ตอนที่ 13: หม้อใบน้อยประหลาด
ตอนที่ 13: หม้อใบน้อยประหลาด
วันต่อมา หวังฝูเริ่มกำจัดวัชพืชในทุ่งสมุนไพรตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายโดยเฝิงต้าฟู่ โดยวัชพืชในทุ่งสมุนไพรสิบแห่งเติบโตค่อนข้างมาก หวังฝูต้องใช้เวลาทั้งเช้าจึงกำจัดวัชพืชในทุ่งสมุนไพรไปได้สามแห่ง ซึ่งวัชพืชจะถูกกองไว้นอกบ้านด้วยระดับความสูงประหนึ่งครึ่งตัวคน
“ดูท่าว่าสองวันนี้ข้าต้องทำงานให้หนักสินะ”
หลังอาหารเที่ยง หวังฝูยังคงกำจัดวัชพืชจนกระทั่งถึงช่วงเย็น
แขกไม่ได้รับเชิญจำนวนมากพลันเข้ามาหา
“เจ้าเป็นเด็กใหม่ใช่หรือไม่?”
จำนวนมีทั้งสิ้นสี่คน เห็นได้ชัดว่ามีสามคนที่ถูกชี้นำโดยอีกคนที่อยู่ตรงกลาง
เมื่อเห็นคนทั้งสี่เข้ามาหาด้วยเจตนาไม่ดี หวังฝูจึงทำได้เพียงรับมือกับพวกเขาอย่างระมัดระวัง
“ข้าชื่อหวังฝู พอจะทำอะไรเพื่อพี่น้องทั้งหลายได้?”
ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำวางเท้าข้างหนึ่งบนเก้าอี้ขณะมองหวังฝูอย่างหยิ่งทะนง “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องจะบอกให้ทราบไว้ หุบเขาร้อยหญ้าแห่งนี้คืออาณาเขตของข้าจูเจิ้น ในเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า”
หวังฝูขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ แต่เขายังคงแย้มยิ้มแล้วคำนับ “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นศิษย์พี่จู ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามท่านมานานแล้ว ศิษย์พี่จู หากมีคำแนะนำอะไรโปรดชี้แนะได้เลย”
“อื้ม ดูเหมือนเจ้าจะรู้จุดยืนและว่านอนสอนง่ายมากกว่าเด็กชายผิวดำข้างบ้านเสียอีก เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแล้วกัน นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องไปทะเลสาบวิญญาณกระจ่างในหุบเขาร้อยหญ้าเพื่อตักน้ำยี่สิบถังไปที่บ่อน้ำวิญญาณเหนือหุบเขาร้อยหญ้าทุกวัน” จูเจิ้นเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก ส่วนชายหนุ่มทั้งสามที่อยู่ข้างกายต่างมีสีหน้าเยาะเย้ย พวกเขาเคยรับผิดชอบหน้าที่ตักน้ำในหุบเขาร้อยหญ้ามาก่อน แต่หลังจากสร้างความสัมพันธ์อันดีจูเจิ้นแล้ว งานตักน้ำประจำวันจึงถูกมอบหมายให้กับผู้อื่นแทน
โดยเฉพาะเด็กใหม่เหล่านั้นที่ยังไม่ได้นำปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย
“ศิษย์พี่จู เรื่องนี้… ดูไม่ค่อยเหมาะสมนัก นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ผู้ดูแลเฝิงมอบหมายให้ข้า”
หวังฝูย่อมไม่อยากเสียเวลาไปตักน้ำ เขายังต้องทำการฝึกฝนอีก ดังนั้นจึงลองอาศัยชื่อของเฝิงต้าฟู่ดู
ทว่า เด็กชายที่อยู่ข้างกายจูเจิ้นพลันเตะใส่เขา
“ไอ้เวรนี่… อุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าแล้วนะ!”
ปัง!
หวังฝูไม่มีเวลาตอบสนอง เขาจึงรู้สึกถึงแรงมหาศาลประหนึ่งค้อนทุบเข้าที่ท้อง ทำให้กระเด็นไปไกลหลายเมตรก่อนจะตกลงมาอย่างหนักบนกองหญ้าหน้าบ้าน ลำไส้ของเขาเหมือนจะบิดเบี้ยวจากลูกเตะดังกล่าว ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ต้องขดร่างเป็นลูกบอลขณะสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เหงื่อเย็นหลั่งออกมาเป็นจำนวนมากพร้อมกับสภาพที่หายใจไม่ออก
ราวกับเขาจะถึงแก่ความตายในวินาทีต่อม
“เจ้ากล้าถามกลับถึงคำสั่งของศิษย์พี่จูหรือ เจ้านี่มันอวดดีเหลือเกิน หากข้าไม่สั่งสอนก็คงไม่หลาบจำ คิดว่าพวกข้ามาที่นี่เพื่อเสวนากับเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มชำเลืองมองหวังฝูผู้กำลังขดตัวอยู่บนกองหญ้า
จูเจิ้นยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่มีท่าทีเห็นใจ เขาก้มมองหวังฝูประหนึ่งกำลังมองดูมดปลวก “จำเอาไว้ ข้าจะหาคนมาดูแลและตรวจสอบน้ำยี่สิบถังจากทะเลสาบวิญญาณกระจ่าง หากไม่ครบถ้วนละก็ เหอะเหอะ… มันคงไม่จบแค่โดนลูกเตะของจางเหิงแน่”
หวังฝูขดตัวโดยไม่เอ่ยคำอะไร ภายใต้เส้นผมยุ่งเหยิงของเขา สายตาหนึ่งคู่กำลังจ้องตรงไปยังคนทั้งสี่ โดยเฉพาะจูเจิ้นกับคนก่อเหตุอย่างจาง… เหิง ใบหน้าดังกล่าวถูกสลักไว้ในใจของเขาทีละน้อย
“ไม่ต้องห่วง ที่นี่ไม่อนุญาตให้ฆ่ากัน แต่การทำให้มือเท้าพิการยังถือว่ารับได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ใช่คนโง่” จูเจิ้นยิ้มหยัน “ส่วนผู้ดูแลเฝิง… เขาไม่สนเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้หรอก”
แค้นหรือ? เหอะเหอะ แน่นอนว่ามีหลายคนแค้นเขา แต่แล้วไงเล่า?
จูเจิ้นพาพวกจางเหิงทั้งสามคนจากไป เหลือไว้เพียงหวังฝูที่นอนขดตัวอยู่บนกองหญ้าในสภาพอาการชักเกร็งไปมา
ไม่ไกลกันนั้น ชายหนุ่มร่างผอมบางผิวคล้ำนามหวงเจิงอยู่ในห้องตัวเองขณะมองดูฉากนี้ผ่านรอยแตก เขาแตะรอยแผลบริเวณหน้าอกขณะมุมปากยกขึ้น แล้วเสียงหัวเราะจึงดังไปทั่วห้องอันมืดมิด
…
คืนนั้น หวังฝูผล็อยหลับอยู่บนกองหญ้า
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หม้อขนาดเล็กบนหน้าอกของเขาเผยรูปร่างออกมา แล้วลำแสงอ่อนบนกองหญ้าที่ดูเหมือนกับฝุ่นธุลีได้ทะลวงเข้าสู่หม้อดังกล่าว
กองหญ้าสีเขียวค่อยสูญเสียสีสันเดิมก่อนจะกลายเป็นวัชพืชสีเหลืองเหี่ยวเฉา
ในตอนเช้า หวังฝูถูกปลุกเพราะแสงแดดอันเจิดจ้า
เขาดมจมูกจนรู้สึกถึงกลิ่นหอมสดชื่นที่ปลายจมูก มันทำให้เขารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ทว่าเมื่อนึกถึงลูกเตะที่ได้รับเมื่อเย็นวาน เขาก็ยังคงสัมผัสที่ท้องอย่างระมัดระวัง
ไม่มีปัญหา
“โชคดีที่ไม่เจ็บแล้ว” หวังฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นดวงตาก็ทอประกายกระหายเลือดออกมาพร้อมกับกัดฟันแน่น “จูเจิ้น จางเหิง…”
แม้ไม่ได้เอ่ยคำออกมา แต่หวังฝูเก็บความเกลียดชังนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
“เหตุใดหม้อใบน้อยถึงออกมาเองล่ะ” จากนั้นหวังฝูตระหนักได้ว่ามีบางอย่างกำลังจิ้มหน้าอก เขาจึงกวาดมองรอบข้างก่อนจะพบว่ามันคือหม้อขนาดเล็ก เขากำลังจะกลับเข้าบ้านหลังจากไม่เห็นใคร แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อก้มศีรษะมองดู “ทำไมหญ้ากองนี้ถึงแห้งหมดเลยได้”
ขณะสัมผัสหม้อขนาดเล็กในอ้อมแขนแล้วครุ่นคิดถึงกลิ่นที่ลอยติดจมูก หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้าน
เมื่อหยิบหม้อขนาดเล็กออกจากอ้อมแขนแล้ว เมื่อมองแวบแรกก็เห็นหยดของเหลวสีเขียวมรกตลอยอยู่ในหม้ออย่างเงียบงัน ของเหลวดังกล่าวเกาะตัวเข้าด้วยกันอยู่ในหม้อประหนึ่งหยดน้ำ ซึ่งกลิ่นหอมเจือจางเริ่มแรงขึ้นจนปกคลุมทั่วรูจมูก ทำให้หวังฝูอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเข้าไป
“นะ นี่ หรือว่า… ที่กองหญ้าแห้งเป็นเพราะหม้อใบน้อยงั้นหรือ? หม้อดูดกลืนแก่นของกองหญ้าแล้วกลั่นเป็นหยด.. ของเหลวสีเขียวนี้ใช่หรือเปล่า?” เสียงหัวใจเต้นของหวังฝูยิ่งถี่รัวราวกับคนพบโลกใบใหม่
“ข้าโดนเตะแต่กลับไม่เป็นอะไร หรือว่าเป็นเพราะสูดดมกลิ่นจากของเหลวสีเขียวไปกันแน่?”
“หากเป็นเช่นนั้น หยดโอสถน้ำนี้…” หวังฝูมองโอสถน้ำในหม้อขนาดเล็กพลางครุ่นคิดสักพัก จากนั้นกัดฟันแล้วเทเข้าไปในปากทันที
โอสถกระจายตัวทันทีที่เข้าปากประหนึ่งน้ำพุใสที่ไหลลงสู่ท้อง จากนั้นความรู้สึกแสบร้อนจึงก่อตัวขึ้นในท้องก่อนทั่วร่างจะเกิดอาการร้อนรุ่มราวกับร่างกายมีพละกำลังไร้ที่สิ้นสุด
หวังฝูรีบนั่งขัดสมาธิแล้วสูดหายใจเข้าตามวิธีการหายใจใน “วิชาปฐพีปึกแผ่น”
ความรู้สึกแสบร้อนค่อยจางหายไป เมื่อหวังฝูลืมตาขึ้นอีกครั้งก็รู้สึกได้ว่าร่างกายเบาสบายขึ้นมากพร้อมกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้น แต่กลิ่นเหม็นกลับลอยเข้าจมูกเช่นกัน
“เหม็นจัง… อะไรกันเนี่ย ทำไมเหนียวแบบนี้”
จากนั้นหวังฝูจึงตระหนักได้ว่ามีคราบมันสีเข้มเกาะอยู่บนร่างกาย เขาจึงรีบอาบน้ำเพื่อล้างเนื้อล้างตัว
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
หลังทานอาหารกลางวัน หวังฝูกำลังจะสอบถามผู้คนเกี่ยวกับทะเลสาบวิญญาณกระจ่าง แต่แล้วสายตากลับไปเห็นหวงเจิงกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมเอียงศีรษะ
“หวังฝู เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? เมื่อคืนข้าเห็นจูเจิ้นไปที่บ้านของเจ้า…”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่โดนเตะน่ะ” หวังฝูจับท้องแล้วถอนหายใจ “เจ็บไปทั้งคืนเลย เพิ่งจะหายเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“นี่ เมื่อก่อนข้าก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอไม่ยอมช่วยพวกมันก็ต้องโดนอัด ดูรอยแผลบนหน้าอกของข้าสิ” หวงเจิงถกเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นหน้าอก เผยให้เห็นรอยแผลยาวเกือบหนึ่งฉื่อลากยาวไปทั่วหน้าอก
หนังศีรษะของหวังฝูรู้สึกชาเล็กน้อย
“จูเจิ้นเป็นใครกันแน่?” หวังฝูเอ่ยถาม
“เฮ้อ จูเจิ้นเป็นจอมเผด็จการแห่งยอดเขาเหมันต์น้อย ด้วยการอาศัยระดับการฝึกฝนอันสูงส่งและการสมคบคิดร่วมกับศิษย์รับใช้บางส่วนเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นบนยอดเขาเหมันต์น้อย โดยเฉพาะในหุบเขาร้อยหญ้าที่เรียกได้ว่าคำพูดของมันถือเป็นที่สุด ศิษย์ใหม่ทุกคนจะถูกมันมอบหมายงานทั้งหลายให้ หากขัดขืนขึ้นมาก็จะโดนเล่นงาน” หวงเจิงมีสีหน้าขมขื่น
“ผู้ดูแลเฝิงไม่สนใจเลยหรือ?”
“ผู้ดูแลเฝิงหรือ? เหอะเหอะ… พวกเดียวกันทั้งนั้น ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของจูเจิ้นพิเศษมาก แต่ละปีพวกเขาจะมอบของดีให้กับผู้ดูแลเฝิง แล้วผู้ดูแลเฝิงจึงไม่สร้างความขุ่นเคืองกับเทพแห่งความมั่งคั่งพร้อมกับทำเป็นตามืดบอด ขอเพียงไม่ไปขัดผลประโยชน์ อย่าหวังเลยว่าจะมาห่วงความเป็นความตายของพวกเรา” หวงเจิงเย้ยหยัน
“สุดท้ายก็มีแต่พวกเราที่ต้องทนทุกข์”