บทที่ 27
"พ่อ คนส่งตาข่ายเมื่อไหร่จะมา"
"เดี๋ยวก็มา"
ซ่งถานมองต้นเกาลัดที่กำลังผลิใบอยู่บนเนินเขาด้วยความสนใจ เธอวางแผนที่จะล้อมรั้วป่าทั้งหมดนี้ไว้ แล้วปลูกเห็ดหูหนูและเห็ดหูหนูขาวในผืนป่าแห่งนี้
ส่วนป่าเกาลัดนี้ เธอรู้ดีว่าครอบครัวไม่ได้ดูแลมานานหลายปีแล้ว จนทำให้ผลผลิตในแต่ละปีขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เกาลัดนั้นต้องมีการตอนกิ่ง ตัดแต่งกิ่ง และใส่ปุ๋ย การดูแลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หมู่บ้านหยุนเฉียวของพวกเขานั้นห่างไกลจากแหล่งค้าส่งเกินไป เกาลัดก็ไม่ใช่ของขึ้นชื่อ ดังนั้นราคาที่รับซื้อในแต่ละปีก็เพียงแค่เจ็ดหรือแปดหยวนเท่านั้น ซึ่งถูกกว่าราคาปกติในความทรงจำวัยเด็กของซ่งถานเสียอีก แต่ปัญหาคือคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่สามารถทำงานได้ค่อนข้างหนักอย่างนี้ ก็ต่างพากันย้ายออกไปทำงานในเมืองกันหมดแล้ว เหลือแต่คนสูงอายุอย่างซ่งซานเฉิน ที่ไม่สามารถทำงานหนักๆ แบบนี้ได้อีก
กาลเวลาช่างทำให้คนแก่ชราลงจริงๆ
ที่ใจกลางเนินเขายังมีป่าต้นเกาลัดสูงราวตึกสามชั้นที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วท้องฟ้า ต้นนี้ขึ้นอยู่ตรงกลางเนินลาดพอดี นี่คือต้นไม้ป่าแก่ๆ ต้นหนึ่งที่ครอบครัวเธอไม่เคยดูแลเลย ผลเกาลัดจึงมีขนาดไม่ต่างจากลูกปิงปองเท่าไหร่นัก เมื่อแกะออกมาแล้วก็ได้เกาลัดที่มีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง แต่รสชาติกลับหอมกรุ่น
ตอนนั้นคุณปู่ซ่งโหย่วเต๋อเป็นคนเลี้ยงมันเองจนเติบโตสูงใหญ่
ซ่งถานเงยหน้ามองต้นไม้ต้นนี้ ไม่รู้ทำไมน้ำลายถึงไหลออกมา เธอคิดถึงช่วงเวลาที่นั่งล้อมเตาผิงในฤดูหนาว ฟังเสียงแกะเม็ดเกาลัดดัง "แป้ก" ...
กลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้น หวานนุ่มละมุน
เธอไม่ลังเลใจที่จะรวมพลังลมปราณขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง แล้วค่อยๆ ตบพรมลงบนลำต้นทีละนิดๆ สัมผัสได้ถึงรากที่แผ่ขยายอย่างเต็มที่อยู่ใต้ดิน จึงค่อยละสายตาไปอย่างเสียดาย
"โตขึ้นมาให้ดีนะ อีกหน่อยต้องพึ่งพาเธอแล้ว"
ซ่งซานเฉินตะโกนเรียกเธอจากด้านหน้า "ลูกมาดูอะไรหน่อยซิ ตรงนี้ตอกเสาเพื่อล้อมรั้วได้ไหม"
การล้อมรั้วเหล็กที่นี่แพงเกินไป ยังไงก็ต้องเป็นตาข่ายเชือกธรรมดา ส่วนใหญ่ก็คงใช้แค่เป็นการตักเตือนบอกคนที่ชอบหยิบฉวยของไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เป็นการตักเตือนอ้อมๆ ว่า ‘ที่นี่มีเจ้าของ ใครอย่าแตะ’
สิ่งรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่ในชนบทก็ทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้นแหละ อาจจะป้องกันไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี ซ่งถานประมาณพื้นที่คร่าวๆ ในใจแล้วจึงพยักหน้า "ได้ ตรงนี้แหละค่ะ"
ซ่งซานเฉินเห็นท่าทางคิดคำนวณจริงจังของเธอ แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ "ดูหนูสิ ทำคิดเป็นจริงเป็นจังเหมือนกับตัวเองดูมุมเป็น กะตำแหน่งตอกเสาถูกหรือยังไง"
ซ่งถานก็เอาใจพ่อของเธอ "แล้วถ้าเกิดลูกสาวพ่อมีพรสวรรค์ ดูเป็นขึ้นมาจริงๆ ล่ะคะ อย่าลืมหนูลูกสาวพ่อเชียวนะ เก่งไม่แพ้กันหรอก"
ซ่งซานเฉินถูกเอาใจจนหน้ามืด "นั่นสิ ตอนเด็กๆ พ่อให้หนูขี่คอตลอดเลยนี่เนอะ"
หลังจากพูดจบ ซ่งซานเฉินก็มองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครอยู่ แล้วพูดกระซิบ "ถานถานเอ๊ย ว่าแต่..ช่วงนี้หนูได้เงินมาเยอะไม่น้อยเลยนะ"
ตอนนี้ก็กลางเดือนมีนาคมแล้ว ซ่งถานขายผักไปแล้วประมาณหกครั้ง ซึ่งได้เงินมาเยอะมากจริงๆ เมื่อรวมกันแล้วก็แทบซื้อรถกระบะเล็กๆ ได้คันหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ซ่งถานมองพ่อของเธอด้วยรอยยิ้ม "ก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง พ่ออยากได้อะไรเหรอ"
ซ่งซานเฉินดีใจมาก อึกอึกอักอัก "เอ่อ คือว่า...หนูชอบกินปลานี่ แล้วพ่อก็คิดว่าจะไปตกปลาตอนฝนตกเวลาไม่มีอะไรทำ หนูจำลุงหวู่ในหมู่บ้านเราได้ไหม เขาเพิ่งซื้อคันเบ็ดใหม่มา ราคาห้าร้อยกว่าแน่ะ! "
"ลูกว่า...คือซื้อให้พ่อสักคันได้ไหม แล้วถ้าแม่ถาม ก็บอกไปว่าแปดสิบก็พอ"
เฮ้อ ตอนนี้เขาก็ไม่มีงานอดิเรกอื่นแล้ว นอกจากตกปลา…
ซ่งถานรู้สึกจุกในใจ พ่อแม่ประหยัดอดออมขนาดนี้ ก็เพื่อพวกเธอพี่น้องสองคนไม่ใช่เหรอ
แต่พอพูดถึงคันเบ็ด...ซ่งถานก็ปรึกษากับพ่อของเธออย่างจริงจัง "พ่อคะ ถ้าพ่อเลิกสูบบุหรี่ได้ พ่อจะประหยัดเงินได้ปีละสามถึงสี่พันเลยนะ แล้วหนูจะเพิ่มให้พ่อเป็นสี่พันแทน เอาเงินไปซื้อคันเบ็ดตอนนี้เลย"
ซ่งซานเฉิน : ...
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง "หนูไม่เข้าใจหรอก คนที่ตกปลาเก่งจริงๆ เขาไม่ดูที่คันเบ็ดหรอก คันเบ็ดราคาหลายพันก็ไม่จำเป็น คันเบ็ดที่พ่อใช้อยู่ตอนนี้ก็รู้สึกถนัดมือดีแล้ว"
สุดท้ายเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคันเบ็ดตกปลากับยาสูบ ยาสูบก็ยังเข้าเส้นชัยเสมอสำหรับพ่อเธอ
ตอนนี้จะให้พ่อเลิกสูบบุหรี่คงยังเป็นไปได้ยาก
ซ่งถานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "แต่ว่าช่วงนี้พ่อก็เหนื่อยเยอะเหมือนกัน อยากได้คันเบ็ดไม่ใช่เหรอคะ อยากได้แบบไหนล่ะ ลองเลือกดูสิ"
เสียงรถจากที่ไกลๆ ค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้ คนส่งตาข่ายมาถึงแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้าน อู่หลานก็ยังอยู่ที่บ้านซ่งโหย่วเต๋อเพื่อเพาะเชื้อเห็ดอยู่ เดิมทีควรจะจัดการเสร็จไปนานแล้ว แต่เนื่องจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ต้นไม้ที่ตัดมีความชื้นสูงเกินไป จึงต้องนำต้นไม้ออกไปตากแดดไว้หลายชั่วโมงก่อน จึงจะเจาะรูได้
ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเพาะอย่างเป็นทางการ
ซ่งซานเฉินก็ยิ้มแย้ม "คนที่มาน่ะล้วนแต่เป็นรุ่นปู่ย่าตายายของแม่หนูทั้งนั้น ทุกวันก็แค่คุยกับปู่ย่าตายายเธอบ่อยๆ ไม่ให้เหงาปาก พวกท่านก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ คนสูงอายุในหมู่บ้านเรามาเกือบหมดแล้ว มีแค่สองคนที่พ่อไม่ได้เชิญ คนทั่วไปไม่มีใครรับมือสองคนนั้นไหวหรอก"
ซ่งถานรู้ว่าเป็นใคร
คนหนึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ในหมู่บ้านทั่วไป ที่โด่งดังแต่เรื่องไร้สาระไปวันๆ แม้แต่ลูกหลานแท้ๆ ก็ยังเอาไม่อยู่
อีกคนหนึ่งเป็นคนที่กล้าเที่ยวใส่ยาเบื่อในสัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านไปทั่ว (แต่ไม่สำเร็จ) เพื่อหวังแอบขโมยฟักทอง
ก็คือคนแบบนี้มีอยู่ทุกที่ เราทำได้แค่หลีกเลี่ยง..
ซ่งซานเฉินนึกขึ้นได้ก็พูดไม่ออก ตอนนี้เลยพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน "แต่ว่าถานถาน อย่าลืมตอนแรกเราไม่ได้พูดเรื่องเงินกับพวกเขา แต่จริงๆ พวกท่านก็อายุมากแล้ว เกิดเดี๋ยวพอปวดหัวล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา ญาติๆ แกก็จะบอกว่านี่เป็นเพราะการจ้างงานของเราหรือเปล่าลูก แล้วก็จะมาเรียกร้องให้จ่ายค่าชดเชย ดังนั้นเราต้องอธิบายกับพวกเขาให้เคลียร์ก่อนนะ"
ถึงจะต่างเป็นคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง แต่คนไม่เข้าท่าก็มีไม่น้อย
แบบนี้จึงดีแล้ว หวังหลี่เฟินไม่ได้เรียกจ้างใครเป็นพิเศษว่าจะให้เงิน แต่เอ่ยปากชวนว่าใครอยากมาช่วยก็มาเลย ไม่ได้มีเงินตอบแทนใดๆ เพียงแต่จะช่วยจัดการเรื่องอาหารการกินให้ ใครมาช่วยข้อดีก็คือมีคนคุยให้แก้ขัดได้ สำหรับผู้สูงอายุที่เหงาและโดดเดี่ยวก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้มีความสุขแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ซ่งซานเฉินยังบอกอีกว่า พอทำเสร็จแล้วก็จะเอาเนื้อหมูไปให้คนละสองชิ้นใหญ่ๆ ทุกคนก็ยิ่งขยันมากยิ่งขึ้น
แต่ซ่งซานเฉินก็รอบคอบไว้ก่อน ตอนนี้เลยปรึกษากับซ่งถาน
"พวกผักป่าที่เราขาย? ถึงเวลานั้นราคาต้องแพงยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหมลูก? "
แน่นอน…
ซ่งถานขายผักป่าในราคา 30 หยวนต่อกิโลไม่เปลี่ยนแปลงราคาใดๆ จริงๆ ก็นับว่าแพงใช่เล่น ก็คล้ายกับเป็นการเพิ่มมูลค่าผักให้กลายเป็นสินค้าพรีเมียมในห้าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านราคา อีกหน่อยจึงมีแนวโน้มที่ผักป่าราคาอาจจะเพิ่มสูงกว่านี้อีกเป็นเท่าตัว แต่ซ่งซานเฉินอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาตลอดหลายปี ในใจคิดรอบคอบมากยิ่งขึ้น "พ่อคิดว่า ถ้าของพวกนี้มีแค่ที่บ้านเรา และราคายิ่งจะสูงมากขึ้นไปอีก อีกหน่อยคนอื่นจะไม่แอบหยิบไปนิดหยิบไปหน่อยเหรอ เราก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยใช่ไหมล่ะ ลำบากใจเปล่าๆ "
บ้านต่างจังหวัดก็เป็นแบบนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
"แม้ว่าจะไม่ได้แอบหยิบไป แต่ถ้าคนในหมู่บ้านมาขอซื้อ แพงไปก็บอกว่าเราไม่เห็นอกเห็นใจ ถูกไปก็จะกลายเป็นไม่คุ้มค่ากับฝ่ายเรา งั้นเป็นแบบนี้ดีกว่า ถ้าเสร็จงานเพาะเห็ดแล้ว เราก็แจกเห็ดหูหนูและเห็ดหูหนูขาวไปให้เขาเพาะกันเองคนละถุงเลยดีไหม…จะได้ไม่ต้องมาขอซื้อหรือแอบหยิบเล็กหยิบน้อย หรือจะให้อะไรไปก็ได้ไว้ค่อยว่ากันอีกที"
"ถานถาน ลูกคิดว่ายังไง"
โอ้!
ซ่งถานไม่เคยคิดจุดนี้มาก่อนเลย นักบำเพ็ญเพียรวิชาเซียนอย่างเธอ ปลูกพืชผักวิเศษมากมายบนยอดเขาอินเยว่มานับไม่ถ้วน แต่ ณ โลกแห่งผู้บำเพ็ญเพียร เธอไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็ไม่เคยต้องคอยหวาดระแวง ว่าบ้านอื่นจะมาฉกฉวยพืชผักของเราไป
ตอนนี้เธอพยักหน้ารัวๆ ชูนิ้วโป้งให้ซ่งซานเฉิน
"พ่อ ยังไงก็ต้องเป็นพ่อ! "
ซ่งซานเฉินหัวเราะอย่างภูมิใจ "นั่นสิ! เกลือที่พ่อกินมามากกว่าข้าวที่หนูกินอีกนะ"