บทที่ 4 อิทธิพล!
บทที่ 4 อิทธิพล!
ไม่นานนัก ซื่อเหลียนก็เปิดประตูห้องและออกไปจากบ้านอีกครั้ง
เธอเห็นซู่เอ๋อโก่ว หรือ ‘ไอ้หน้าขี้เหร่’ คนนั้นกำลังแอบซุ่มดูอยู่ใกล้ๆ
แม้ว่าเธอจะอยากฆ่าซู่เอ๋อโก่วเดี๋ยวนั้นเลยก็ตาม
แต่เธอก็ทำได้เพียงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้เท่านั้น
เพราะถึงแม้เธอจะตัวใหญ่แต่ซู่เอ๋อโก่วก็ตัวสูงและแข็งแรง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเอาชนะเขาได้
“ซู่เอ๋อโก่ว เจ้ามาแอบทำอะไรอยู่ใกล้ๆบ้านข้างั้นเรอะ?”
ซื่อเหลียนตะโกนถามซู่เอ๋อโก่วอย่างตรงไปตรงมา
ซู่เอ๋อโก่วเหลือบไปมองซื่อเหลียนแว่บหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างมีพิรุธแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "แหมๆพี่เหลียน ข้าแค่สงสัยว่าอาการของซื่อหวินเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง"
"พวกเราก็ทำงานในเหมืองหินเดียวกัน ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น"
ซื่อเหลียนแสยะยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในใจ
ซู่เอ๋อโก่วคงอยากรู้ว่าซื่อหวินนั้นตายไปแล้วหรือไม่มากกว่า!
แต่ในตอนนี้ ซื่อเหลียนจะต้องควบคุมอารมณ์ของเธอที่มีต่อซู่เอ๋อโก่วเอาไว้
จากนั้น ด้วยความสงบนิ่งบนใบหน้าของเธอ เธอจึงตอบไปว่า "เจ้าหวินยังหมดสติอยู่ ส่วนหมอที่มารักษาก็บอกเพียงว่าให้ข้าเตรียมทำใจรอ"
"ซู่เอ๋อโก่ว เจ้าน้องซื่อหวินต่างก็ทำงานอยู่ที่เหมืองหินด้วยกัน"
"บอกข้ามาตามตรงเถอะว่าที่ซื่อหวินโดนหินทับนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ?"
ซื่อเหลียนจ้องเขม็งไปที่ซู่เอ๋อโก่ว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
ซู่เอ๋อโก่วใจสั่นระรัว แต่ในใจกลับแอบยินดีเล็กน้อย
เขาหลบสายตาของซื่อเหลียนอย่างมีพิรุธแล้วกล่าวว่า "พี่เหลียน ข้าเห็นกับตาจริงๆว่าซื่อหวินโดนหินยักษ์หล่นทับใส่ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ"
"จริงหรือ?"
สายตาของซื่อเหลียนทำให้ซู่เอ๋อโก่วเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ
ดังนั้นเขาจึงรีบเผ่นออกจากบริเวณบ้านของตระกูลซื่อไปออย่างรวดเร็ว
คำพูดของซื่อเหลียนนั้นทำให้ซู่เอ๋อโก่วคลายความกังวลลงได้บ้าง
ถ้าซื่อหวินยังไม่ฟื้นขึ้นมาหรือตายไปเลยได้ก็จะยิ่งดี
มันจะได้ไม่ต้องยุ่งยากมากนักสำหรับเขา
"ซู่เอ๋อโก่วไปแล้วล่ะ!"
ภายในห้อง ซื่อหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พี่สาวคนโตของเขาช่างกล้าหาญและมีไหวพริบที่เฉียบคมจริงๆ
ด้วยการใช้วิธีนี้ จึงทำให้ซู่เอ๋อโก่วออกไปได้ชั่วคราว
แต่อย่างน้อย ซื่อหวินก็จะปลอดภัยชั่วคราวเช่นกัน
"เจ้าต้องรีบรักษาตัวให้หายดีเร็วๆเข้าล่ะ"
"หลังจากนั้นเจ้าค่อยไปฝากตัวเป็นศิษย์เพียงร่ำเรียนวิทยายุทธ!"
"แค่การได้เป็นจอมยุทธ์ การฆ่าซู่เอ๋อโก่วก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น!"
แววตาของซื่อหวินฉายให้เห็นถึงแววตาอันมุ่งมั่น
เขาจะต้องฆ่าซู่เอ๋อโก่วให้ได้!
แม้ว่าคำพูดของพี่สาวจะทำให้ซู่เอ๋อโก่วคลายความระแวงลงชั่วคราว
แต่มันก็คงปิดบังไว้ได้ไม่นาน
เมื่อใดก็ตามที่ซู่เอ๋อโก่วรู้ว่าซื่อหวินฟื้นขึ้นมาแล้ว
ซื่อหวินก็จะตกอยู่ในอันตราย
ดังนั้นเขาจะต้องรีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว!
ตอนนี้ร่างกายของซื่อหวินยังคงอ่อนแอ
ถ้าจะพักฟื้นก็อาจต้องใช้เวลาหลายวัน
หรืออาจจะถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนด้วยซ้ำ
ดังนั้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ซื่อหวินจึงยังคงฝึกวิดพื้นทุกวัน
แม้ว่าท่าวิดพื้นจะไม่ใช่วิทยายุทธอะไร
แต่มันก็ยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาได้
อย่างน้อย เขาก็เกือบจะเข้าใจแก่นแท้ของท่าวิดพื้นผ่านวงแหวนแห่งแสงสีเขียวแล้ว
ทุกครั้งที่วิดพื้น เขาจะสามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่มากที่สุด
หลังจากนั้นเวลาได้ผ่านไปสามวันอย่างรวดเร็ว
พี่สาวคนโตของเขานำอาหารกลับมาให้เขาทุกวัน
ซึ่งทุกครั้งล้วนแต่เป็นเนื้อสัตว์
แม้ว่าจะเป็นของที่คนอื่นกินเหลือก็ตาม
แต่มันก็ยังเป็นเนื้อสัตว์!
และด้วยเนื้อสัตว์นี้ มันจะสามารถช่วยให้ซื่อหวินฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เพียงแต่ทุกครั้งที่ซื่อหวินถามพี่สาวว่าอาหารพวกนี้มาจากไหน ซื่อเหลียนก็จะบอกว่าเก็บมาได้ทุกครั้ง
แต่ทุกครั้ง ซื่อหวินจะเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของพี่สาวหรือแม้แต่รอยแดงบวมบนมือ
เห็นได้ชัดว่าพี่สาวของเขาโดนทุบตีมาไม่น้อยเลย
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ซื่อหวินรู้สึกกังวลมากขึ้น
เขาจะต้องรีบรักษาตัวให้หายดีให้เร็วที่สุด
ดังนั้นซื่อหวินจึงยิ่งฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่ง
ตราบใดที่เขามีแรงเขาก็จะวิดพื้น
วันเวลาผ่านไป ซื่อหวินวิดพื้นไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งในที่สุด วงแหวนแห่งแสงสีเขียวก็กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง
ซึ่งมันใช้เวลาฟื้นฟูเพียงสามวันเท่านั้น
วงแหวนเร่งความเร็วเปลี่ยนจากสีเทากลับเป็นสีเขียวอีกครั้ง
นั่นหมายความว่า ซื่อหวินสามารถใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแสงสีเขียวได้อีกครั้ง
ซื่อหวินจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
จากนั้นเขาก็โยนตราประทับของท่าวิดพื้นเข้าไปในวงแหวนแสงสีเขียวอีกครั้ง
"วู้มมม"
ในวินาทีต่อมา ความทรงจำก็ปรากฏขึ้นในหัวของซื่อหวินอีกครั้ง
ราวกับว่าเขากำลังฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่ง
นอกจากนี้เขายังไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่งต่อไปเรื่อยๆ
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน...
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสามวัน ซื่อหวินที่ตั้งสมาธิจึงนำตราประทับของท่าวิดพื้นออกจากวงแหวนแห่งแสงสีเขียว
แม้ว่าครั้งนี้เขาจะใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแห่งแสงสีเขียว
แต่ท่าวิดพื้นก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
บางทีอาจเป็นเพราะทักษะของท่าวิดพื้นนั้นไม่ได้มีอะไรที่ยากมากนักก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแสงสีเขียวเป็นเวลาสิบวัน ซึ่งทำให้เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของท่าวิดพื้นแล้ว
ดังนั้นการเร่งความเร็วอีกครั้งจึงไม่มีผลต่อทักษะการวิดพื้นของซื่อหวินเลย
"เอ๊ะ?"
ซื่อหวินเห็นว่าวงแหวนแห่งแสงสีเขียวครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีเทาทั้งหมด
ซึ่งมันมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นสีเทา
นั่นหมายความว่ายังสามารถใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแห่งแสงสีเขียวได้ต่อ
เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเร่งความเร็วในการฝึกให้เทียบเท่าได้กับสิบวันแล้ว
"การวิดพื้นต่อไปคงจะไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าอีกแล้ว"
"อันที่จริงตอนนี้ร่างกายของข้าก็เริ่มฟื้นตัวดีแล้วเช่นกัน"
"หลังจากนี้ ข้าควรไปเริ่มฝึกวิทยายุทธของจริงแล้ว!"
"นอกจากนี้ แม้ว่าฝึกวิทยายุทธของข้าจะต้องมีจุดติดขัดแต่เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็สามารถลองใช้ "การทะลวงขีดจำกัด" ของวงแหวนแห่งแสงสีแดงได้"
"ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าผลของวงแหวนแห่งแสงสีแดงนั้นจะน่าทึ่งมากเพียงใด?"
ซื่อหวินพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้เขามีแผนการอยู่ในหัวแล้ว
ต่อไปนี้เขาก็ควรไปฝึกวิทยายุทธ
เพียงแต่ว่าเขาควรจะเลือกสำนักไหนถึงจะดีที่สุด?
ซื่อหวินครุ่นคิดถึงเรื่องการเลือกสำนักอย่างหนัก!
หลายวันที่ผ่านมานี้ ซื่อหวินเองก็รู้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองหลิวบ้างแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล่าจอมยุทธ์
สำนักจอมยุทธ์ในเมืองหลิวนั้นแบ่งออกเป็นสำนักของทางการ สำนักในตระกูล สำนักทั่วไป สมาคม และโรงฝึกธรรมดา
ทั้งห้าสำนักนี้ล้วนครอบคลุมเหล่าจอมยุทธ์ในเมืองหลิวเกือบทั้งหมด
สำนักของทางการแบ่งออกเป็นเหล่าขุนนางและกองทัพทหาร
แน่นอนว่าซื่อหวินไม่มีทางเข้าสู่ระดับเดียวกับเหล่าขุนนางได้
ส่วนเรื่องการจะเข้าเป็นทหารนั้น…
ในสถานการณ์เช่นนี้ของราชวงศ์ต้าเฉียน การไปเป็นทหารกินเบี้ยเลี้ยงอาจทำให้เขาตายในสนามรบก่อนที่จะได้ฝึกวิทยายุทธสำเร็จเป็นแน่
ส่วนสำนักในตระกูล…
ในเมืองหลิวนั้นมีตระกูลใหญ่ๆอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นผู้มีอิทธิพล
โดยพื้นฐานแล้ว จอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนเป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลทั้งสิ้น
ถ้าหากคนนอกตอนการเข้าไปฝึกวิทยายุทธในตระกูลเหล่านั้น นอกจากการจะได้เป็นทาสในเรือนเบี้ยแล้วก็ไม่มีทางได้อย่างอื่นเลย
ส่วนสำนักทั่วไป..
สำนักต่างๆต่างเปิดรับศิษย์กันอย่างกว้างขวาง
แต่สำนักเหล่านี้รับแต่ศิษย์ที่มีอายุค่อนข้างน้อย
และส่วนใหญ่พวกเขาก็รับคนที่อายุต่ำกว่าสิบสองปีเป็นศิษย์เท่านั้น
ซื่อหวินในตอนนี้อายุเกินมามากแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะได้รับการยอมรับจากสำนักให้กลายเป็นศิษย์
ดังนั้นซื่อหวินจึงไม่คิดที่จะเข้าร่วมสำนักของทางการ สำนักในตระกูลและสำนักทั่วไปทั้งสามนี้แน่นอน
ที่เหลือก็คือสมาคมและโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดา
ในเมืองหลิวนั้นมีสมาคมอยู่มากมาย
อย่างเช่นแก๊งสามพยัคฆ์ที่ซู่เอ๋อโก่วอยู่นั่นก็ถือว่าเป็นสมาคมเล็กๆ
เพียงแค่การได้เข้าไปในสมาคมและสร้างผลงานหรือได้รับความชื่นชมจากผู้นำสมาคม ก็จะมีโอกาสได้ฝึกวิทยายุทธ
แต่ซื่อหวินนั้นต้องคิดถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ด้วย
แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาจะฟื้นตัวกลับมาจนเกือบจะปกติแล้ว
แต่เขาก็ยังเป็นคนพิการอยู่
ดังนั้นการจะเข้าสมาคมเขาก็ต้องกล้าได้กล้าเสีย
เพราะจะมีสมาคมไหนบ้างที่จะรับเอาคนพิการไปเข้าร่วม?
ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อหวินเองก็ไม่ชอบสมาคมมากสักเท่าไหร่
เพราะสมาคมเหล่านั้นมันจะชอบกดขี่ขูดรีดชาวบ้านและทำเรื่องชั่วร้ายสารพัด
การเข้าสมาคมเพื่อฝึกวิทยายุทธจึงไม่ตรงกับจุดประสงค์ของซื่อหวิน
ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายจึงเหลือเพียงอย่างเดียว
โรงฝึกวิทยายุทธธรรมดา!
ในเมืองหลิวนั้นมีโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดาและเปิดรับศิษย์อย่างเปิดเผยอยู่มาก
ใครก็ตามที่จ่ายเงินก็สามารถเข้าร่วมโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดาเหล่านั้นได้
ซึ่งนี่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
เพราะโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดานั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก!
แต่นี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่ซื่อหวินจะได้ฝึกวิทยายุทธเช่นกัน