บทที่ 129 นครสวรรค์
"วิธีที่สาม สะสมคะแนนเกียรติยศ หากสะสมได้ 100 คะแนน จะสามารถเข้าไปฝึกฝนในเทียนกงได้หนึ่งวัน" รองเจ้าสำนักกล่าว
หนิงเสี่ยวชวนถามว่า "คะแนนเกียรติยศคืออะไร?"
"เรื่องนี้... เจ้าไปที่นครสวรรค์ (เอ้าใครอยู่นครสวรรค์ลองไปดู) แล้วหาเอาคำตอบเองเถอะ! ข้าบอกทุกอย่างที่ข้าสามารถบอกได้แล้ว ต่อไปจะฝึกฝนอย่างไร ขึ้นอยู่กับเจ้าเอง หวังว่าอีกหนึ่งปีข้างหน้า เจ้าจะสามารถพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามหมิงหยาง เพื่อเพิ่มเกียรติให้กับสำนักสามศาตราของเราอีกครั้ง" รองเจ้าสำนักกล่าว
หลังจากที่หนิงเสี่ยวชวนและอวี่เซียนเซียนออกมาจากที่พำนักของรองเจ้าสำนัก ทั้งสองยืนอยู่ในลานวังของสำนักสามศาตรา จากที่นี่พวกเขาสามารถมองเห็นภูเขาหลอมที่ยังคงมีควันไฟพวยพุ่งอยู่ไกล ๆ
อวี่เซียนเซียนกล่าวว่า "เวลาหนึ่งปีนี้สำคัญมากสำหรับเจ้า หมิงหยางตอนนี้ก็คงไปที่นครสวรรค์เพื่อฝ่าด่านสะพานสวรรค์แล้ว เขาก็ต้องการพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นหนึ่งปีให้หลัง เขาจะพยายามเอาชนะเจ้า เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?"
หนิงเสี่ยวชวนหยิบกล่องไม้ออกมาจากถุงมิติ และกล่าวว่า "ข้ามีของจะให้เจ้า"
อวี่เซียนเซียนจำได้ว่าของในกล่องไม้นี้คือหยกจือ ซึ่งเป็นสมบัติระดับเจ็ดที่รองเจ้าสำนักให้รางวัลกับหนิงเสี่ยวชวน มันเป็นสิ่งล้ำค่าที่นักต้มใจทุกคนใฝ่ฝันถึง
"เจ้า... เจ้าทำไมถึงให้ของที่มีค่าเช่นนี้แก่ข้า?" หัวใจของอวี่เซียนเซียนเริ่มสั่นไหว นิ้วมือของนางเขยิบไปที่ชายเสื้อ ริมฝีปากแดงเรื่อของนางค่อย ๆ เม้มแน่น
หนิงเสี่ยวชวนกล่าวว่า "เจ้าหญิงช่วยเหลือข้ามากมาย ทั้งในการประมูล ‘เม็ดยาคางคกเลือด’ มอบถุงมิติให้ และช่วยหายาสมุนไพร ‘สมิงหลับพันปี’ แถมยังดูแลข้าในตอนที่ข้าบาดเจ็บหนัก หยกจือต้นนี้จึงเป็นของตอบแทนความเมตตาขององค์หญิง"
ดวงตาของอวี่เซียนเซียนสว่างขึ้น และนางกระพริบตาถี่ ๆ "แค่ตอบแทนความเมตตาเท่านั้นหรือ?"
หนิงเสี่ยวชวนพยักหน้า
"ถ้าเช่นนั้น... ข้าไม่รับหยกจือต้นนี้!" อวี่เซียนเซียนยิ้มอย่างสดใส "เจ้าติดค้างข้ามากมาย แค่หยกจือต้นเดียวจะคิดว่าชดเชยทุกอย่างได้อย่างนั้นหรือ? ในโลกนี้มีเรื่องง่ายดายเช่นนั้นหรือ?"
หนิงเสี่ยวชวนกล่าวว่า "แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?"
"ไม่ต้องการสิ่งใด ข้าแค่ชอบให้เจ้าติดค้างข้า ยิ่งเจ้าติดค้างข้ามากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งลืมข้าไม่ได้เท่านั้น" อวี่เซียนเซียนกล่าวพลางหน้าแดง เมื่อพูดออกไปแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจ มันช่างเป็นคำพูดที่เปิดเผยเกินไป ราวกับคู่รักที่กำลังหยอกล้อกัน
อวี่เซียนเซียนพยายามรักษาความสงบ และกล่าวว่า "ข้าหมายถึงว่า เจ้ายิ่งติดค้างข้ามากเท่าไหร่ ในอนาคตเมื่อข้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็จะปฏิเสธข้าไม่ได้"
แม้ว่าหนิงเสี่ยวชวนจะไม่เข้าใจเรื่องความรักมากนัก แต่เขาก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่อวี่เซียนเซียนมีต่อเขา
เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ทุกอย่างปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า!
หนิงเสี่ยวชวนไม่บังคับ และเก็บหยกจือกลับเข้าไปในถุงมิติของเขา "หยกจือต้นนี้สามารถใช้เป็นส่วนผสมหลักในการปรุงยาปราณระดับกลางได้ ถ้าหากสามารถหาไฟบัวเปลวเพลิงและหญ้าน้ำแข็งระดับสี่มาเป็นส่วนประกอบเสริม ยาปราณนี้ก็จะสมบูรณ์"
อวี่เซียนเซียนครุ่นคิดชั่วครู่ และกล่าวว่า "ข้าคิดว่าการเพิ่มบัวเปลวเพลิงและหญ้าน้ำแข็งระดับสี่น่าจะเหมาะสม หากหาได้สักหยดของน้ำหยกบริสุทธิ์ก็จะดียิ่งขึ้น"
"ในนครสวรรค์มีสถานที่ขายสมุนไพรปราณ เราไปที่นั่นกันเถอะ" อวี่เซียนเซียนกล่าว
นครสวรรค์ตั้งอยู่กลางดินแดนสวรรค์จักรพรรดิ เป็นเมืองโบราณที่มีอายุกว่าพันปี
ตามตำนานกล่าว นครสวรรค์เคยเป็นเมืองของจักรพรรดิที่ตกลงมาจากสวรรค์ และเป็นที่พำนักของจักรพรรดิสวรรค์
จากภูเขาหลอมไปยังนครสวรรค์ห่างกันหนึ่งพันสองร้อยลี้ เนื่องจากมีนักเรียนจากสำนักสามศาตราที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างสองสถานที่นี้เสมอ ดังนั้นหลายร้อยปีที่แล้ว จึงมีนักรบที่แข็งแกร่งจากสำนักสามศาตราเปิดทางเดินโบราณผ่านภูเขาและหุบเขา
ดินแดนจักรพรรดิกว้างขวางมาก และมักมีสัตว์อสูรปราณดุร้ายปรากฏตัวอยู่เสมอ บางครั้งก็มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ทุกปีมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตจากสัตว์อสูรปราณ
แต่เส้นทางโบราณนี้กลับปลอดภัยมาก เพราะมีพลังปราณของนักรบระดับปรมาจารย์พิภพกระจายอยู่ในเส้นทาง ทำให้สัตว์อสูรปราณไม่กล้าเข้ามาใกล้ในระยะสิบลี้
บนเส้นทางโบราณ มีเงาสองเงากำลังเร่งเดินทางไปยังนครสวรรค์
แม้ทั้งสองคนดูเหมือนกำลังเดินอยู่ แต่ทุกก้าวของพวกเขาสามารถก้าวข้ามไปได้เจ็ดถึงแปดเมตร ความเร็วเทียบได้กับม้ากวางสีเขียวที่วิ่งอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนนี้คือหนิงเสี่ยวชวนและอวี่เซียนเซียน!
"ด้วยความเร็วของเราในตอนนี้ น่าจะถึงนครสวรรค์ก่อนพระอาทิตย์ตก" อวี่เซียนเซียนกล่าว
โดยรอบเต็มไปด้วยป่าดงดิบที่ทึบมืด รากของต้นไม้จำนวนมากเติบโตออกมาจากดิน ใบไม้หนาทึบปิดบังท้องฟ้าไว้ทั้งหมด ในป่าลึกยังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรปราณ แสดงถึงความรู้สึกของป่าดึกดำบรรพ์
ที่นี่แทบจะเป็นเหมือนโลกในยุคโบราณ!
หนิงเสี่ยวชวนถามด้วยความสงสัย "ดินแดนสวรรค์จักรพรรดิเป็นสถานที่แบบไหนกัน? ทำไมสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ถึงต้องสร้างขึ้นที่นี่? พื้นที่ในดินแดนสวรรค์จักรพรรดินี้ไม่น่าจะเล็กไปกว่าจักรวรรดิหยกลันเท่าไหร่"
อวี่เซียนเซียนมีท่าทางเคร่งขรึม และกล่าวว่า "สำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์มีอยู่มานานกว่าจักรวรรดิหยกลันเสียอีก ข้ารู้เพียงว่าผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์คือบุคคลที่เรียกว่า ‘เทียนจื่อ’ เนื่องจากเวลาผ่านไปนานมากแล้วจึงยากที่จะหาข้อมูลที่แน่ชัด การก่อตั้งสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์มีการถกเถียงกันในหลายเรื่อง บางทีอาจเกิดขึ้นเมื่อสองถึงสามพันปีก่อน แล้วทำไมเทียนจื่อถึงสร้างสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ในดินแดนสวรรค์จักรพรรดิ นี่ก็เป็นปริศนาที่ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งที่มาของดินแดนสวรรค์จักรพรรดิเองก็ยังเป็นปริศนา!"
หนิงเสี่ยวชวนกล่าวว่า "เช่นนั้นนครสวรรค์ก่อตั้งก่อนหรือหลังการก่อตั้งสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์?"
"ประวัติศาสตร์ของนครสวรรค์น่าจะเก่าแก่กว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ บางทีมันอาจถูกสร้างขึ้นโดยชนเผ่าพื้นเมืองในดินแดนสวรรค์จักรพรรดิ เพียงแต่ว่าหลังจากที่ชนเผ่าพื้นเมืองถูกขับไล่ออกไป ที่นี่ก็กลายเป็นฐานหลักของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์" อวี่เซียนเซียนกล่าว
หนิงเสี่ยวชวนรู้สึกตกใจเล็กน้อย และกล่าวว่า "ในดินแดนสวรรค์จักรพรรดิ นอกจากนักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์แล้ว ยังมีมนุษย์อื่นอีกหรือ?"
ชนเผ่าพื้นเมือง เป็นมนุษย์ที่เกิดและเติบโตในดินแดนสวรรค์จักรพรรดิ และนักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหมดล้วนเป็นคนจากจักรวรรดิหยกลัน หรือพูดได้ว่าคือผู้บุกรุก!
อวี่เซียนเซียนพยักหน้า "ว่ากันว่าชนเผ่าพื้นเมืองบางเผ่าก็มีนักรบผู้มีฝีมือสูงส่งอยู่ด้วย พวกเขาอาจล่าสังหารนักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ได้ เพียงแต่พวกเขาถูกขับไล่ไปยังดินแดนรกร้างที่ห่างไกล และหากพวกเขาลอบกลับมา ก็จะถูกสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์กวาดล้างและขับไล่อีกครั้งอย่างโหดเหี้ยม"
"นี่คือกฎแห่งป่าใหญ่ ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด" หนิงเสี่ยวชวนกล่าว
ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน หนิงเสี่ยวชวนและอวี่เซียนเซียนก็มาถึงนครสวรรค์
ภายใต้แสงยามเย็น กำแพงเมืองสีเทาหม่นของนครสวรรค์ดูคล้ายกับแนวภูเขา ทอประกายแห่งความเก่าแก่ราวกับสัตว์ประหลาดยักษ์ที่นอนหมอบอยู่กลางภูเขา
"พวกเจ้าเป็นนักเรียนใหม่ในรุ่นนี้ใช่ไหม? รีบเข้าเมืองก่อนที่ประตูจะปิดก่อนค่ำ" นักรบในชุดเกราะดำกล่าว
หนิงเสี่ยวชวนและอวี่เซียนเซียนเดินเข้าไปในประตูเมือง ประตูเมืองก็ปิดลงทันที
หนิงเสี่ยวชวนสังเกตนักรบในชุดเกราะดำอย่างละเอียด นักรบคนนั้นมีระดับพลังปราณขั้นสองของร่างกายเทพ แต่ดูจากอายุแล้ว เขาน่าจะอายุอย่างน้อยสามสิบปี ซึ่งแสดงว่าเขาไม่ใช่นักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์
อวี่เซียนเซียนที่รู้จักกับดินแดนสวรรค์จักรพรรดิเป็นอย่างดี กล่าวอธิบายว่า "นั่นคือองครักษ์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ เขาได้รับการคัดเลือกมาจากทหารฝีมือดีในกองทัพ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างจากนักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ พวกเขาสามารถอยู่ในดินแดนสวรรค์จักรพรรดิได้เพียงหนึ่งปี หลังจากนั้นพวกเขาจะกลับไปยังค่ายทหาร แม้การได้เป็นองครักษ์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์จะเป็นโอกาสที่มีคนมากมายอยากได้"
ถนนในนครสวรรค์ปูด้วยหินสีเขียว กว้างพอให้รถม้าเทียมกวางเขียวสี่ตัววิ่งเรียงแถวกันได้ แต่ถนนกลับร้างผู้คนจนแทบจะคล้ายกับเมืองผี
"นักเรียนของสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์จากสำนักสี่แห่ง ทั้งจากสำนักคงคัง(เทพกายทอง) สำนักห้าธาตุ สำนักเทียนเซี่ยง ต่างฝึกฝนในนครสวรรค์ เพียงแต่ว่านครสวรรค์กว้างใหญ่เกินไป ทำให้เรามองไม่เห็นผู้คนเลย" อวี่เซียนเซียนกล่าว
หนิงเสี่ยวชวนกล่าวว่า "ตอนนี้มืดแล้ว สะพานสวรรค์น่าจะปิดแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไปฝ่าด่านสะพานสวรรค์ คืนนี้ไปดูว่ามีใครขายสมุนไพรปราณที่ใช้ในการหลอมยาปราณระดับกลางไหม"
แน่นอนว่าในนครสวรรค์ยังมีพื้นที่ที่คึกคัก เช่น ตลาดแลกเปลี่ยน
ในตลาดแลกเปลี่ยน มีนักเรียนจำนวนมากรวมตัวกัน บางครั้งยังมีองครักษ์และผู้ดูแลจากสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์มาขายสมบัติที่นี่ด้วย
ดินแดนจักรพรรดิเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย เมื่อได้รับทรัพยากร นักเรียนบางคนจะนำไปแลกคะแนนเกียรติยศ ขณะที่บางคนจะนำมาขายในตลาดแลกเปลี่ยนเพื่อแลกเป็นเงินตรา หรือสมบัติที่ตนเองต้องการ
ในตลาดแลกเปลี่ยนมีสิ่งของหลากหลายตั้งแต่ อาวุธ มรดกสมบัติ สมุนไพรปราณ ยันต์ ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณนึกถึง คุณสามารถหาได้ที่นี่
หนิงเสี่ยวชวนหยุดที่แผงขายข้างทาง หยิบดอกบัวสีแดงเพลิงขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด และกล่าวว่า "ดอกบัวเปลวเพลิงนี้น่าจะเติบโตมาแล้วห้าร้อยปี เป็นสมุนไพรปราณระดับห้า สามารถใช้หลอมยาได้ ศิษย์พี่ ดอกบัวเปลวเพลิงระดับห้านี้ขายเท่าไหร่?"
ข้างแผงขาย มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักนั่งสมาธิฝึกฝนพลังปราณอยู่ ร่างกายเล็กกระทัดรัดของนางถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณ แสดงถึงพลังอันแข็งแกร่งของนาง
หญิงสาวคนนั้นสวมชุดนักต้มใจ นางเก็บพลังปราณกลับเข้าสู่ร่าง เปิดตาเล็กน้อย และจ้องหนิงเสี่ยวชวน "เจ้าคือศิษย์ใหม่ของสำนักสามศาตราในปีนี้หรือ?"
หนิงเสี่ยวชวนพยักหน้า
หญิงสาวกล่าวว่า "เจ้าเป็นนักต้มใจด้วยหรือ?"
หนิงเสี่ยวชวนพยักหน้าอีกครั้ง
หญิงสาวกล่าวว่า "ถ้าเจ้าเข้าใจว่าดอกบัวเปลวเพลิงเป็นสมุนไพรปราณระดับห้า เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสมุนไพรปราณระดับห้าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญระดับกลางในการหลอม"
นางไม่เชื่อว่าศิษย์ใหม่จะเป็นนักต้มใจระดับกลาง จึงเตือนด้วยความหวังดี หากไม่สามารถหลอมสมุนไพรปราณระดับห้าได้ ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่า ๆ!
หนิงเสี่ยวชวนรู้สึกดีต่อศิษย์พี่คนนี้ และกล่าวว่า "ข้าเป็นนักต้มใจระดับกลางแล้ว การซื้อดอกบัวเปลวเพลิงนี้ก็เพื่อนำไปหลอมยา"
"เจ้าคือศิษย์ใหม่ที่เป็นนักต้มใจระดับกลางหรือ?" หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ราวกับนึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ และกล่าวด้วยความประหลาดใจ "หรือว่าเจ้าคือศิษย์ผู้โด่งดังในปีนี้ หนิงเสี่ยวชวน?"
หนิงเสี่ยวชวนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และยิ้ม "ศิษย์พี่ก็รู้จักชื่อของข้าด้วยหรือ?"
หญิงสาวไม่แสดงความเย็นชาต่อหนิงเสี่ยวชวนอีก นางยิ้มเล็กน้อย และกล่าวว่า "ข้าคิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครในสำนักศึกษาจักรพรรดิสวรรค์ที่ไม่รู้จักชื่อของเจ้า อายุเพียงสิบหกปีแต่เป็นนักต้มใจระดับกลางแล้ว อีกทั้งในทางวิทยายุทธ์ เจ้าสามารถต่อกรกับนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดได้เช่นกัน ความสามารถของเจ้าเป็นที่เล่าขานจนเหล่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากมายต้องแอบเศร้าหมอง เจ้าคือความภาคภูมิใจของพวกเราเหล่านักต้มใจ เจ้าผ่านด่านสะพานสวรรค์แล้วหรือยัง?"
หนิงเสี่ยวชวนกล่าวว่า "วันนี้ข้าเพิ่งเข้ามาในนครสวรรค์ พรุ่งนี้ข้าจะไปฝ่าด่านสะพานสวรรค์"
หญิงสาวกล่าวว่า "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบแล้ว ข้าได้ยินมาว่า หมิงหยางวันนี้ไปฝ่าด่านสะพานสวรรค์ และสามารถฝ่าไปได้ถึงสามด่าน ตอนนี้เขาอยู่ในเทียนกงเพื่อฝึกฝนแล้ว นี่เป็นสถิติที่ดีที่สุดในการฝ่าด่านสะพานสวรรค์ของศิษย์ใหม่ในรอบร้อยปี และได้สร้างความฮือฮาอย่างมากในนครสวรรค์"
ศิษย์ใหม่ที่สามารถผ่านด่านแรกของสะพานสวรรค์ได้นั้นถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่หมิงหยางกลับสามารถผ่านได้ถึงสามด่าน นี่เป็นการแสดงออกถึงอำนาจต่อศิษย์ใหม่ทุกคน และยังเป็นการข่มขวัญหนิงเสี่ยวชวนด้วย