บทที่ 26 : เอาชีวิตรอดในโรงเรียนเวทมนตร์ เพื่อฐานะนักเวท
นักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนมองว่าเวทมนตร์เป็นเพียงวิธีการเพื่อไปสู่จุดหมาย พวกเขาไม่ได้คิดว่า ‘ฉันจะเรียนเวทมนตร์ไฟเพื่อจุดไฟตั้งแคมป์ หรือเรียนเวทมนตร์น้ำเพื่อดับกระหาย’ แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานที่จะขัดเกลาพื้นฐานและดำดิ่งลงไปในสาขาเวทมนตร์ เพื่อในที่สุดจะได้เป็นผู้บุกเบิกในสาขานั้นและบรรลุแจ้งในความรู้
ด้วยเหตุนี้ นิเลียจึงไม่ได้คิดว่าเวทมนตร์ไฟของเธอเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แม้ไม่มีไม้กายสิทธิ์และเวทมนตร์ เธอก็สามารถจุดไฟได้อย่างง่ายดายด้วยก้อนหินและกิ่งไม้เล็กๆ
ในทางกลับกัน เธอสนใจเวทมนตร์น้ำมานาน ดังนั้นเธอคงจะมีความสุขมากกว่าถ้าความเข้ากันได้ของเธอกับน้ำสูงแทน...
"นิเลีย จงขอบคุณเวทมนตร์ที่เธอมี" (อีฮาน)
"ฉ-ฉันก็คิดว่านายพูดถูก..." นิเลียพยักหน้าโดยไม่ทันคิด
เนื่องจากบรรยากาศท่วมท้นไปด้วยความจริงจังรอบๆ ตัวอีฮาน
'เขากำลังชมเวทมนตร์ของฉันเหรอ??'
ในฐานะสมาชิกของตระกูลวาร์ดานาซที่มีชื่อเสียงด้านเวทมนตร์ เขาอาจจะรู้สึกว่าทัศนคติของเธอต่อเวทมนตร์ของตัวเองนั้นยอมรับไม่ได้
เธอเบือนหน้าหนีไปด้วยความอาย
อย่างไรก็ตาม อีฮานกำลังคิดอะไรที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
'ถ้าฉันสามารถควบคุมมานาของฉันได้ เวทมนตร์ไฟคงจะเป็นสิ่งแรกที่ฉันเรียนรู้ น่าอิจฉาจริงๆ'
เมื่อมือและเท้าของพวกเขาอุ่นขึ้น ความกระหายคลายลง และความหิวถูกบรรเทาด้วยขนมปังและเนยแพะ ความเหนื่อยล้าของพวกเขาก็ค่อยๆ หายไป
'ถึงเวลาที่เราต้องตรวจสอบว่าพวกอันเดดยังอยู่หรือเปล่าแล้ว'
อีฮานตัดสินใจตรวจสอบสิ่งมีชีวิตที่อาจารย์ใหญ่เรียกมา จากบุคลิกที่บ้าคลั่งของเขา มีโอกาสสูงที่พวกมันจะยังอยู่
"นิเลีย"
"ได้ ไปดูกันเถอะ" นิเลียเข้าใจความหมายในทันที จึงลุกขึ้นจากที่ที่เธอนั่งอยู่
ความมืดห้อมล้อมทั้งสองคนเมื่อพวกเขาก้าวออกจากถ้ำ และผลของการสำรวจก็ปรากฏชัดหลังจากเพียงไม่กี่นาที
"..."
"บ้าชิบ"
เชิงเขายังคงสว่างไสว ราวกับมีแถบไฟล้อมรอบภูเขา การล้อมวงของพวกอันเดดยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม
"ฉันสาบานเลยว่า ไอ้บ้านั่นมันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ"
"ฉ-ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่นายพูด แต่นายแน่ใจเหรอว่ามันโอเคที่จะพูดออกมาดังๆ?"
นิเลียดูเหมือนจะกลัวการแก้แค้นที่อาจเกิดขึ้นจากอาจารย์ใหญ่เพราะพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขา
"ไม่เป็นไร ไม่มีใครฟังอยู่ ดังนั้นทุกอย่างก็โอเค"
"มั-มันจะใช่แบบนั้นเหรอ?"
"นิเลีย การเรียนรู้เวทมนตร์ เธอต้องเรียนรู้ที่จะคิดอย่างอิสระ ฉันพนันได้เลยว่าอาจารย์ใหญ่จะยินดีรับคำสาปแช่งที่ถูกโยนใส่เขา ซึ่งมันหมายความว่าพวกเราสามารถปลดปล่อยความคิดของเราได้"
อีฮานมีพรสวรรค์อย่างแท้จริงในการแต่งเรื่องไร้สาระขึ้นมาทันที สีหน้าที่เหมือนรูปปั้นของเขาประกอบกับวิธีการพูดที่จริงจังของเขาก็สามารถทำให้นิเลียซึ่งมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเวทมนตร์เชื่อได้
'มันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่นะ...'
"อาจารย์ใหญ่บ้านั่น! เขาเหมือนหมีกริซลี่เลย! ฉันหวังว่าพวกหมาป่าจะพาเขาไ-"
พรึ่บ-
"อ๊าาาาา! กรุณายกโทษให้ฉันด้วยค่ะ! ฉันผิดไปแล้ว!"
นิเลียเกาะอีฮานด้วยน้ำตาคลอเบ้าทันทีที่เธอได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีจากด้านหน้า
อีฮานค่อยๆ แกะเธอออกจากอกของเขาอย่างระมัดระวังเหมือนกับที่คนเราแกะปลิงออกจากร่างกาย พร้อมกับจ้องมองไปยังทิศทางที่เสียงดังมา
"ระวังนะ นิเลีย มีคนอยู่ที่นี่"
อีกฝ่ายดูเหมือนจะสังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน
"ใครอยู่ตรงนั้น?"
"นั่นคือคำถามของพวกเรา" (อีฮาน)
"พวกเราเป็นสมาชิกของหอพยัคฆ์ขาว"
"ชิ ดูเหมือนไม่ได้ถูกจับทั้งหมดสินะ" อีฮานเดาะลิ้น
เขากำลังสงสัยว่าทำไมพวกอันเดดถึงยังไม่จากไป ปรากฏว่านักเรียนบางคนของหอพยัคฆ์ขาวสามารถหลบหนีออกมาได้ท่ามกลางความวุ่นวาย
หลังจากเสียงใบไม้และกิ่งไม้เสียดสีกันอีกสองสามครั้ง พวกหอพยัคฆ์ขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้าอีฮานและนิเลีย ดูยับเยินอย่างที่สุด อันที่จริงแล้วพวกเขาดูไม่ต่างจากขอทานบนท้องถนนเลย
"ข-ขอทาน?"
"อย่างที่เราบอก พวกเราเป็นคนจากหอพยัคฆ์ขาว"
- ลงโทษนักเรียนที่ขัดขืนอาจารย์ใหญ์ผู้ทรงเกียรติ-
- ลงโทษนักเรียนที่ขัดขืนอาจารย์ใหญ์ผู้ทรงเกียรติ-
ไม่เหมือนกับอีฮานและเพื่อนๆ ของเขา นักเรียนของหอพยัคฆ์ขาวตั้งใจที่จะฝ่าวงล้อมออกไปตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทักทายพวกเขาคือโครงกระดูกจำนวนมหาศาล
พวกเขาต้องต่อสู้กับผู้ไล่ล่าในขณะที่ฟังเสียงกระดูกกระทบกันและเสียงสวดที่ชวนขนลุก
โครงกระดูกใช้กระดูกเป็นกระบอง และแม้ว่าการโดนตีจะไม่ถึงตาย แต่การโดนตีครั้งแรกจะทำให้พวกเขาช้าลง ครั้งที่สองจะหยุดพวกเขาอยู่กับที่ และครั้งที่สามจะทำให้พวกเขาล้มลง
"อ๊าก!"
"มาโจมตีพวกเราด้วยจำนวนมาก ช่างขี้ขลาดเสียจริง...อ๊าาาา!"
แม้ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาชนะโครงกระดูกและสุนัขกระดูกที่ไล่ตามพวกเขามาโดยใช้ทักษะการใช้ดาบที่พวกเขาภาคภูมิใจ แต่ในที่สุดสมาชิกของหอพยัคฆ์ขาวก็เริ่มล้มลงทีละคน
- การปราบปรามเสร็จสิ้น-
- การปราบปรามเสร็จสิ้น-
"...หนีขึ้นไปข้างบน! ขึ้นไปข้างบนตามที่ฉันบอก!"
จิเจลเป็นคนที่วิเคราะห์สถานการณ์ได้เร็วที่สุดและออกคำสั่งให้เพื่อนร่วมหอพัก
'วงล้อมนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ฝ่าออกไปได้!'
ซึ่งแตกต่างจากอีฮานที่ไม่ไว้ใจอาจารย์ใหญ่เลยสักนิดอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงเข้าใจผิดว่าพวกเธอมีโอกาสที่จะหนีได้เพราะสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้
ถ้าพวกเขาพยายามฝืนหนีลงไปอย่างดื้อรั้น สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือ การถูกจับ เมื่อรู้เช่นนี้ เธอจึงพานักเรียนที่เหลือขึ้นไปบนภูเขา
โชคดีที่ผู้ไล่ล่าไม่ได้ตามพวกเขาขึ้นมา
"แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก..."
"โมราดิ เธอแน่ใจเหรอ...แฮ่ก...ว่าการขึ้นไปเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง? มันไม่มีเส้นทางเลยนะ"
"สิ่งที่ถูกเรียกมามันไม่สามารถอยู่ได้นาน พวกมันจะหายไปในไม่ช้า"
ถ้าอีฮานอยู่ข้างๆ พวกเขา เขาคงจะชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในข้อโต้แย้งของเธอ โดยพูดอะไรทำนองว่า "นั่นอาจจะเป็นเรื่องจริงสำหรับจอมเวทที่ห่วยแตกเท่านั้น เธอคิดว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ในระดับเดียวกับพวกนั้นเหรอ?"
น่าเสียดายที่ความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์ของหอพยัคฆ์ขาวไม่ลึกซึ้งขนาดนั้น พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่จิเจลพูด
"พวกเราควรทำอะไรในระหว่างนี้?"
"พวกเราจะรอและฟื้นฟูพละกำลัง พวกเราต้องจุดไฟ...ไม่ ฉันว่าการหาที่พักพิงสำคัญกว่า ที่ไหนสักแห่งที่สามารถกันลมหนาวได้"
เมื่อได้ยินคำสั่งของเธอ นักเรียนของหอพยัคฆ์ขาวก็เริ่มมองไปรอบๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชี่ยวชาญในการนำทางบนภูเขาเท่านิเลีย แต่พวกเขามั่นใจในความทนทานของตัวเอง
แม้ว่ากล้ามเนื้อของพวกเขาจะปวดร้าว และลำคอของพวกเขาแห้งผากราวกับทะเลทรายซาฮารา แต่พวกเขาก็ยังคงค้นหาต่อไป
พรึ่บ-
"ฉันได้ยินเสียงเมื่อกี้"
"เป็นสัตว์ป่าหรือเปล่า?"
"ถ้าเป็นสัตว์ป่าก็ฆ่ามันเลย พวกเรากำลังหิวโซอยู่นี่"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาได้ยินไม่ใช่เสียงคำรามของสัตว์ป่า แต่เป็นเสียงของคนกำลังคุยกัน
พวกหอพยัคฆ์ขาวตกใจเมื่อพวกเขาตระหนักถึงสิ่งนี้ ใครกันที่จะออกมาเพ่นพ่านในเวลาแบบนี้?
"...ใครอยู่ตรงนั้น?"
"นั่นคือคำถามของพวกเรา"
"พวกเราเป็นสมาชิกของหอพยัคฆ์ขาว"
"ชิ ดูเหมือนไม่ได้ถูกจับทั้งหมดสินะ"
สร้างความน่าประหลาดใจมากที่พวกเขาเจอกับนักเรียนจากหอมังกรคราม
"ทางนี้"
พวกหอพยัคฆ์ขาวเข้าไปในถ้ำอย่างอึดอัด
พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่ถูกปฏิบัติต้อนรับดีแบบนี้จากคนที่พวกเขาเคยหาเรื่องก่อนหน้านี้
"นั่งลงและกินอะไรสักหน่อย" อีฮานพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ไกนานโดคัดค้านเบาๆ ข้างๆ เขา
"พวกเราก็มีเสบียงไม่พอเหมือนกัน ทำไมพวกเราถึงต้อง..."
"เงียบ" ดอลกยูตีไกนานโดที่ด้านข้าง
นักเรียนที่เหลือของหอพยัคฆ์ขาวปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันในสภาพที่ดูเหมือนขอทาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนในคืนนี้
อีฮานมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะไล่พวกเขาไป ไม่มีใครจะตำหนิเขาเมื่อพิจารณาถึงวิธีที่หอพยัคฆ์ขาวปฏิบัติต่อเขา
แต่ถึงอย่างนั้นอีฮานได้เชิญพวกเขาเข้ามาในถ้ำ หลังจากเห็นสถานการณ์ที่พวกเขาตกอยู่ รวมถึงให้อาหารและเครื่องดื่มแก่พวกเขา
มันทำให้รู้สึกซาบซึ้งจริงๆ
'อีฮานคือตัวอย่างที่แท้จริงของเกียรติยศ!'
การแสดงความเมตตาต่อพันธมิตรเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่ยากจริงๆ คือ การแสดงความเมตตาต่อศัตรู
ดอลกยูหวังว่าหอพยัคฆ์ขาวจะไตร่ตรองการกระทำของพวกเขาและคืนดีกับอีฮานผ่านโอกาสนี้
"..." ผ่านไปสักพัก มีแต่เพียงเสียงเคี้ยวอาหารภายในถ้ำ
จิเจลสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างระมัดระวังเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
'หอมังกรครามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?'
เธอไม่คิดเลยสักนิดว่าอีฮานได้ตามพวกเขามาที่ภูเขา
หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงพวกเขาเป็นหอมังกรคราม ไม่ใช่หอเต่ามรกตที่ต่ำต้อย การใช้วิธีการต่ำๆ แบบนั้นดูเหมือนเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเธอได้จึงข้อสรุปที่แตกต่างออกไป
'...พวกเขาคงพบแผนที่เช่นกัน'
มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่อยู่ในที่แบบนี้ในตอนกลางคืน
พวกเขาคงมาถึงก่อนและซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหลังจากได้ยินเสียงวุ่นวายที่พวกเราทำ
จิเจลครุ่นคิดถึงแนวทางการกระทำต่อไปของพวกเขาในขณะที่กินอาหาร
อีฮานจากตระกูลวาร์ดานาซได้แสดงความเมตตาต่อพวกเขา แต่เธอไม่มีความตั้งใจที่จะตอบแทนความกรุณานี้
นั่นคือ วิธีที่เธอถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลโมราดิ
- จิเจล อย่างที่เจ้ารู้ ตระกูลโมราดิไม่เคยลืมความแค้น แต่มีอะไรที่แฝงมามากกว่าคำพูดนั้น นั่นคือ พวกเขาจะตอบแทนความกรุณาก็ต่อเมื่อพวกเขาจำได้เท่านั้น-
’ตระกูลโมราดิ’ จะดูหมิ่นคนที่ใจอ่อนไหวต่อความเมตตาของผู้อื่น ซึ่งสมาชิกตระกูลโมราดิจะปฏิเสธคำขออย่างเย็นชา แม้ว่าคนที่เคยช่วยชีวิตพวกเขาในอดีตจะมาขอความช่วยเหลือก็ตาม
'ฉันควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์นี้? อืม…ใช่แล้ว ฉันควรทำให้พวกเขามองพวกเราในแง่ดีก่อน'
ในขณะที่เธอกำลังคิด หนึ่งในสมาชิกหอพยัคฆ์ขาวก็ลังเลที่จะเอ่ยปากถามคำถามกับดอลกยู ซึ่งเป็นคนที่เขาคุ้นเคยมากที่สุดในกลุ่มของอีฮาน
"ดอลกยู ยังไง..."
ตุ้บ!
"!?"
นักเรียนคนนั้นล้มลงก่อนที่จะพูดจบประโยค
ดอลกยูตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
'เกิดอะไรขึ้น!?'
ตอนแรกเขาคิดว่านักเรียนคนนั้นหมดสติเพราะความเหนื่อยล้า แต่ไม่นานก็ปรากฏชัดว่าไม่ใช่กรณีนั้น
ตุ้บ! ตุ้บ!
คนอื่นๆ ก็ทรุดลงกับพื้นราวกับพวกเขาได้กินยาบางอย่าง
"...บ้าเอ๊ย!" จิเจลตะโกนร้องอย่างเสียงแหลม
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็ถ่มน้ำที่อยู่ในปากออกมา น่าเสียดายที่เธอดื่มไปบ้างแล้วและเริ่มรู้สึกมึนงง
'พวกเราถูกวางยา...!'
"เธอรู้ตัวช้าเกินไปแล้ว" อีฮานพูดอย่างเย็นชา
ขณะที่กำลังจะหมดสติ จิเจลจ้องมองอีฮานด้วยความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย สีหน้าเย็นชาและโหดร้ายของเธอตรงกันข้ามกับสีหน้าอ่อนโยนและนุ่มนวลที่เธอแสดงในการพบกันครั้งแรก มันเป็นสิ่งที่แม้แต่หอพยัคฆ์ขาวก็ไม่เคยเห็น
"นี่...จะไม่จบแค่นี้...วาร์ดานาซ...!"
สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือ ร่างของวาร์ดานาซที่จ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย เมื่อทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้ เธอก็หลับไป
'ฉันสร้างศัตรูขึ้นมาโดยไม่จำเป็นหรือเปล่านะ?'
ซึ่งตรงกันข้ามกันกับความเชื่อของจิเจล อีฮานกำลังรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของเขาเล็กน้อย
ตอนนี้เรื่องราวได้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ความเกลียดชังระหว่างเขากับหอพยัคฆ์ขาวก็ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะหอพยัคฆ์ขาวได้เล็งเป้าหมายมาที่เขาโดยไม่มีเหตุผล เนื่องจากพวกเขาไม่มีเหตุผล เขาจึงตัดสินใจให้เหตุผลแก่พวกเขา!
"อ-อ-อ-อะไรกันนี่ อีฮาน?!" (ดอลกยู)
"น้ำมันมียาพิษเหรอ!? แต่ฉันก็ดื่มมันเหมือนกันนะ!?" (ไกนานโด)
ดอลกยูตกใจมากจนพูดติดอ่าง ไกนานโดก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
อีฮานตั้งใจไม่บอกแผนนี้กับคนสองคนนี้ เพราะพวกเขาไม่เก่งในการรักษาสีหน้า มิฉะนั้นแผนของพวกเขาอาจล้มเหลวได้
"ไม่ต้องกังวลนะ ไกนานโด มันไม่ใช่ยาพิษ และน้ำที่นายดื่มก็ปลอดภัย พวกเราแค่จะพาพวกเขาไปในที่พวกโครงกระดูกอยู่และทิ้งพวกเขาไว้ที่นั่น" (อีฮาน)
เขาไม่ได้วางยาในเครื่องดื่มของหอพยัคฆ์ขาวเพราะความเกลียดชังเล็กๆ น้อยๆ
แต่เป็นเพราะพวกเขาน่าจะเป็นเป้าหมายของพวกโครงกระดูก ดังนั้นพวกเขาต้องส่งมอบพวกนั้นไป ถ้าพวกเขาต้องการที่จะรอดพ้น!
"แต่...! การใช้วิธีการต่ำช้าแบบนี้..."
"ดอลกยู ลองคิดดู ถ้าพวกเราต่อสู้กันตรงๆ พวกเราก็จะสร้างความวุ่นวาย แถมยังดึงดูดความสนใจของพวกโครงกระดูก และถึงแม้ว่าพวกเราจะชนะ นายคิดว่าโมราดิจะยอมแพ้เหรอ? เขาคงจะลากพวกเราลงไปด้วย"
ดอลกยูไม่สามารถเอาชนะอีฮานในการโต้เถียงด้วยคำพูดได้ และเขาก็ถูกโน้มน้าวได้ง่าย
"แต่ก็เถอะ...นายได้ยามาจากไหนกันตั้งแต่แรก?"
โยแนร์ยกมือขึ้นอย่างเขินอาย
"พวกเราเจอต้นไม้ที่ทำให้ง่วงนอนระหว่างทางขึ้นมา"
เธอสามารถแยกแยะพืชส่วนใหญ่ได้ และสามารถค้นพบพืชที่ทำให้ง่วงนอนที่มีลำต้นสีขาวระหว่างทาง
-โอ้ ดูตรงนี้สิ-
-อะไรเหรอ?-
-นี่คือพืชที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ผงของมันสามารถผสมกับน้ำได้ และถ้าดื่มเข้าไปก็จะทำให้หลับ-
- เก็บมันไว้เถอะ เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้มัน-
- แต่เราจะต้องใช้มันจริงๆ เหรอ?-
เธอเก็บพืชนั้นไว้ในขณะที่เอียงคอ สงสัยว่าพวกเขาจะต้องใช้มันหรือไม่
น่าประหลาดใจที่พวกเขาได้ใช้มันจริงๆ
...แม้ว่าเธอจะไม่คิดว่ามันจะถูกใช้ในลักษณะนี้ก็ตาม