อย่างเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้นับเหล่าแจกันเข้าไว้ในจำนวนนับของเขา เมื่อพูดถึงการต่อสู้ เขาคงต้องขอบคุณพระเจ้าหากเธอสามารถขว้างเวทมนต์พื้นที่ขนาดใหญ่สักสองอันเพื่อปกปิดเรื่องราวในครั้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การทดสอบความภักดีนี้มีฝีมือของเซารอนก็ไม่ได้ตกอยู่ในความเสี่ยงด้วยเช่นกัน แม้ว่า เซราทอส จะถูกสังหารโดยนักฆ่าเอลฟ์จริงๆ เขาก็จะไม่สูญเสียและภารกิจจะไม่ล้มเหลวด้วยเหตุนี้ เอาล่ะ ปฏิบัติต่อเธอในฐานะสิ่งตอบแทนที่ทำให้อุลคริสลงนามเสนอชื่อให้เขา
"วันนี้เราเริ่มจำลองกลยุทธ์การโจมตีต่ออาณาจักรแห่งทราย" เซารอนปรบมือเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนบนดาดฟ้า และด้วยความช่วยเหลือของพอลลักซ์ เขาฉายแผนที่ขนาดใหญ่ของสนามรบแห่งราชอาณาจักรแห่งทรายอีกครั้ง เขาย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูปยศทหารหลายครั้งในช่วงสองวันที่ผ่านมา ทหารจำเป็นต้องมีวินัยที่เข้มงวดและเชื่อฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน ในการฝึกขั้นพื้นฐาน เขาได้เสริมความคิดริเริ่มและ อำนาจการตัดสินใจของนายทหารระดับกลางและระดับต่ำ และปรับใช้ 'กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นเป้าหมาย' เมื่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงเสียชีวิตในการรบหรือไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ทหารระดับล่างจะเข้าควบคุมและเข้าปฏิบัติการ และทัศนคติเชิงรุกเพื่อส่งเสริมสถานการณ์การรบอย่างต่อเนื่องจนบรรลุเป้าหมายโดยรวม
ดังนั้น ความเข้าใจสถานการณ์การรบโดยรวมและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ จึงไม่จำกัดเฉพาะนายทหารผู้นำธงและทหารยศสูงเท่านั้น แม่ทัพเรือ หัวหน้าฝูงบิน หัวหน้าหน่วย และแม้แต่ทหารธรรมดาระดับหน่วยรบต้องมีความชัดเจนในเรื่องความเข้าใจนี้ แม้ว่าจะมีเหตุที่ต้องสูญเสียการบังคับบัญชาและการติดต่อ แต่กลุ่มภารกิจการรบคุณภาพสูงจะสามารถจัดสรรตนเองใหม่ได้ทุกที่ทุกเวลา ต่อสู้ต่อไปจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นและบรรลุชัยชนะจนถึงที่สุดตามสิ่งที่เรียกว่า เป้าหมายเชิงกลยุทธ์
และการพูดในคราวนี้คือ การกำจัดชนชั้นสูงเอลฟ์ที่นำโดยราชินีชีบา ผู้นำแห่งอาณาจักรแห่งทรายและทำลายล้างกองกำลังหลักของอาณาจักรแห่งทรายให้สิ้นซาก ดังนั้น ก่อนอื่นเขาจะเน้นไปที่การ ให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับ กองกำลังศัตรูของต่อสู้ครั้งนี้
ข้อมูลที่ใช้ในครั้งนี้เป็นบันทึกทางภูมิศาสตร์ของอาณาจักรแห่งทรายและพื้นที่ใกล้เคียง ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเบื้องหลังเท่านั้น ส่วนข้อมูลเชิงลึกที่ดูลึกลับจะถูกรวบรวมและเผยแพร่ก่อนการรบจะเริ่ม "ฟังข้าให้ดี ตอนนี้! นับจากนี้ ทุกสิ่งที่ข้าจะพูดถึงคือจุดความรู้ที่ต้องปฏิบัติให้จงได้ จงจดจำให้ดี!"
เซารอนตะโกนด้วยความดุดัน และทหารที่นั่งบนดาดฟ้าก็ก้มศีรษะลงทันทีและเริ่มเขียน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเรียบร้อยและเชื่อฟัง ซึ่งทำให้เหล่านักเวทย์ต้องมองหน้ากัน เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าเซารอนจะสร้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้กับกองทัพทั้งหมดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เซารอนหยิบหนังสือภูมิศาสตร์ออกมาและเริ่มอ่านโดยไม่สนใจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟังว่าทำไมเขาถึงต้องมาทำท่างทางราวกับครูโรงเรียนมัธยมเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำเรื่องอย่างการฆ่าคนหลายสิบคนด้วยมือของเขาให้ทุกคนได้เห็น แต่ด้วยท่าทางของเขาในตอนนี้ก็ยังสามารถทำให้ผู้ที่เห็นตกตะลึงจนต้องจับจ้องมองตาม
ยิ่งเวลาผ่านไปมากขึ้น โครงสร้างของ อาณาจักรแห่งทราย ก็ยิ่งเจาะลึก ลามไปถึงระบบการปกครองของเอลฟ์
แม้จะบอกว่า เอลฟ์ แต่จริงๆ แล้วมันก็คือกลุ่มก้อนของพันธมิตรระหว่างเอลฟ์และเทพเจ้า หลังจากประสบการณ์และการเรียนรู้มายาวนาน ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ทะลุขีดจำกัด และในที่สุด เขาก็เผชิญหน้ากับตัวเองด้วยการผ่าน 'บททดสอบ' บางอย่าง พวกเขาได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าและเหนือกว่าของเผ่าพันธุ์พื้นเมือง และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับความน่าเกรงขามจาก เผ่าพันธุ์พื้นเมือง กลุ่มเอลฟ์ที่ได้รับ 'ฉายา' และถูกเรียกรวมๆ ว่า สหพันธุ์เอลฟ์มังกร
ผู้อ่อนแอจะขึ้นอยู่กับผู้แข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอดตามธรรมชาติ และเอลฟ์ก็เป้นเช่นเดียวกัน เหล่าเอลฟ์และเทพเจ้าจะสถาปนาชนเผ่า กิลด์ กองทัพแนวหน้า อาณาจักร วิหาร และองค์กรต่างๆ ตามความต้องการของตนเอง ในฐานะผู้นำและผู้พิทักษ์กองกำลังเหล่านี้ เพลิดเพลินไปกับบริการและการสนับสนุนของพวกเขา
เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ เอลฟ์ไม่ได้มั่นคงดั่งเสาหินตั้งแต่แรก และในบางครั้งพวกเขาก็จะมีความขัดแย้งและสงครามภายในกันเองเสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น มีดาร์กเอลฟ์หลายตัวจากทวีปอื่นๆ บนเรือ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากเหล่าเอลฟ์ที่อยู่นอกพันธมิตรเอลฟ์มังกร แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังนับถือเทพเจ้าให้เป็นสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาด้วยเหมือนกัน จนแทบจะบอกได้ว่า พวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากพันธมิตรเอลฟ์มังกรแต่อย่างใด
แต่โดยทั่วไปแล้วความน่าจะเป็นของสงครามกลางเมืองระหว่างประเทศเอลฟ์นั้นมีน้อยมาก ข้อขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขภายในโดยเทพเจ้า เช่น การเดิมพัน การประลอง หรือบททดสอบ นี่เป็นโครงเรื่องการผจญภัยทั่วไปในตำนานด้วย
พันธมิตรเอลฟ์มังกรซึ่งถือเป็นศัตรูตลอดชีวิตของพวกลิชแห่งจักรวรรดิ ได้รับการก่อตั้งขึ้นเพราะว่าตอนที่มีการก่อตั้งจักรวรรดิ เอลฟ์ทั้งหมดบนแผ่นดินถูกกวาดล้างและเหล่าเทพเจ้าก็ถูกสังหาร นี่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การปลุกเร้าความหวาดกลัวของเหล่าทวยเทพ
สิ่งนี้ทำให้อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามทั่วไปจากอาณาจักรพลังจิตที่กำลังเติบโต ดังนั้น ระหว่างการรุกรานต่อต้านเอลฟ์ครั้งใหญ่ครั้งที่สามที่บันทึกโดยจักรวรรดิ เหล่าทวยเทพจึงรวมตัวกันและเปิดสงครามขนาดใหญ่ ประเทศและภูมิภาคที่ควบคุมโดยเอลฟ์เกือบทั้งหมดในทวีปทั้งหมดเข้าร่วมในการล้อมและปราบปรามจักรวรรดิ
ในเวลานั้นเองที่อาณาจักรแห่งทรายก็ได้เข้าร่วมสงคราม โดยจัดหากองเรือและเสบียงเพื่อปิดล้อมและล้อมรอบเมืองหลวงของจักรวรรดิจากทะเล
ในความเป็นจริง พวกเขาสามารถบอกได้จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ว่า ผู้นำที่ถูกเรียกว่าราชินีไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอาณาจักรแห่งทรายและอาณาจักรมนุษย์โบราณ รวมถึงสัญญาของกองทัพแนวหน้าแวนการ์ด
หรือก็คือ เอลฟ์ทางใต้เหล่านี้ไม่ได้ลงนามในสัญญาใดๆ กับ กองทัพแนวหน้า และพวกเขาสามารถอ้างตำแหน่งกษัตริย์ได้อย่างเปิดเผย พวกเขาไม่ได้ปกครองในฐานะผู้นำดั้งเดิมของอาณาจักรมนุษย์โบราณ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ราชวงศ์ที่เป็นมนุษย์ขึ้นมาเวทีเพื่อควบคุมพวกเขา
แต่ความเกลียดชังของจักรวรรดิที่มีต่อ อาณาจักรแห่งทราย ไม่ได้ลดลง และความเกลียดชังที่ว่านี้ชัดเจนอย่างไม่มีข้อกังขา พูดตรงๆ ก็คือพวกเอลฟ์ทางตอนเหนือทรยศต่อสัญญาของพวกเขากับจักรวรรดิโบราณ และนั่นคือสาเหตุที่กองทัพแนวหน้าแวนการ์ด และจักรวรรดิมนุษย์ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
แม้ว่าสงครามระหว่างสองฝ่ายได้ทะเลาะกันจะดูเห็นเด่นชัด แต่มันก็เป็นเพียงแค่ระดับความบาดหมางกัน ซึ่งนี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเอลฟ์ในทวีปทางใต้ของพวกเขาเลยสักนิด? แล้วการเข้าร่วมสงครามที่ปิดล้อมจักรวรรดิหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาเพียงแค่เบื่อหน่ายจนต้องหาอะไรทำอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำแล้วจะได้อะไรล่ะ? หรือพวกเขาทำเพราะต้องการจะแสดงอำนาจให้อยู่เหนือกว่ามนุษย์กิ้งก่าที่ชนพื้นเมืองกัน?
ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ อาณาจักรแห่งทรายอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงจักรวรรดิพลังจิต พวกเขาจึงต้องการแสดงมิตรภาพที่ดูราวพี่น้องกับเอลฟ์ทางตอนเหนือ และต้องการทำเพื่อลงโทษอาณาจักรที่กล้าต่อต้านพวกเอลฟ์ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่กองเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเทพผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรแห่งทรายก็ถูกส่งออกไปด้วย แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยได้กลับไปอีก
พันธมิตรเหล่านี้ถอนทหารออกไปโดยไม่ชนะสงครามครั้งที่สาม นักบุญอุปถัมภ์ของอาณาจักรแห่งทรายผู้อยู่ในวิถีแห่ง 'นักเล่นแร่แปรธาตุ' ก็ตกอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือดในเมืองหลวงของจักรวรรดิ นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไม อะนูบิส ลิชชุดขาวจึงสามารถแอบเข้าไปในอาณาจักรแห่งทรายและบุกทะลวงเมืองหลวงของ ฟายุม จนราวกับว่าเขาอยู่ในดินแดนที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ หากไม่มีพลังการต่อสู้ในระดับเดียวกันในการปราบปราม อะนูบิส ลุชชุดขาวเพียงตนเดียวย่อมสามารถพลิกอาณาจักรแห่งทรายกลับหัวกลับหางได้
บางคนอาจถามทำไมอาณาจักรแห่งทรายถึงไม่สามารถขอความเชื่อเหลือจากเทพเจ้าได้?
พวกเขาทำไม่ได้ นั่นก็เพราะแม้ว่าอาณาจักรแห่งทรายได้เข้าร่วมกับพันธมิตรเอลฟ์ แต่ส่วนใหญ่พันธมิตรเหล่านี้คือเอลฟ์จากทวีปทางตอนเหนือ ในทวีปนี้ไม่มีเทพตนใดที่เคยก้าวออกจากทางเหนือ หรือถ้าจะถามว่าทำไมพวกเขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเทพทางตอนใต้? ก็ต้องบอกอีกว่า หากพวกเขาหาเทพหลักองค์ใหม่มาเป็นที่เคารพแทนเทพทางตอนเหนือ แล้วพวกเขาจะไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเอลฟ์มังกรไปทำไมกัน? หากว่าพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่ถูกนับถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์อีกต่อไปก็ไม่ได้ถือว่าผิดนัก?
เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์แล้ว อาณาจักรแห่งทราย ได้ต่อสู้กับ อะนูบิส มาจนถึงตอนนี้ นี่ทำให้พวกเขาถึงกับต้องจัดกระบวนทัพใหม่ พวกเขาต้องรีบเรียกกองทัพเรือที่พึ่งจะถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิพลังจิตให้รีบกลับมา แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแทนที่พวกเขาจะขอการสนับสนุนจากกองกำลังพันธมิตรอื่นๆ ในภาคเหนือ นั่นก็เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขายังรู้ความจริงง่ายๆ ที่ว่า พวกเขาเสียว่าเสียแรงในการอัญเชิญเทพเจ้าจากทางเหนือนั้นยังง่ายกว่าการขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรเอลฟ์มังกร
และนี่เองที่เป็นสาเหตุที่คิลเลียนส่งเซารอนและคนอื่นๆ ไปพิชิตอาณาจักรแห่งทรายซึ่งโดยนับเป็นภารกิจทดสอบความภักดีที่ 'ง่ายดาย' อย่างมาก กับผู้ที่สูญเสียการคุ้มครองจากเหล่าทวยเทพ ด้วย 'ฉายา' ของอาณาจักรแห่งทรายที่เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นเมืองที่อ่อนแอที่สุดนับแต่การก่อตั้งพันธมิตรเอลฟ์มังกรมา
แน่นอนว่าความอ่อนแอนั้นพูดจากมุมมองของลิช และวิเคราะห์จากมุมมองของมนุษย์
แต่จากมุมมองของคนทั่วไป อาณาจักรแห่งทรายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างยิ่ง
ตำแหน่งของนักบุญอุปถัมภ์ดั้งเดิม 'นักเล่นแร่แปรธาตุ' แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ เอนสเนอร์ (อาณาจักรแห่งทราย)มีซากปรักหักพังของไตตันและเป็นที่ตั้งของ สถาบันเล่นแร่แปรธาตุ แอทลาสแห่งสหพันธ์เอลฟ์มังกรเพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของวิหารและซากปรักหักพังของ 'วิทยาลัยการเล่นแร่แปรธาตุ' อีกด้วย
ในอดีต 'นักเล่นแร่แปรธาตุ' ฝึกฝนนักบวชและผู้ฝึกหัดของตนเอง แต่ตอนนี้ หากนักเล่นแร่แปรธาตุของ สหพันธ์เอลฟ์มังกรต้องการที่จะเสร็จสิ้นบททดสอบและรับตำแหน่ง 'นักเล่นแร่แปรธาตุ' จากที่นี่เท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมารวมตัวกันที่นี่โดยธรรมชาติ
นอกเหนือจากการค้าอุปกรณ์เวทมนต์ที่เกิดจาก 'การเล่นแร่แปรธาตุ' หลังจากขับไล่มนุษย์กิ้งก่าและเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรเอลฟ์แล้ว เส้นทางการค้าในทวีปเหนือและใต้ยังอยู่ในมือของอาณาจักรแห่งทรายโดยสมบูรณ์
แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจะปกคลุมไปด้วยทรายสีเหลือง แต่ก็ยังมีโอเอซิสแม้จะมีอยู่อย่างจำกัดก็ตาม พวกเขาเพียงอาศัยอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ที่พัฒนาแล้วในเขตเศรษฐกิจหลักทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ ชาตี และเส้นทางการขนส่งของเมืองชายฝั่งทะเล อาณาจักรแห่งทราย ก็สามารถรวบรวมกองเรือขนาดใหญ่ได้แล้ว
แถมพวกเขายังมีกำลังสำรองเพียงพอในการทำสงครามสองทาง เรียกได้ว่าต่อให้พวกเขาต้องส่งกำลังหลักไปทางเหนือเพื่อร่วมทำสงครามก็ยังสามารถรักษาการปราบมนุษย์กิ้งก่าและปราบมนุษย์ต่างดาวในทวีปใต้ได้เกือบทั้งหมด
จนกระทั่งมีข่าวร้ายมาส่งกลับมาว่านักบุญอุปถัมภ์ได้พลาดท่าและเมืองหลวงก็ถูกบุกโจมตี กองทัพได้พ่ายแพ้ ส่งผลให้เผ่าพันธุ์พื้นเมืองและมนุษย์ต่างดาวทำการก่อจราจลแทบจะในทันทีที่รู้ข่าว
แม้อาณาจักรแห่งทรายยังคงสามารถจัดกองทัพใหม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อต้านทานการโจมตีของกองทัพจักรวรรดิ และโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก อาณาจักรก็รอจนกว่ากองเรือจะกลับคืนสู่อาณาจักรฟื้นคืนระดับประสิทธิภาพการรบ ตอนนี้ พวกเขาอาจจะบังคับ อะนูบิส ให้เข้าร่วมกับพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเข้าสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สินค้าถูกตัดขาด สถานการณ์เหล่านี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชาติที่สะสมโดยอาณาจักรแห่งทรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความเข้มแข็งของอาณาจักรที่เกิดขึ้นนี้คือสิ่งที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ราชินีชีบาสามารถอดทนมาได้จนถึงขณะนี้ อาณาจักรแห่งทรายไม่ขาดอะไรเลยนอกจากนักบุญอุปถัมภ์
ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดเกี่ยวกับกองเรือ ไม่ว่าเขาจะพูดมากแค่ไหน เซารอน และเรือของเขาไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ในปัจจุบันและพวกเขาจะต้องหนีหากพบมัน
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์หลักเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาต้องหาโอกาสทำลายอีกฝ่ายบนฝั่ง ไม่เช่นนั้น กองเรือจะได้รับอนุญาตให้แล่นไปในทะเลก่อให้เกิดอันตรายไม่รู้จบ
เขาสามารถมอบความรู้เกี่ยวกับกองทัพของศัตรูได้ กองทัพส่วนใหญ่ประกอบด้วยสามประเภท: กองทัพเอลฟ์ กองทัพทาส และกองทัพรับใช้
จำนวนประชากรของเอลฟ์นั้นเบาบาง แม้ว่าอายุขัยของพวกเขาจะยาวนานมาก แต่การเจริญเติบโตของพวกเขาก็ช้าพอๆ กัน และมีคนจำนวนน้อยมากที่ยินดีเข้าร่วมในสงคราม ทหารที่ทำหน้าที่เป็นทหารส่วนใหญ่นั้นเป็นคนยากจนที่มีเลือดบริสุทธิ์ แต่ เมื่อพวกเขากลายเป็นทหารอาชีพแล้วพวกเขาจะสามารถรับราชการได้เป็นเวลานานและจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน กองทัพเอลฟ์ ถือเป็นเครื่องมือและหน่วยเสบียงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในฐานะตัวอย่างที่ดีเลิศของชนชั้นสูง
เอลฟ์แห่งอาณาจักรแห่งทรายก็อพยพมาจากทางเหนือเช่นกันเมื่อพวกเขาพิชิต มนุษย์กิ้งก่า ในสมัยโบราณ
การต่อสู้ของพวกเขายังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมของอดีตไว้และพวกเขาเก่งในการต่อสู้ระยะประชิดและการยิงธนูระยะไกล
โดยส่วนใหญ่แล้ว แม้จะผ่านมาเป็นศตวรรษ หน่วยการปกครองภายในยังสืบทอดตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม มีบทบาทขององครักษ์ทั่วไปและองครักษ์ในพระราชวัง นอกจากกองทหารรักษาการณ์ของราชินีหลายพันคนที่อยู่ภายใต้การนำของราชินีแล้ว ยังมีกองทัพพรายที่จัดตั้งขึ้นเพียงสองกองเท่านั้น ได้แก่ กองเรือ พูนิคัส และกองทัพที่ปิดล้อม ฟายุม แต่ก็มีไม่มากนัก
กองทัพข้ารับใช้คือทหารผสมและทหารรับจ้างที่หัวหน้าเผ่าจากหลากหลายเผ่าพันธุ์นำมาซึ่งยอมจำนนต่ออาณาจักรแห่งทรายเพื่อตอบสนองต่อเสียงเรียกของราชินีให้เข้าร่วมในสงคราม
พื้นที่ปกครองหลักของอาณาจักรแห่งทรายตั้งอยู่ในที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ริมแม่น้ำชาตีและท่าเรือพาณิชย์ตามแนวชายฝั่ง สำหรับทะเลทรายและป่าฝนอันกว้างใหญ่ และพื้นฐานที่กระจัดกระจายของเผ่าพันธุ์และชนเผ่าต่างๆ เอลฟ์ไม่มีเวลาหรือกำลังคนที่จะดูแลพวกเขาทีละคน
ดังนั้น ราชินีจึงทำได้เพียงยอมรับความจงรักภักดีของหัวหน้าเหล่านี้ซึ่งบางครั้งก็เป็นอาสาสมัครและบางครั้งก็ทำตัวเป็นโจรซะเอง มีการค้าขายกับชนเผ่า และรับสมัครกองทัพคนรับใช้ตามคำสั่งของเธอในช่วงสงคราม ขึ้นอยู่กับขนาดที่เฉพาะเจาะจงและการจำแนกเผ่าพันธุ์ของชนเผ่า ตลอดจนระดับความจงรักภักดีต่อราชินี
แต่ละเผ่าจะจัดเตรียมกองทัพคนรับใช้ตั้งแต่หลายร้อยถึงหลายพันคน แม้ว่าอะนูบิสจะผงาดขึ้น ผู้นำครึ่งหนึ่งทางตะวันตกก็แปรพักตร์ไปอยู่กับลิชชุดขาวผู้นี้โดยตรง
แต่ยังมีชนเผ่าจำนวนมากทางตะวันออกและทางใต้ที่จงรักภักดีต่อราชินี
พลังการต่อสู้ของคนเหล่านี้ไม่เท่ากันจริงๆ และไม่สามารถประมาณได้ และความภักดีของพวกเขาก็ไม่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาจะเชื่อฟังเฉพาะผู้แข็งแกร่งเท่านั้นและจะไม่ต่อสู้จนตัวตาย
อย่างน้อย เรื่องราวเหล่านี้สามารถใช้เพื่อประกอบการคำนวนนับหัวตัวเลขในสนามรบเท่านั้น เมื่อพวกเขาถูกเกณฑ์ในช่วงสงคราม พวกเขากังวลว่าพวกเขาจะถูกถือโอกาสปล้นแนวหลังและแทรกแซงแนวเสบียงแทนที่จะเป็นคนกระทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของกองทัพ
กองกำลังหลักที่แท้จริงของอาณาจักรแห่งทรายคือกองทัพทาส แน่นอนว่าเอลฟ์ก็ใช้ทาส ท้ายที่สุด ตามที่นิยมของโลกนี้ยังอยู่ในช่วงสังคมทาส และเอลฟ์มีประชากรเบาบางและขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง เวทมนต์แห่งเนโครแมนติคถือเป็นศิลปะต้องห้ามที่ชั่วร้ายและพวกเขาไม่สามารถใช้โครงกระดูกได้เหมือนอาณาจักรอันเดด โดยปกติแล้ว พวกเขาต้องพึ่งพาทาสในการทำงานแม้จะอยู่ในสงครามก็ตาม
เช่นเดียวกับจักรวรรดิ อาณาจักรแห่งทราย คัดเลือกเผ่าพันธุ์ที่เก่งในการต่อสู้มาเป็นพิเศษเพื่อจัดตั้งกองทัพทาส พวกเขาได้รับการฝึกฝนและล้างสมองตั้งแต่อายุยังน้อยและควบคุมด้วยเวทมนต์ พวกเขาเป็นกำลังหลักที่อาณาจักรแห่งทรายพึ่งพา และพวกเขายังเป็นศัตรูของเซารอนและคนอื่นๆ ที่อาจต้องเผชิญด้วย
"ทหารม้า! ยกเว้นป่าฝนทางทิศตะวันตก อาณาจักรแห่งทรายเต็มไปด้วยทะเลทราย และทั้งสองฝั่งของแม่น้ำชาตีก็เป็นที่ราบเช่นกัน ทหารม้าทาสแห่งอาณาจักรแห่งทราย นำโดยขุนพลเอลฟ์ ที่ได้รับการฝึกพิเศษตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาเก่งในการยิงคลื่นพลังและยิงธนู และใช้การผสมผสานที่ซับซ้อนต่างๆ เกราะดาดฟ้า เกราะใบไม้ กระบองสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด และธนูโค้งสำหรับระยะไกล โดยทั่วไปแล้วม้าจะใช้สัตว์พาหนะ อย่างกิ้งก่าและหมาป่าอีกด้วย แม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม
กระบวนทัพของทหารม้ามักจะใช้สองกลวิธีนี้ หนึ่งคือพุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มทหารราบที่อยู่หน้าขบวน หากขบวนของศัตรูคลายตัวและพังทลายให้เข้าโจมตีโดยตรง หากแนวรับอยู่ ให้ยิงแบบสุ่มด้วย คันธนูและลูกธนูอยู่หน้าขบวนแล้วถอนตัวออกจากปีกทั้งสองข้าง เหลือทางให้ กองหลังบุกโจมตีอีกครั้ง ทำซ้ำวงจรนี้ จนกว่าแนวทหารราบจะพัง
อีกหนึ่งวิธีก็คือ เมื่อเริ่มการโจมตี พวกนั้นจะใช้การโจมตีจากข้างหลังทะลุที่กำบังของ ทางสีข้างของศัตรูแล้วกวาดและออกข้างเพื่อบังคับให้กองทัพศัตรูล่าถอย เพื่อจะบุกทะลุสีข้างได้อย่างรวดเร็วจะใช้พาหนะในการรุก วิธีการนี้สามารถใช้ในการตัดสินผลการต่อสู้ของพวกนั้นอย่างมาก และอาวุธของทหารม้าจะใช้อาวุธเหล็กเย็นเป็นหลัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อุปกรณ์ก็ดี การฝึกฝนก็ดี ประสบการณ์มากล้น แม้จำนวนจะไม่มากอย่างที่คิดก็เถอะนะ..."
"ไม่มากอย่างที่คิดที่ว่านี่คือเท่าไหร่ ทำไมไม่บอกมาให้จบๆ ว่ามีกี่คน?” พอลลักซ์ถาม
เซารอนดูข้อความในหนังสือภูมิศาสตร์อีกครั้ง “ตามคำเล่าลือก็คือหนึ่งแสนคนล่ะนะ”
“หนึ่งแสนคน ทหารม้าเนี่ยนะ?” ดวงตาของพอลลักซ์เบิกกว้าง และดวงตาปลอมของเขาก็แทบจะหลุดออกมา
“เจ้าล้อเล่นใช่ไหม! ไม่มากอย่างที่คิดบ้าบออะไรกัน! เรามีคนในกองรบไม่มากนัก พวกเขาล้วนเป็นทหารม้าอีกด้วย นี่เจ้ามองไม่เห็นภาพตอนที่คนสองสามพันคนรวมตัวกันที่ท่าเรือในวันนั้นรึไง คนหลายพันคนมารวมตัวกัน ต่อให้ข้าใช้คาถาต้องห้ามก็ยังไม่รู้ว่าจะฆ่าได้หมดรึเปล่า นับประสาอะไรกับทหารม้าแสนคน เจ้าไม่คิดบ้างรึว่าต้องเสียเวลาสู้รบนานเท่าไร!”
"บันทึกพวกนั้นน่าจะเกินจริงเกินไปน่ะ คงเป็นเพราะช่วงนั้น เมื่ออาณาจักรแห่งทรายถึงจุดสูงสุดและนักบุญอุปถัมภ์ยังไม่ตาย"
"แต่ข้าคิดว่ด้วยาความแข็งแกร่งของชาติของอาณาจักรแห่งทรายในเวลานั้นสามารถรองรับทหารม้าจำนวนมากได้ก็ไม่ผิด มิฉะนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเอาชนะมนุษย์กิ้งก่าได้"
"ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยเอลฟ์เพียงแค่ไม่กี่พัน ฝูงตั๊กแตนสักฝูงก็คงเพียงพอที่จะโค่นล้ม"
"หลังจากกำจัดสิ่งที่เกินจริงออกไปนอกเหนือจากส่วนที่ควรจะสูญหายไปก่อนหน้านี้แล้ว ข้าคิดว่าอาณาจักรแห่งทรายควรมีทหารม้าอย่างมากก็มีสองหมื่นถึงสามหมื่นนายในตอนนี้”
เซารอนประเมินโดยมองดูทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขา “นี่คือภาพกิจแรกของเจ้า ก่อนที่เจ้าจะคิดที่จะฟื้นฟูมนุษยชาติและทำลายล้างเทพเจ้าเพื่อสร้างระเบียบใหม่ เจ้าควรเตรียมจิตใจให้พร้อม! เมื่อพบทหารม้า สองหมื่น นายของฝ่ายตรงข้าม พวกเจ้าก็ควรจะรีบยืดอกทำตัวพองเข้าไว้อย่าได้ใจฝ่อไป!”