ตอนที่แล้วบทที่ 207 จะฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่าไหร่ก็เชิญ เราจะยึดทรัพย์ให้เท่าเทียม!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 209 ชาวบ้านตาดำๆ ห้ามรังแก แต่คนร่ำรวยจะรังแกอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ!

บทที่ 208  ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เหตุใดต้องกล่าวโทษเจ้าเล่า?


[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]

[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด]

[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]

บทที่ 208  ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เหตุใดต้องกล่าวโทษเจ้าเล่า?

“ก๊อกๆๆ...”

ณ บัดนั้น เสียงเคาะประตูดังมาจากภายนอก

มีผู้หนึ่งมาร้องทุกข์

ปกติหลินเป่ยฟานไม่จัดการคดีเล็กๆ น้อยๆ แต่ตอนนี้เขามีอารมณ์ดี “บังเอิญว่าข้ามีเวลาว่างพอดี ดังนั้นข้าจะจัดการคดีนี้เอง!”

หลินเป่ยฟานเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นหญิงสาวคุกเข่าลง นางมีรูปโฉมงดงาม แต่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นและมีสีหน้าลำบากใจ

หลินเป่ยฟานตบโต๊ะแล้วถามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นผู้ใด? แจ้งชื่อแซ่มา!”

“ขออภัยท่าน ข้าน้อยชื่อ ฉีจาง เป็นสามัญชน เดินทางมาจากนครหูโจวเพื่อร้องทุกข์ ขอท่านเมตตาช่วยเหลือด้วย” สตรีผู้นั้นโค้งคำนับและวิงวอนอย่างน่าสงสาร

จวนเจ้านครหลวงที่หลินเป่ยฟานพำนักอยู่นั้น เป็นศูนย์กลางทางการนครของอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ มีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถจัดการเรื่องร้องทุกข์จากทั่วอาณาจักรได้ เปรียบเสมือนกรมยุติธรรมขนาดย่อม หากไม่สามารถตัดสินคดีได้ ณ ที่นี้ คดีความจะถูกส่งไปยังกรมยุติธรรมและหน่วยงานตุลาการอื่น ๆ เพื่อพิจารณาคดีร่วมกัน

“ฉีจาง เจ้ามีความคับข้องใจเรื่องใด? รีบแจ้งมา!” หลินเป่ยฟานกล่าว

“เจ้าค่ะ!” สตรีผู้นั้นอธิบายความคับข้องใจของนาง

นางและสามีเคยทำธุรกิจเล็กๆ และใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่มีความสุขในนครหูโจว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรูปโฉมที่ค่อนข้างสะสวยของนาง นางจึงเป็นที่สนใจของขุนนางท้องถิ่นคนหนึ่ง

เขาพยายามบังคับและเกลี้ยกล่อมนาง แต่นางและสามีก็ขัดขืน วันหนึ่งมีบุคคลสี่คนสวมหน้ากากบุกเข้าไปในร้านของพวกเขาและหักขาสามีของนาง นางรีบรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวแก่ทางการท้องถิ่น แต่พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางและปฏิเสธที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนาง พวกเขายังขู่เข็ญนาง ทำให้ชีวิตของพวกเขายากลำบากยิ่งขึ้น

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงจำใจต้องเดินทางไกลมายังนครหลวงเพื่อร้องทุกข์

“เจ้า ข้อกล่าวหานี้เป็นเท็จ!” ในขณะนั้น ชายวัยกลางคนแต่งกายหรูหราก็รีบเข้ามาอย่างร้อนรน

“เจ้าเป็นผู้ใด? มิได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า กล้าบุกเข้ามาในศาล เจ้าทำความผิดอันใด?” อำนาจขุนนางของหลินเป่ยฟานควบคุมสถานการณ์อย่างมั่นคง

“ท่านเจ้าคะ เขาคือขุนนางที่หักขาสามีของข้า ขอท่านเจ้าโปรดช่วยนำตัวคนร้ายที่แท้จริงมาลงโทษด้วย!” หญิงที่ร้องทุกข์กล่าวอย่างโกรธเคือง

“นายท่าน ข้าน้อยถูกใส่ร้ายป้ายสี!” ขุนนางตะโกน “นางใส่ร้ายว่าข้าน้อยทำร้ายนาง แต่นางไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมได้ เหตุใดข้าน้อยจึงต้องถูกกล่าวหา? นางเพียงต้องการรีดไถเงิน ขอท่านโปรดช่วยข้าน้อยด้วย!”

หลินเป่ยฟานพยักหน้า “เราเข้าใจแล้ว! จับกุมคนผู้นี้และโบยสามสิบที!”

ทันใดนั้น มือปราบสองนายก็เดินไปข้างหน้าและจับกุมฉีจาง หญิงสามัญชน

ฉีจางตื่นตระหนก “ท่านเจ้าคะ ข้าบริสุทธิ์!”

หลินเป่ยฟานโบกมือและชี้ไปที่ขุนนาง “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เราหมายถึงลงโทษเขา!”

ขุนนางผู้นั้นตกตะลึง “นายท่าน ทำไมท่านถึงต้องการลงโทษข้าน้อยด้วย? ข้าน้อยบริสุทธิ์!”

“เจ้ากล้าอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์งั้นรึ?” หลินเป่ยฟานตบโต๊ะแล้วตะโกน “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าทำผิด แล้วเหตุใดนางจึงกล่าวหาเจ้า?”

ขุนนางอุทาน “อะไรกันนี่!”

ตรรกะวิบัติอะไรเช่นนี้? ถ้านางกล่าวหาข้า นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนเลวหรือ?

หลินเป่ยฟานโบกมืออีกครั้ง “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว โบยเขาสิบที!”

ผู้ช่วยเจ้านครจางที่นั่งอยู่ข้างๆ อ้าปาก “ท่านเจ้านคร การใช้อำนาจในทางมิชอบในคดีนี้อาจจะ…”

หลินเป่ยฟานตะโกน “เราเป็นผู้ตัดสิน อย่าขัด!”

ผู้ช่วยเจ้านครก็ปิดปากอย่างว่าง่าย

จากนั้นมือปราบสองนายก็จับขุนนางไว้ และมือปราบอีกคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและโบยเขาอย่างไร้ความปราณี ทำให้เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าใกล้จะตาย

หลังจากโบยสิบครั้ง หลินเป่ยฟานก็ถามว่า “ฉีจาง เจ้าอ้างว่าเขาทำร้ายสามีของเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือพยานหรือไม่?”

ฉีจางส่ายหน้าและกล่าวอย่างขมขื่น “ตอนนั้นมีเพียงสามีกับข้า ไม่มีหลักฐานหรือพยาน แต่ข้าจำได้ว่าหนึ่งในคนสวมหน้ากากเป็นคนรับใช้จากจวนของขุนนาง เขาชื่อ หลิวซาน และเป็นที่โปรดปรานของขุนนาง เขาทำตามคำสั่งของขุนนางเท่านั้น!”

“นายท่านขอรับ ท่านได้ยินเองกับหูแล้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่มีหลักฐาน แต่นางก็ยังใส่ร้ายข้าน้อย ข้าน้อยบริสุทธิ์จริงๆ!” ขุนนางคร่ำครวญ

หลินเป่ยฟานตะโกน “เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือ? เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังไม่สำนึก โบยเขาอีกสิบที!”

ขุนนางอุทาน “อะไรกันนี่!”

และอีกครั้งหนึ่ง มีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นเมื่อขุนนางผู้นั้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

หลินเป่ยฟานถามฉีจางต่อ "ตอนนี้หลิวซานอยู่ในนครหรือไม่?"

“กราบทูลนายท่านเจ้าคะ หลิวซานตามขุนนางผู้นี้มาที่นครหลวง!”

“ดี งั้นเรียกตัวหลิวซานมา!”

คนรับใช้หน้าตาเจ้าเล่ห์ก้าวออกมา

แต่เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของนายของเขา เขาก็ตกใจ “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกับท่าน…”

หลินเป่ยฟานตะโกน “จับเขาไว้และโบยหลิวซานหนึ่งร้อยที!”

หลิวซานผงะ “นายท่าน ไฉนเลยท่านถึงลงโทษข้าน้อยด้วย?”

หลินเป่ยฟานตะโกน “เพราะนายของเจ้าสารภาพ! เขากล่าวว่าเจ้าหลงใหลในความงามของฉีจางและสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นเพื่อหักขาสามีของนาง!”

หลิวซานร้อนใจ “เป็นไปไม่ได้! นายท่านจะสารภาพได้ยังไง?”

หลินเป่ยฟานยิ้มกว้าง “เพราะข้าทำให้เขาสารภาพด้วยการทรมาน!”

หลิวซานอุทาน “อะไรกันนี่!”

หลินเป่ยฟานยังคงยิ้มต่อไป “เจ้าเห็นสภาพอันน่าสังเวชของนายของเจ้าหรือไม่? นั่นแหละคือผลของการโบยยี่สิบที! ลองนึกภาพถ้าเจ้าโดนโบยร้อยทีสิ เจ้าจะเป็นอย่างไร?”

หลิวซานหวาดกลัว!

เพียงยี่สิบครั้งก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วจะรอดจากการโบยร้อยครั้งได้อย่างไร?

ชายตรงหน้าเขาเป็นเหมือนหมาป่าดุร้าย!

น่ากลัวยิ่งกว่ายมบาล!

“นายท่านขอรับ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด! สถานการณ์มิเป็นเช่นที่เห็น…” หลิวซานคุกเข่าลงทันใด ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด

“แท้จริงแล้ว พวกเราเป็นผู้ทำร้ายสามีของฉีจาง แต่พวกเราไม่กล้าทำเลยหากมิได้คำสั่งจากนายท่าน พวกเราเป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดา!”

“นายท่านของข้าหลงใหลในความงามของแม่นางฉีจาง แต่ความรักของเขามิได้รับการสนอง ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความรุนแรง! พวกเราเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด นายท่านของข้าต่างหากคือผู้กระทำผิดที่แท้จริง ขอท่านเจ้าโปรดสืบสวนเรื่องนี้!”

“แต่ นายของเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนทำ และเจ้าบอกว่าเป็นฝีมือของนายเจ้า เราควรจะเชื่อใครดี?” หลินเป่ยฟานส่ายหน้าอย่างผิดหวัง

“นายท่านขอรับ ข้าน้อยมีพยาน พวกเขาเกี่ยวข้องกับข้าน้อย และพวกเขาสามารถเป็นพยานให้ข้าน้อยได้!”

“พวกเขามาถึงแล้วหรือไม่?”

“มาถึงแล้วขอรับ!”

“ถ้าเช่นนั้น พาพวกเขาเข้ามา!”

ครู่หนึ่ง คนอื่นๆ อีกสามคนก็เดินเข้ามาด้วยความหวาดกลัว

หลินเป่ยฟานตะโกน “ขังพวกเขาแต่ละคนไว้ในห้องแยกกันเพื่อสอบสวน หากคำให้การของพวกเขาขัดแย้งกัน แสดงว่าคนนั้นโกหกและมีความผิด ให้โบยพวกเขาหนึ่งร้อยครั้งก่อนสืบสวนต่อไป!”

ในท้ายที่สุด ทุกคนก็สารภาพเพื่อปกป้องตนเอง

คำให้การของทุกคนเหมือนกันทั้งหมด ทั้งหมดชี้ไปที่ขุนนางผู้นั้น

เขาริษยาในความงามของแม่นางฉีจาง แต่ไม่สามารถได้นางมาครอบครอง ดังนั้นเขาจึงทำไปด้วยความโกรธและสั่งให้ทุบตีสามีของนาง

หลังจากนั้น เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะแจ้งความ เขาก็ขัดขวางพวกเขามากยิ่งขึ้น

พวกเขาเขียนรายละเอียดทั้งหมดไว้ในคำให้การอย่างชัดเจน

“ท่านขุนนาง เจ้ามีอะไรจะแก้ต่างหรือไม่?” หลินเป่ยฟานตะโกน

“ข้าน้อยขอรับสารภาพ ขอความเมตตาด้วย ท่านรองเจ้านคร!” ขุนนางตัวสั่น

หลินเป่ยฟานตบมือ “ดี การรับสารภาพเป็นสิ่งที่ฉลาด! ตามความผิดของเจ้า ตามกฎหมายอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องรับโทษโบยแปดสิบครั้ง จำคุกห้าปี และต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดและค่ารักษาพยาบาลให้กับเหยื่อ รวมเป็นเงินสามร้อยตำลึง!”

“ขอรับ ท่านรองเจ้านคร!” ขุนนางก้มหน้าลง

“แล้วพวกเจ้าทั้งสี่ รับสารภาพหรือไม่?” หลินเป่ยฟานตะโกน

“พวกข้ารับสารภาพ!” คนรับใช้ทั้งสี่ตัวสั่น

“ตามกฎหมายอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ พวกเจ้าจะต้องรับโทษโบยห้าสิบครั้ง จำคุกสามปี เพื่อเป็นการเตือนผู้อื่น!”

ดังนั้น การพิจารณาคดีนี้จึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

“ขอบพระคุณท่านรองเจ้านครที่ช่วยเหลือข้าน้อย! ขอบพระคุณท่านรองเจ้านคร! ขอสวรรค์อวยพรท่าน!” ฉีจางร้องไห้ด้วยความดีใจ

นางมาถึงนครหลวงด้วยความหวังเพียงเล็กน้อยเมื่อนำเรื่องร้องเรียนมาด้วย เพราะเหล่าขุนนางก็ปกป้องซึ่งกันและกัน และในฐานะสามัญชน นางคงไม่สามารถชนะพวกเขาได้แน่

แต่ไม่คาดคิดเลยว่า นางได้พบกับขุนนางหนุ่มผู้ตัดสินคดีได้อย่างเด็ดขาด ไม่เพียงแต่นำตัวคนผิดที่แท้จริงมาลงโทษเท่านั้น แต่ยังได้รับค่าชดเชยให้นางอีกด้วย ช่างเป็นความสุขที่ส่งมาอย่างกะทันหันจริงๆ!

“ขอบพระคุณท่านเจ้าค่ะ! ขอบพระคุณ ขอสวรรค์อวยพรท่าน…” นางโค้งคำนับและขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลินเป่ยฟานโบกมือด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปได้แล้ว แต่ข้าจะให้คนจับตาดูพวกมันจนกว่าพวกมันจะส่งเงินให้เจ้า!”

“ขอบพระคุณท่านเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลา!” ฉีจางกล่าว

เมื่อคดีสิ้นสุดลง หลินเป่ยฟานยิ้มและถามผู้พิพากษาและผู้ช่วยผู้พิพากษาที่อยู่ในที่นั้นว่า “ทุกท่าน คิดว่าระดับการจัดการคดีของข้าเป็นเช่นไร?”

“ท่านรองเจ้านคร เป็นฝีมือการสืบสวนระดับสูง! สูงมากจริงๆ!” ทุกคนยกนิ้วให้

หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างพอใจ

“แต่ท่านรองเจ้านคร จะเกิดอะไรขึ้นหากท่านทำผิดพลาดและลงโทษคนผิด?” ขุนนางคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“คดีความยังไม่ได้รับการสอบสวนอย่างเต็มที่ ท่านเจ้านครก็ลงโทษพวกเขาด้วยการโบยแล้ว ที่แย่ที่สุดก็อาจถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด! ผลลัพธ์ที่เบากว่าอาจส่งผลให้ถูกลดตำแหน่งหรือปลดออกจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่รุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้!”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย!” หลินเป่ยฟานหัวเราะ “เมื่อขุนนางผู้นั้นเข้ามา ข้าเห็นในแววตาของเขา มีร่องรอยของความหลงใหล ความโหดร้าย และความเสียใจ! หลงใหล เพราะเขาโลภในความงามของฉีจาง โหดร้าย เพราะความปรารถนาของเขาไม่เป็นผล และมันจุดประกายความชั่วร้ายในตัวเขา เสียใจ เพราะเขาไม่มีเวลาหยุดมัน และปล่อยให้อีกฝ่ายไปแจ้งความ!”

“ดังนั้น ข้าจึงสรุปว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดที่แท้จริง ข้าใช้วิธีเดียวกับที่พวกเขาใช้ นั่นคือ 'กล่าวหา' พวกเขา เพื่อทำลายการป้องกันทางจิตใจของพวกเขาและดึงเอาหลักฐานที่ตามมาจากพยาน”

“ท่านรองเจ้านคร ช่างน่าประทับใจ น่าประทับใจจริงๆ!” ทุกคนยังคงประจบประแจง

“ตอนนี้ ข้ามีคำถามสำหรับพวกเจ้าทุกคน! ปกติแล้วพวกเจ้าจัดการกับคดีแบบนี้อย่างไร เมื่อสามัญชนฟ้องร้องขุนนางหรือผู้มีอำนาจ?”

“ท่านรองเจ้านคร แน่นอนว่าพวกเราปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ในการจัดการคดีความ! ขั้นแรก เราชี้แจงเหตุผลเบื้องหลังคดี จากนั้นเราเรียกคู่กรณีมาสอบปากคำเพิ่มเติม จากนั้นเราก็ค้นหาพยานและหลักฐาน สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดที่แท้จริง และสร้างความจริงของคดีขึ้นมาใหม่ ขั้นตอนสุดท้ายคือการตัดสิน!” ขุนนางคนหนึ่งอธิบายไม่หยุดหย่อน

“มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเพิ่ม ในฐานะขุนนางผู้แทนราชสำนัก พวกเราต้องเป็นกลางและเข้มงวด โดยไม่เข้าข้างใคร!” ขุนนางอีกคนเสริม

“เป็นเช่นนั้นหรือ?” หลินเป่ยฟานเอียงศีรษะและยิ้ม “แต่ข้าสังเกตเห็นว่าจวนเจ้านครแห่งนี้รับคดีที่ราษฎรฟ้องร้องขุนนางหรือผู้มีอำนาจไว้มากมาย และผลลัพธ์เป็นเช่นไร ราษฎรก็แพ้เสมอ! ความยุติธรรมและความเข้มงวดนี้เริ่มต้นจากที่ใด? หรือว่าเงินของพวกท่านก็ได้มาจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากคดีเหล่านี้?”

เหล่าขุนนางที่อยู่ในที่นั้นถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก!

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด