บทที่ 175 หากข้าจะไป ใครก็ขวางข้าไม่ได้
ต้นหยวนหลิง!
ผลหยวนหลิงที่สุกงอม!
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเซวียเหิน แววตาหลัวเฉิงก็เป็นประกาย
ตั้งแต่ทราบว่าเกล็ดเก้าสีสามารถหลอมสมุนไพรวิญญาณได้ หลัวเฉิงก็มีใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณอยู่หลายเล่ม และได้เห็นคำอธิบายเกี่ยวกับผลหยวนหลิง
ผลหยวนหลิงเป็นสมุนไพรวิญญาณสี่ดาว สามารถช่วยให้เลือดเนื้อและพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ผสานกันได้!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเขตแดนลึกลับที่กลืนผลหยวนหลิง จะสามารถขยายทะเลแห่งจิตวิญญาณ หลอมรวมพลังวิญญาณ และเพิ่มระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นได้
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหก จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นสามถึงห้าในสิบที่จะเปิดจุดทะเลแห่งจิตวิญญาณและทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับได้ง่ายขึ้น!
เพราะฉะนั้น ผลหยวนหลิงจึงนับว่าล้ำค่ากว่าสมุนไพรวิญญาณสี่ดาวทั่วไป หนึ่งผลมีมูลค่าเกือบสองล้านตำลึง!
“ไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดผู้คนจึงพากันหลั่งไหลไปยังหุบเขาใจกลางเกาะเช่นนี้”
หลัวเฉิงมองไปทางยอดเขาสูงตระหง่าน แล้วหันมายิ้มให้เซวียเหิน “แล้วเจ้าไม่ไปด้วยหรือ?”
เซวียเหินส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่า สิบตัวเต็งก็คงได้ทราบข่าวนี้เช่นเดียวกัน ป่านนี้คงถึงใจกลางเกาะแล้วเป็นแน่ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้าอีกหลายสิบคน หากเทียบฝีมือกับพวกเขาแล้วข้าก็มิอาจสู้ได้”
หลัวเฉิงยิ้มเล็กน้อย ดูท่าว่าชายผู้อยู่เบื้องหน้าเขาจะมีนิสัยคะนึงถึงเหตุผลใช่น้อย แม้แต่ความโลภก็มิอาจอำพรางตาเขาได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีพลังยุทธ์และฝีมือไม่สูงส่งพอ ไปก็มีแต่จะตายเปล่าเท่านั้น
“ข้าว่าจะไปสังเกตการณ์ที่นั่นเสียหน่อย! เจ้าสนใจไปด้วยหรือไม่?”
แม้จะไม่มีผลหยวนหลิง แต่เมื่อได้ทราบว่าหลินจินไท่อยู่ที่นั่น หลัวเฉิงไหนเลยจะนิ่งเฉยอยู่ได้
“ท่านจะไปงั้นหรือ?”
เซวียเหินตะลึงไปครู่หนึ่ง เดิมทีเขาคิดจะห้ามปราม แต่พอนึกถึงว่าหลัวเฉิงถูกคนหมู่มากเข้าล้อมโจมตีเมื่อคืนแล้วยังไม่เป็นอะไร จึงทำได้เพียงกลืนวาจานั้นลงท้องแล้วตอบว่า “ประเสริฐ! เช่นนั้นข้าเองก็จะไปดูเช่นกัน!”
“งั้นเราไปกันเถอะ เชิญศิษย์พี่หลัวเฉิง!”
เซวียเหินได้ทราบข่าวนี้ก่อนจึงพอรู้ทางอยู่บ้าง หลังกล่าวเช่นนั้นเขาก็ผายมือออกไปแล้วเดินนำหน้าในทันที
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ทั้งสองก็ใกล้จะบรรลุถึงใจกลางเกาะแล้ว
ครั้นทอดสายตามองจากระยะไกล ยอดเขาใจกลางเกาะที่สูงตระหง่านแห่งนี้ คล้ายว่าจะมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่มากมายสุดคณานับ ยิ่งย่างกรายเข้าใกล้เรื่อยๆ ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งส่งผลมากขึ้นเช่นเดียวกัน!
ยอดเขาใจกลางเกาะ หน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านบนพื้นดิน ราวกับเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ที่แทงทะลวงม่านเมฆาขึ้นไปบนฟ้า แผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามและสง่างามยากยิ่งหาใดเปรียบ!
เซวียเหินพาหลัวเฉิงเดินอ้อมยอดเขาใจกลางเกาะหลายสิบลี้ จนมาถึงหน้าผาด้านข้างแห่งหนึ่งซึ่งมีความสูงกว่าร้อยจั้ง
ทางขึ้นหน้าผาแห่งนี้ รอบข้างล้วนเป็นเหวลึก มีเพียงด้านตะวันออกเท่านั้น ที่มีถนนเล็กๆ สายหนึ่งทอดยาวขึ้นสู่ยอดเขา
ในเวลาเดียวกันนี้ ทั่วอาณาบริเวณพื้นที่ของเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขานั้น มีผู้คนมารวมตัวกันมาตรว่าไม่ต่ำร้อย กำลังปิดกั้นหนทางไม่ให้ผู้ใดย่างกรายขึ้นสู่ยอดเขาได้
“พวกนั้นคือผู้ติดตามของตัวเต็งสิบอันดับแรก หากเป็นเช่นนี้เราจะขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างไร”
เซวียเหินทอดถอนใจด้วยความรู้สึกผิดหวัง
ด้วยว่าใจเขาเองก็อยากไปดูสถานการณ์ให้เห็นกับตาเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเหล่าอัจฉริยะมารวมตัวกันเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่ามันต้องน่าตื่นเต้นมากทีเดียว
“หากข้าจะไป ใครก็ขวางข้าไม่ได้”
หลัวเฉิงไม่สะทกสะท้านต่อคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่หลัวเฉิง แต่คนเหล่านั้นมีมากมายตั้งขนาดนี้ ข้าเกรง....”
เซวียเหินพยายามห้ามปราม แต่หลัวเฉิงก้าวออกไปแล้ว จึงรีบสืบเท้าตามอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน!”
เมื่อทั้งสองเข้าใกล้ทางขึ้นสู่ยอดเขา ศิษย์บำรุงสำนักคนหนึ่งซึ่งมีร่างกายกำยำก็ก้าวออกมา แล้วตวาดเสียงแข็งกร้าว “เส้นทางนี้ถูกปิดกั้นแล้ว! ไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้น!”
ในเวลาเดียวกัน ก็ปรากฏร่างหนึ่งที่เดินออกมาจากป่าทึบ เมื่อถึงทางเดินกลุ่มคนเหล่านี้ก็แหวกทางให้ทันที
หลัวเฉิงขมวดคิ้วเข้าเป็นปม “เหตุใดเขาถึงขึ้นไปได้?”
ศิษย์หนุ่มร่างกำยำกล่าววาจาเย้ยหยัน “ศิษย์พี่หวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้า ทั้งยังมีฝีมือไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเขาต้องสามารถขึ้นไปได้อยู่แล้ว ตอนนี้ผู้ใดก็รู้ว่าบนยอดเขานั้นมีของล้ำค่าอยู่ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณสมบัติขึ้นไปแย่งชิง! หากไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ!”
“นั่นมัน…หลัวเฉิง!”
จู่ๆ ในกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีผู้หนึ่งส่งเสียงอุทานดังขึ้น
“หากสังหารเขาก็จะได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกทันที!”
ในทันใด ผู้คนทั่วทั้งบริเวณโดยรอบก็ต่างหันมามองหลัวเฉิง ราวกับเห็นลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือด!
สายตาของศิษย์หนุ่มร่างกำยำก็เปลี่ยนไป จ้องมองหลัวเฉิงด้วยแววตาแห่งความละโมบ
ในใจเซวียเหินรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องต้องออกมาเป็นเช่นนี้แน่
เมื่อเห็นผู้คนย่างเข้าใกล้ตนขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นแล้วหลัวเฉิงยังคงสีหน้าเรียบเฉย สายตาเขากวาดรอบด้านแล้วกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามลมหายใจ ถอยออกไปซะ! มิเช่นนั้น ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมาได้!”