บทที่ 5 ข้าไม่รับคนพิการ!
บทที่ 5 ข้าไม่รับคนพิการ!
ซื่อหวินจะพอมีความรู้เกี่ยวกับโรงฝึกวรยุทธ์ในเมืองหลิวอยู่บ้าง
ถึงแม้เขาจะออกไปดูเองไม่ได้ แต่ก็ยังมีซื่อฮุ่ยที่ออกไปดูแทนเขาได้
ภายในเมืองหลิวนั้นมีโรงฝึกอยู่มากมาย
แต่โรงฝึกที่ดีและโด่งดังที่สุดคือโรงฝึกกังจิน
ว่ากันว่าหัวหน้าโรงฝึกกังจินนั้นมีชื่อเสียงมาในหมู่ผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วเมืองหลิวอีกด้วย
นอกจากนี้ศิษย์ในโรงฝึกกังจินก็มีถึงหลายร้อยคน
ที่สำคัญคือค่าเล่าเรียนก็สมเหตุสมผล
นอกจากนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องสถานะของศิษย์ด้วยเช่นกัน
ศิษย์ที่โดดเด่นหลายคนล้วนมาจากชนชั้นล่างสุดในเมืองหลิว แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักพวกเขาก็ได้กลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจ
เรียกได้ว่ามันพลิกชะตาชีวิตของพวกเขาได้เลยทีเดียว
"ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปที่โรงฝึกกังจินนี่แหละ!"
ซื่อหวินตัดสินใจ
ว่าแล้วซื่อหวินก็ค่อยๆลุกขึ้น
เขาให้ซื่อฮุ่ยเตรียมไม้ค้ำให้เขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
ซื่อหวินมองไปที่ขาขวาของตัวเอง
จริงๆแล้วถ้าเขาตัดขาท่อนล่างออกไปเลยอาจจะสะดวกกว่า
แต่ซื่อหวินยังไม่อยากตัดขา
เพราะเขาเองก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง
เขาหวังว่าในอนาคตอาจจะมียาวิเศษบางอย่างที่ทำให้ขาขวาของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง
ต่อให้มีโอกาสเพียงน้อยนิด เขาก็จะไม่ยอมเลิกหวัง!
แต่ตอนนี้ขาท่อนล่างขวาของเขาก็ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับเขา
เพราะการฝึกวรยุทธ์นั้น การเคลื่อนไหวของซื่อหวินมีผลอย่างมาก
แต่แล้วซื่อหวินก็คิดหาวิธีจนได้
เขาเตรียมแผ่นเหล็กมา
เขามัดแผ่นเหล็กไว้ที่หัวเข่าทั้งสองละข้าง
ความยาวของแผ่นเหล็กนั้นยาวกว่าขาท่อนล่างขวาเล็กน้อย
การทำแบบนี้จะทำให้เขาเดินบนพื้นด้วยขาขวาได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าเท้าขวาจะเข้ามารบกวนการเคลื่อนไหวของเขา
เพียงแต่ว่าขาของเขาจะยาวไม่เท่ากัน
เวลาที่เขาเดินมันก็จะเขยกไปมาด้วย
นอกจากนี้แผ่นเหล็กเองก็มีน้ำหนัก ซึ่งทำให้ซื่อหวินต้องออกแรงมากในการก้าวเดินแต่ละก้าว
แน่นอนว่าถ้าเป็นคนส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกใช้ไม้ค้ำจะดีกว่า
แต่นี่ก็เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
ในเมื่อเขาไม่อยากตัดขา เขาก็ทำได้แต่ประคองร่างกายที่ค่อนข้าง"ไม่สมบูรณ์" แบบนี้ไปก่อน
หลังจากมัดแผ่นเหล็กที่ขาขวาเสร็จ ซื่อหวินจึงลองเดินดู
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกอยู่นิดหน่อย
แต่มันกลับทำให้เขายืนอยู่บนพื้นได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำ แม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ก็ตาม
แม้แผ่นเหล็กที่รัดแน่นกับขาจะทำให้เขาเจ็บปวดมาก แต่ซื่อหวินก็ทำได้เพียงกัดฟันอดทน
ซื่อฮุ่ยช่วยซื่อหวินจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะประคองแขนเขาแล้วพูดว่า "พี่หวิน พวกเราไปกันเถอะ"
แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ซื่อฮุ่ยก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา
หากเป็นสิ่งที่พี่ชายของเขาตัดสินใจไปแล้ว เธอก็จะคอบสนับสนุนอย่างเต็มที่
"แอ๊ด..."
ซื่อฮุ่ยผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออกก่อนจะประคองซื่อหวินก้าวออกไป
วันนี้อากาศดีมาก แม้แดดจะจ้าจนแสบตาแต่กลับไม่ร้อน อีกทั้งยังอบอุ่นอย่างพอดี
หลังจากที่ข้ามโลกมาเนิ่นนาน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ซื่อหวินได้ก้าวออกมาจากนอกห้อง เขามองไปรอบๆพลางพยักหน้าเล็กน้อย
"ดูเหมือนซู่เอ๋อโก่วจะไม่ได้อยู่แถวนี้จริงๆด้วย งั้นพวกเรารีบไปโรงฝึกกังจินตอนที่เขายังไม่รู้ตัวเถอะพี่หวิน"
ที่ซื่อหวินเลือกวันนี้เป็นวันออกจากบ้าน ก็เพราะเขาสังเกตว่าซู่เอ๋อโก่วไม่ได้มาวนเวียนอยู่แถวบ้านอีกแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดี
ซื่อฮุ่ยประคองร่างซื่อหวินซึ่งพวกเขาทั้งคู่เดินผ่านตรอกซอกซอยมากมาย ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนอดอยาก แม้แต่พวกมือปราบจากทางการก็ยังต้องออกตามเก็บศพคนตายไปทิ้งแล้วโรยผงปูนขาวทั่วพื้นเพื่อป้องกันโรคระบาด
นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนทรงที่กำลังแปะยันต์ตามมุมต่างๆพร้อมกับท่องคาถาขอฝน แต่ผ่านไปหลายวันแล้วฝนก็ยังไม่ตก ดูเหมือนว่าอาจารย์ชิ่งหยวนที่ว่ากันว่ามีอิทธิฤทธิ์นั้นจะทำอะไรไม่ได้เลย
เพราะแม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่ตกสักหยด
ซื่อหวินมองไปที่สภาพบ้านเมืองและผู้คน ทุกคนดูซีดเซียว ผ่ายผอม ซึ่งนี่คือสภาพของยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ในทุกวันจะมีคนล้มตาย เขาเองก็ไม่อยากให้ตัวเองหรือคนในตระกูลต้องพบจุดจบแบบนั้น ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการมีชีวิตรอด!
ทั้งสองเดินผ่านตรอกไปหลายสายจนในที่สุดก็มาถึงโรงฝึกกังจิน โรงฝึกนี้ดูใหญ่โตและโอ่อ่ามาก ด้านหน้าประตูมีศิษย์สองคนรูปร่างกำยำยืนเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นซื่อหวินที่เดินกระโผลกกระเผลกพร้อมไม้ค้ำเข้ามา ทั้งสองก็ทำสีหน้าประหลาดใจ
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังพาซื่อหวินไปที่จุดลงทะเบียนของโรงฝึก
"ศิษย์พี่ยื่อซาน มีคนมาสมัครที่สำนักขอรับ"
ศิษย์เฝ้าประตูพูดกับชายร่างกำยำในชุดสีเทาเบาๆ
ศิษย์พี่ยื่อซานที่กำลังหลับตาอยู่เอ่ยขึ้นทันที "ถ้าจะเข้าเรียนที่โรงฝึกแห่งนี้ต้องเรียนอย่างน้อยหนึ่งเดือนพร้อมกับค่าเรียนเดือนละสี่ตำลึงเงิน"
ซื่อหวินไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะเขาหาข้อมูลมาล่วงหน้าแล้วว่าโรงฝึกกังจินจะเก็บค่าเรียนเดือนละสี่ตำลึง ซึ่งเขาก็พอจะจ่ายไหวในเดือนแรก ส่วนเดือนต่อไปค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอแค่ได้เข้าโรงฝึกก่อนก็พอ
"ตกลงขอรับ!"
ซื่อหวินไม่ลังเล เขารีบหยิบเงินออกมาเพื่อลงทะเบียนทันที
ทันใดนั้น "ศิษย์พี่ยื่อซาน" คนนั้นก็ลืมตาขึ้น
"ฟึ่บ"
สายตาของศิษย์พี่ยื่อซานจับจ้องไปที่ซื่อหวิน หลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและมองไปที่ขาขวาของซื่อหวิน
"เดี๋ยวก่อน ขาของเจ้าเป็นอะไรมาน่ะ?"
ศิษย์พี่ยื่อซานถาม
"ขาหรือขอรับ?"
ซื่อหวินยังคงมรสีหน้าเรียบเฉย เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "ขาขวาของข้าพิการขอรับ"
"พิการรึ?"
"หมายความว่าเจ้าเป็นง่อยงั้นรึ? แล้วคนเป็นง่อยอย่างเจ้าจะฝึกวิทยายุทธได้อย่างไรกัน?"
"ถึงโรงฝึกกังจินของพวกเราจะไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดสถานะ แต่พวกเราเป็นนักสู้ การฝึกวรยุทธนั้นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์"
"ไม่งั้นโรงฝึกกังจินของพวกเราคงมีแต่คนตาบอด ขาพิการ จนกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว"
"ดังนั้น พวกเราจึงไม่รับคนพิการเข้าสู่โรงฝึกกังจินของพวกเรา!"
ศิษย์พี่ยื่อซานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พร้อมกับพูดจาไม่ให้เกียรติซื่อหวินแม้แต่น้อย
โรงฝึกกังจินไม่รับคนพิการ!
"ถ้าอย่างนั้นข้ายอมจ่ายห้าตำลึงหรือหกตำลึงก็ได้ขอรับ!"
"ขอแค่ให้ผมได้เข้าฝึกที่โรงฝึกกังจินแห่งนี้เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น"
"ถ้าหากข้าฝึกไม่ไหวจริงๆ ข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก"
"ข้าขอแค่โอกาสในการฝึกวิชาเพียงหนึ่งเดือนเถอะขอรับ!"
ซื่อหวินพูดอย่างหนักแน่นและมุ่งมั่น
ศิษย์พี่ยื่อซานขมวดคิ้ว
เขาไม่คิดว่าซื่อหวินจะดื้อด้านขนาดนี้ แต่คนพิการจะฝึกวิทยายุทธได้ยังไง? เรื่องแบบนี้มันไม่น่าตลกไปหน่อยเหรอ?
ถึงโรงฝึกกังจินถึงจะรับคนทุกสถานะ แต่พวกเขาก็ไม่เคยรับคนพิการเป็นศิษย์มาก่อน
แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีศิษย์หลายคนมามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งพวกเขาต่างมองซื่อหวินด้วยความแปลกใจ ว่าการที่มีคนพิการอยากฝึกวิชานั้นช่างแปลกจริงๆ
ใครๆก็รู้ว่าการฝึกวิชาจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้การฝึกวิชายังเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์มันจะฝึกยังไงให้เห็นผลได้?
ต่อให้ฝึกสำเร็จ คนพิการก็ยังเคลื่อนไหวลำบาก แล้วจะมีประสิทธิภาพในการต่อสู้จริงได้ยังไง?
"ยื่อซาน เจ้าเอะอะอะไรเสียงดังอยู่งั้นรึ?"
ทันใดนั้น ชายชราในวัยห้าสิบกว่าปีที่ดูแข็งแรงและดูกระฉับกระเฉงก็เดินเข้ามา
"ท่านอาจารย์!"
"คนๆนี้ขาขวาพิการ แต่ก็ยังจะมาฝึกวิชาที่โรงฝึกให้ได้ขอรับ"
"ข้าไม่ยอมรับเขา เขาก็เลยมายืนคะยั้นคะยอข้าอยู่ตรงนี้"
ยื่อซานตอบอย่างนอบน้อม
ชายในวัยห้าสิบกว่าปีผู้นี้ แท้จริงแล้วคือผู้ก่อตั้งโรงฝึกกังจิน!
เขาเป็นนักสู้ที่แท้จริง แถมยังเป็นหนึ่งในนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลิวอีกด้วย!