ตอนที่แล้วบทที่ 3 ทุ่มหมดหน้าตัก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 ข้าไม่รับคนพิการ!

บทที่ 4 อิทธิพล!


บทที่ 4 อิทธิพล!

ไม่นานนัก ซื่อเหลียนก็เปิดประตูห้องและออกไปจากบ้านอีกครั้ง

เธอเห็นซู่เอ๋อโก่ว หรือ ‘ไอ้หน้าขี้เหร่’ คนนั้นกำลังแอบซุ่มดูอยู่ใกล้ๆ

แม้ว่าเธอจะอยากฆ่าซู่เอ๋อโก่วเดี๋ยวนั้นเลยก็ตาม

แต่เธอก็ทำได้เพียงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้เท่านั้น

เพราะถึงแม้เธอจะตัวใหญ่แต่ซู่เอ๋อโก่วก็ตัวสูงและแข็งแรง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเอาชนะเขาได้

“ซู่เอ๋อโก่ว เจ้ามาแอบทำอะไรอยู่ใกล้ๆบ้านข้างั้นเรอะ?”

ซื่อเหลียนตะโกนถามซู่เอ๋อโก่วอย่างตรงไปตรงมา

ซู่เอ๋อโก่วเหลือบไปมองซื่อเหลียนแว่บหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างมีพิรุธแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "แหมๆพี่เหลียน ข้าแค่สงสัยว่าอาการของซื่อหวินเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง"

"พวกเราก็ทำงานในเหมืองหินเดียวกัน ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น"

ซื่อเหลียนแสยะยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในใจ

ซู่เอ๋อโก่วคงอยากรู้ว่าซื่อหวินนั้นตายไปแล้วหรือไม่มากกว่า!

แต่ในตอนนี้ ซื่อเหลียนจะต้องควบคุมอารมณ์ของเธอที่มีต่อซู่เอ๋อโก่วเอาไว้

จากนั้น ด้วยความสงบนิ่งบนใบหน้าของเธอ เธอจึงตอบไปว่า "เจ้าหวินยังหมดสติอยู่ ส่วนหมอที่มารักษาก็บอกเพียงว่าให้ข้าเตรียมทำใจรอ"

"ซู่เอ๋อโก่ว เจ้าน้องซื่อหวินต่างก็ทำงานอยู่ที่เหมืองหินด้วยกัน"

"บอกข้ามาตามตรงเถอะว่าที่ซื่อหวินโดนหินทับนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงหรือ?"

ซื่อเหลียนจ้องเขม็งไปที่ซู่เอ๋อโก่ว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง

ซู่เอ๋อโก่วใจสั่นระรัว แต่ในใจกลับแอบยินดีเล็กน้อย

เขาหลบสายตาของซื่อเหลียนอย่างมีพิรุธแล้วกล่าวว่า "พี่เหลียน ข้าเห็นกับตาจริงๆว่าซื่อหวินโดนหินยักษ์หล่นทับใส่ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ"

"จริงหรือ?"

สายตาของซื่อเหลียนทำให้ซู่เอ๋อโก่วเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ

ดังนั้นเขาจึงรีบเผ่นออกจากบริเวณบ้านของตระกูลซื่อไปออย่างรวดเร็ว

คำพูดของซื่อเหลียนนั้นทำให้ซู่เอ๋อโก่วคลายความกังวลลงได้บ้าง

ถ้าซื่อหวินยังไม่ฟื้นขึ้นมาหรือตายไปเลยได้ก็จะยิ่งดี

มันจะได้ไม่ต้องยุ่งยากมากนักสำหรับเขา

"ซู่เอ๋อโก่วไปแล้วล่ะ!"

ภายในห้อง ซื่อหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

พี่สาวคนโตของเขาช่างกล้าหาญและมีไหวพริบที่เฉียบคมจริงๆ

ด้วยการใช้วิธีนี้ จึงทำให้ซู่เอ๋อโก่วออกไปได้ชั่วคราว

แต่อย่างน้อย ซื่อหวินก็จะปลอดภัยชั่วคราวเช่นกัน

"เจ้าต้องรีบรักษาตัวให้หายดีเร็วๆเข้าล่ะ"

"หลังจากนั้นเจ้าค่อยไปฝากตัวเป็นศิษย์เพียงร่ำเรียนวิทยายุทธ!"

"แค่การได้เป็นจอมยุทธ์ การฆ่าซู่เอ๋อโก่วก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น!"

แววตาของซื่อหวินฉายให้เห็นถึงแววตาอันมุ่งมั่น

เขาจะต้องฆ่าซู่เอ๋อโก่วให้ได้!

แม้ว่าคำพูดของพี่สาวจะทำให้ซู่เอ๋อโก่วคลายความระแวงลงชั่วคราว

แต่มันก็คงปิดบังไว้ได้ไม่นาน

เมื่อใดก็ตามที่ซู่เอ๋อโก่วรู้ว่าซื่อหวินฟื้นขึ้นมาแล้ว

ซื่อหวินก็จะตกอยู่ในอันตราย

ดังนั้นเขาจะต้องรีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว!

ตอนนี้ร่างกายของซื่อหวินยังคงอ่อนแอ

ถ้าจะพักฟื้นก็อาจต้องใช้เวลาหลายวัน

หรืออาจจะถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนด้วยซ้ำ

ดังนั้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ซื่อหวินจึงยังคงฝึกวิดพื้นทุกวัน

แม้ว่าท่าวิดพื้นจะไม่ใช่วิทยายุทธอะไร

แต่มันก็ยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาได้

อย่างน้อย เขาก็เกือบจะเข้าใจแก่นแท้ของท่าวิดพื้นผ่านวงแหวนแห่งแสงสีเขียวแล้ว

ทุกครั้งที่วิดพื้น เขาจะสามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่มากที่สุด

หลังจากนั้นเวลาได้ผ่านไปสามวันอย่างรวดเร็ว

พี่สาวคนโตของเขานำอาหารกลับมาให้เขาทุกวัน

ซึ่งทุกครั้งล้วนแต่เป็นเนื้อสัตว์

แม้ว่าจะเป็นของที่คนอื่นกินเหลือก็ตาม

แต่มันก็ยังเป็นเนื้อสัตว์!

และด้วยเนื้อสัตว์นี้ มันจะสามารถช่วยให้ซื่อหวินฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

เพียงแต่ทุกครั้งที่ซื่อหวินถามพี่สาวว่าอาหารพวกนี้มาจากไหน ซื่อเหลียนก็จะบอกว่าเก็บมาได้ทุกครั้ง

แต่ทุกครั้ง ซื่อหวินจะเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของพี่สาวหรือแม้แต่รอยแดงบวมบนมือ

เห็นได้ชัดว่าพี่สาวของเขาโดนทุบตีมาไม่น้อยเลย

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ซื่อหวินรู้สึกกังวลมากขึ้น

เขาจะต้องรีบรักษาตัวให้หายดีให้เร็วที่สุด

ดังนั้นซื่อหวินจึงยิ่งฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่ง

ตราบใดที่เขามีแรงเขาก็จะวิดพื้น

วันเวลาผ่านไป ซื่อหวินวิดพื้นไปครั้งแล้วครั้งเล่า

จนกระทั่งในที่สุด วงแหวนแห่งแสงสีเขียวก็กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง

ซึ่งมันใช้เวลาฟื้นฟูเพียงสามวันเท่านั้น

วงแหวนเร่งความเร็วเปลี่ยนจากสีเทากลับเป็นสีเขียวอีกครั้ง

นั่นหมายความว่า ซื่อหวินสามารถใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแสงสีเขียวได้อีกครั้ง

ซื่อหวินจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ

จากนั้นเขาก็โยนตราประทับของท่าวิดพื้นเข้าไปในวงแหวนแสงสีเขียวอีกครั้ง

"วู้มมม"

ในวินาทีต่อมา ความทรงจำก็ปรากฏขึ้นในหัวของซื่อหวินอีกครั้ง

ราวกับว่าเขากำลังฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่ง

นอกจากนี้เขายังไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและฝึกวิดพื้นอย่างบ้าคลั่งต่อไปเรื่อยๆ

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน...

จนกระทั่งเวลาผ่านไปสามวัน ซื่อหวินที่ตั้งสมาธิจึงนำตราประทับของท่าวิดพื้นออกจากวงแหวนแห่งแสงสีเขียว

แม้ว่าครั้งนี้เขาจะใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแห่งแสงสีเขียว

แต่ท่าวิดพื้นก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

บางทีอาจเป็นเพราะทักษะของท่าวิดพื้นนั้นไม่ได้มีอะไรที่ยากมากนักก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแสงสีเขียวเป็นเวลาสิบวัน ซึ่งทำให้เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของท่าวิดพื้นแล้ว

ดังนั้นการเร่งความเร็วอีกครั้งจึงไม่มีผลต่อทักษะการวิดพื้นของซื่อหวินเลย

"เอ๊ะ?"

ซื่อหวินเห็นว่าวงแหวนแห่งแสงสีเขียวครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีเทาทั้งหมด

ซึ่งมันมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นสีเทา

นั่นหมายความว่ายังสามารถใช้ "การเร่งความเร็ว" ของวงแหวนแห่งแสงสีเขียวได้ต่อ

เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเร่งความเร็วในการฝึกให้เทียบเท่าได้กับสิบวันแล้ว

"การวิดพื้นต่อไปคงจะไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าอีกแล้ว"

"อันที่จริงตอนนี้ร่างกายของข้าก็เริ่มฟื้นตัวดีแล้วเช่นกัน"

"หลังจากนี้ ข้าควรไปเริ่มฝึกวิทยายุทธของจริงแล้ว!"

"นอกจากนี้ แม้ว่าฝึกวิทยายุทธของข้าจะต้องมีจุดติดขัดแต่เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็สามารถลองใช้ "การทะลวงขีดจำกัด" ของวงแหวนแห่งแสงสีแดงได้"

"ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าผลของวงแหวนแห่งแสงสีแดงนั้นจะน่าทึ่งมากเพียงใด?"

ซื่อหวินพึมพำกับตัวเอง

ตอนนี้เขามีแผนการอยู่ในหัวแล้ว

ต่อไปนี้เขาก็ควรไปฝึกวิทยายุทธ

เพียงแต่ว่าเขาควรจะเลือกสำนักไหนถึงจะดีที่สุด?

ซื่อหวินครุ่นคิดถึงเรื่องการเลือกสำนักอย่างหนัก!

หลายวันที่ผ่านมานี้ ซื่อหวินเองก็รู้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองหลิวบ้างแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล่าจอมยุทธ์

สำนักจอมยุทธ์ในเมืองหลิวนั้นแบ่งออกเป็นสำนักของทางการ สำนักในตระกูล สำนักทั่วไป สมาคม และโรงฝึกธรรมดา

ทั้งห้าสำนักนี้ล้วนครอบคลุมเหล่าจอมยุทธ์ในเมืองหลิวเกือบทั้งหมด

สำนักของทางการแบ่งออกเป็นเหล่าขุนนางและกองทัพทหาร

แน่นอนว่าซื่อหวินไม่มีทางเข้าสู่ระดับเดียวกับเหล่าขุนนางได้

ส่วนเรื่องการจะเข้าเป็นทหารนั้น…

ในสถานการณ์เช่นนี้ของราชวงศ์ต้าเฉียน การไปเป็นทหารกินเบี้ยเลี้ยงอาจทำให้เขาตายในสนามรบก่อนที่จะได้ฝึกวิทยายุทธสำเร็จเป็นแน่

ส่วนสำนักในตระกูล…

ในเมืองหลิวนั้นมีตระกูลใหญ่ๆอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นผู้มีอิทธิพล

โดยพื้นฐานแล้ว จอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนเป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลทั้งสิ้น

ถ้าหากคนนอกตอนการเข้าไปฝึกวิทยายุทธในตระกูลเหล่านั้น นอกจากการจะได้เป็นทาสในเรือนเบี้ยแล้วก็ไม่มีทางได้อย่างอื่นเลย

ส่วนสำนักทั่วไป..

สำนักต่างๆต่างเปิดรับศิษย์กันอย่างกว้างขวาง

แต่สำนักเหล่านี้รับแต่ศิษย์ที่มีอายุค่อนข้างน้อย

และส่วนใหญ่พวกเขาก็รับคนที่อายุต่ำกว่าสิบสองปีเป็นศิษย์เท่านั้น

ซื่อหวินในตอนนี้อายุเกินมามากแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะได้รับการยอมรับจากสำนักให้กลายเป็นศิษย์

ดังนั้นซื่อหวินจึงไม่คิดที่จะเข้าร่วมสำนักของทางการ สำนักในตระกูลและสำนักทั่วไปทั้งสามนี้แน่นอน

ที่เหลือก็คือสมาคมและโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดา

ในเมืองหลิวนั้นมีสมาคมอยู่มากมาย

อย่างเช่นแก๊งสามพยัคฆ์ที่ซู่เอ๋อโก่วอยู่นั่นก็ถือว่าเป็นสมาคมเล็กๆ

เพียงแค่การได้เข้าไปในสมาคมและสร้างผลงานหรือได้รับความชื่นชมจากผู้นำสมาคม ก็จะมีโอกาสได้ฝึกวิทยายุทธ

แต่ซื่อหวินนั้นต้องคิดถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ด้วย

แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาจะฟื้นตัวกลับมาจนเกือบจะปกติแล้ว

แต่เขาก็ยังเป็นคนพิการอยู่

ดังนั้นการจะเข้าสมาคมเขาก็ต้องกล้าได้กล้าเสีย

เพราะจะมีสมาคมไหนบ้างที่จะรับเอาคนพิการไปเข้าร่วม?

ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อหวินเองก็ไม่ชอบสมาคมมากสักเท่าไหร่

เพราะสมาคมเหล่านั้นมันจะชอบกดขี่ขูดรีดชาวบ้านและทำเรื่องชั่วร้ายสารพัด

การเข้าสมาคมเพื่อฝึกวิทยายุทธจึงไม่ตรงกับจุดประสงค์ของซื่อหวิน

ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายจึงเหลือเพียงอย่างเดียว

โรงฝึกวิทยายุทธธรรมดา!

ในเมืองหลิวนั้นมีโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดาและเปิดรับศิษย์อย่างเปิดเผยอยู่มาก

ใครก็ตามที่จ่ายเงินก็สามารถเข้าร่วมโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดาเหล่านั้นได้

ซึ่งนี่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย

เพราะโรงฝึกวิทยายุทธธรรมดานั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก!

แต่นี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่ซื่อหวินจะได้ฝึกวิทยายุทธเช่นกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด