บทที่ 3 ทุ่มหมดหน้าตัก!
บทที่ 3 ทุ่มหมดหน้าตัก!
"ไม่เป็นไรหรอก การทำงานให้กับตระกูลหวังก็ต้องมีการทำโทษบ้างเป็นธรรมดา"
"โชคดีที่พี่มีแรงเยอะ การได้เป็นทาสรับใช้ชั้นต่ำจึงไม่เหนื่อยมากเท่าไหร่"
"นอกจากนี้พี่ยังทำงานในครัวด้วย ดังนั้นพี่จึงสามารถเอาอาหารกลับมาให้พวกเจ้าได้ ดูสิว่านี่คืออะไร?"
ซื่อเหลียนหยิบกระดาษที่ห่ออะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าในอกเสื้อ
เธอคลี่กระดาษออกและเผยให้เห็นขาไก่ข้างหนึ่ง
ขาไก่นี้ดูเหมือนจะสกปรกเล็กน้อยราวกับว่ามันตกลงไปบนพื้นแล้ว
แต่กลิ่นที่หอมนั้นทำให้ซื่อหวินถึงกับน้ำลายสอ แม้แต่ปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่น
แม้แต่ในยามปกติเขาก็ไม่มีโอกาสได้กินเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำ
"ขาไก่ตกลงไปบนพื้นน่ะ เจ้าของบ้านกำลังจะทิ้งมัน"
"โชคดีที่พี่เก็บมันกลับมาได้ ถึงจะสกปรกไปหน่อยแต่ล้างแล้วก็กินต่อได้นะ"
"เจ้าหวิน เจ้าน่ะเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายของเจ้าจึงยังอ่อนแอดังนั้นรีบกินเข้าไปเถอะ"
ซื่อเหลียนส่งขาไก่ให้ซื่อฮุ่ยทำความสะอาด
ในไม่ช้ามือของซื่อหวินก็ถือขาไก่นั้นไว้
ซื่อหวินไม่ได้ถามพี่กับน้องของเขาว่าทำไมพวกเธอถึงไม่กิน
เขารู้ว่าถ้าเขาถาม พวกเธอจะบอกว่าไม่อยากกินหรือไม่หิว
ซื่อหวินจึงเริ่มกินไก่ชิ้นนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
เขากินจนปากมันเยิ้ม
หลังจากที่กินเข้าไปแล้วดูเหมือนว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเขาจะเริ่มดีขึ้นมาบ้าง
คนเราอยู่โดยที่ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้จริงๆ..
"ว่าแต่เจ้าหวิน เจ้าไปโดนหินตกใส่หัวได้ยังไงน่ะ?"
"พี่ถามเจ้าตันที่อยู่ข้างบ้านแล้ว เขาพูดตะกุกตะกักว่าเจ้าน่ะไม่ระวัง แต่พี่รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้"
"ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นเจ้าลองคิดดูให้ดีๆอีกครั้งเถอะ"
"และตอนที่พี่กลับมาเมื่อกี้ พี่เห็นเหมือนไอ้หน้าขี้เหร่ซู่เอ๋อโก่วอยู่แถวๆบ้านเราด้วย เจ้านั่นมันดูมีพิรุธแปลกๆแม้แต่พี่ก็ไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไรเหมือนกัน"
"ไอ้หน้าขี้เหร่นั่นมันมีแต่เรื่องไม่ดีอยู่ในหัว คนอย่างมันน่ะไม่ใช่คนดีหรอก"
ถึงซื่อเหลียนจะดูตัวใหญ่ แต่เธอก็เป็นคนช่างสังเกต
เมื่อได้ยินพี่สาวถาม ซื่อหวินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
จริงๆแล้ว เมื่อคืนนี้เขาก็พอจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่เหมืองหินได้ลางๆ
และพอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง
และเมื่อวันนี้ได้ยินว่าไอ้หน้าขี้เหร่นั่นอยู่แถวนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
"วันก่อนที่จะเกิดเรื่องกับข้า ข้ากับเจ้าซู่เอ๋อโก่วไปเจอศพที่เหมืองหิน"
"มันล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากศพซึ่งข้าเองก็อยู่ตรงนั้นด้วยเลยได้หยกมาชิ้นหนึ่ง"
"วันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับข้าและพอข้าฟื้นขึ้นมาข้าก็ไม่เจอหยกชิ้นนั้นแล้ว"
"พี่กับซื่อฮุ่ยเห็นหยกบ้างไหม?"
ซื่อเหลียนกับซื่อฮุ่ยมองหน้ากัน
แล้วก็ส่ายหัว
พวกเธอนั้นไม่เห็นหยก
"เจ้าหมายความว่า ซู่เอ๋อโก่วเป็นคนทำร้ายเจ้างั้นรึ?"
ซื่อเหลียนมองด้วยสายตาอาฆาต
ราวกับว่าเธอจะไปเอาเรื่องซู่เอ๋อโก่วเดี๋ยวนี้
แต่ซื่อเหลียนก็ยังคงใจเย็นอยู่
เธอกัดฟันแน่นและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "ไอ้หมาสารเลวซู่เอ๋อโก่วมันคงคิดไม่ซื่อและต้องการฆ่าเจ้าเพียงเพื่อจะชิงเอาหยกชิ้นนั้นเป็นแน่"
"แสดงว่าหยกชิ้นนั้นต้องมีค่ามากไม่น้อยทีเดียว!"
"มิน่าช่วงนี้ไอ้เจ้าซู่เอ๋อโก่วถึงได้ดูอู้ฟู่มากขึ้น นอกจากนี้มันยังไปเข้าพวกกับ “หลิวเย่” แห่งแก๊งสามพยัคฆ์จนได้เป็นลูกน้องคนสนิท"
"ข้าเดาว่าหยกชิ้นนั้นคงเป็นใบเบิกทางให้มันได้เข้าไปตีสนิทกับหลิวเย่เป็นแน่"
"เจ้าหวิน ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไปนะ ถ้าไอ้สารเลวนั่นรู้ว่าเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วมันต้องหาทางฆ่าเจ้าปิดปากแน่ ตอนนี้มันก็เป็นลูกน้องแก๊งสามพยัคฆ์แล้ว พวกเราไปแหยมกับมันไม่ได้หรอก"
"แต่เจ้าวางใจเถอะ ถ้ามันกล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้!"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของซื่อเหลียนก็เปลี่ยนไปจนดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ไม่ยอมคนและไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นเพราะที่ผ่านมาตระกูลซื่อก็ต้องพึ่งพาเธอมาตลอด
"พี่เหลียน ช่วงนี้ข้าคงจะไม่ออกไปไหนจนกว่าจะรักษาตัวให้หายดีก่อน เรื่องของไอ้ซู่เอ๋อโก่วนั้นพี่ไม่ต้องห่วง ข้าคิดหาวิธีจัดการมันไว้แล้ว"
"ตอนนี้มันเป็นลูกน้องของแก๊งสามพยัคฆ์แถมยังมีหวงหู่หนุนหลัง ถ้ามันรู้ว่าข้ายังไม่ตายมันต้องหาทางฆ่าข้าปิดปากแน่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือพวกเราต้องหาคนหนุนหลัง ไม่เช่นนั้นต่อให้จะระวังตัวจากมันแค่ไหนก็อาจมีพลาดเป็นแน่"
"คนหนุนหลังงั้นรึ? ถ้าเป็นตระกูลหวังก็น่าจะพอไหว แต่น่าเสียดายที่ข้าเป็นแค่ทาสรับใช้เท่านั้นและไม่สนิทกับใครในตระกูลหวังเลย"
ซื่อเหลียนส่ายหน้า เพราะคนหนุนหลังไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
"ยุคสมัยนี้ แม้แต่ในเมืองหลิวก็ยังมีคนล้มตายทุกวัน คนที่อยู่รอดได้ก็ต้องมีพลัง มีอำนาจ ส่วนคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเราแค่จะเอาชีวิตรอดไปได้ก็ยากมากๆแล้ว"
"พี่เหลือน ข้าน่ะคิดเรื่องคนหนุนหลังออกแล้ว"
"ข้าจะฝึกวิทยายุทธ์!"
"ถ้าหากข้าฝึกวิชาได้ แม้ว่าจะแค่ได้เข้าสำนักจนได้เป็นศิษย์นั่นก็เท่ากับว่าพวกเรามีคนหนุนหลังแล้ว"
"คนอย่างไอ้ซู่เอ๋อโก่วมันมันจะกล้าหาเรื่องคนที่ฝึกวิชาเชียวหรือ?"
ซื่อหวินบอกแผนการของเขาออกมา เพราะการฝึกวิชานั้นไม่ได้แค่มีคนหนุนหลังแต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมีพลังป้องกันตัวเองได้!
ถ้าหากได้เป็นจอมยุทธ์จริงๆ ไอ้ซู่เอ๋อโก่วกระจอกๆคนนั้นจะทำอะไรเขาได้?
"ฝึกวิชารึ?"
"แต่เจ้าหวิน ขาของเจ้า..."
ซื่อเหลียนพูดตะกุกตะกักเพราะเธออดเป็นห่วงไม่ได้
มีบางอย่างที่ซื่อเหลียนไม่ได้พูดออกมา ด้วยสภาพของซื่อหวินตอนนี้ที่ขาขวาใช้การไม่ได้แล้ว เขาจะฝึกวิชาได้อย่างไร?
การฝึกวิชานั้นอย่างน้อยก็ต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้มีใครบ้างที่เคยเห็นคนขาพิการฝึกวิชา?
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่อยากทำลายความมั่นใจของน้องชายของเธอ
ซื่อหวินรู้ดีว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังกังวลอะไร ซึ่งคงจะไม่พ้นไปว่าคนพิการจะไปฝึกวิชาได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้เขามีวงแหวนแห่งแสงแล้วและมีเพียงการฝึกวิชาเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถหลุดพ้นไปจากความยากลำบากนี้ได้
นอกจากนี้เขายังเชื่อว่า มีเพียงการฝึกวิชาเท่านั้นที่จะทำให้คนพิการอย่างเขามีพลังป้องกันตัวเองได้
แน่นอนว่าเรื่องวงแหวนแห่งแสงนี้เขาจะไม่บอกใครแม้กระทั่งพี่สาวทั้งสองคนก็ตาม
ดังนั้นซื่อหวินจึงพูดอย่างหนักแน่นชัดๆทีละคำว่า "พี่เหลียน ข้าน่ะคิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ข้าอยู่ที่เหมืองแล้ว"
"ถ้าข้าเอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆแบบนี้ มันก็คงไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่าการเอาชีวิตรอดไปวันๆ"
"มีแต่การฝึกวิชาและพยายามเป็นจอมยุทธ์ให้ได้เท่านั้นถึงจะทำให้พวกเราหลุดพ้นไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้!"
"ตอนนี้พ่อก็ไปเป็นแรงงานไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ส่วนข้าก็ถูกไอ้ซู่เอ๋อโก่วหมายหัว ถ้าหากข้าเป็นอะไรไปพี่จะอยู่กันได้อย่างไร?"
"ดังนั้นไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องลองดู"
"ถ้าข้าพี่ไม่ให้ข้าลอง ข้าก็จะไม่ยอมและข้าจะไม่ยอมพี่ไปตลอดชีวิต!"
แววตาของซื่อหวินนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเห็นแววตาของซื่อหวิน ซื่อเหลียนจึงยิ้มออกมา
ที่ผ่านมาทำไมเธอถึงได้ทำตัวเข้มแข็งมาตลอด?
ทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงต้องทำตัวแข็งกร้าวกว่าผู้ชายด้วย?
ก็เพราะผู้ชายในตระกูลซื่อนั้นไม่เอาไหนเลยสักคน
ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือว่าซื่อหวินที่เป็นน้องชายของเธอ
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็อ่อนแอเกินไป
ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ คนอ่อนแอไม่อาจอยู่รอดได้
นอกจากนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะดูแลตระกูลเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ เมื่อเธอได้เห็นซื่อหวินเธอก็ดูเหมือนจะ 'ตาสว่าง' ขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างน้อยซื่อหวินในตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อยชายผู้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน
ตอนนี้เขามีจุดยืนเป็นของตัวเองแล้ว!
"ก็ได้ พี่ยอมรับในการตัดสินใจของเจ้า!"
"แต่ว่าการฝึกวิชามันต้องใช้เงินเยอะนะ"
"เงินที่ตระกูลหวังให้มา ถ้าหักจากค่ารักษาเจ้าแล้วก็เหลือเพียงแค่หกตำลึงเงินเท่านั้น"
"หกตำลึงงั้นรึ? เท่านั้นก็พอแล้ว! ค่าเข้าสำนักฝึกวิชาคือเดือนละห้าตำลึง ที่เหลือค่อยไปหาวิธีหาเงินหลังจากที่ได้เข้าสำนักไปแล้วก็ยังได้"
"ถ้าอย่างนั้นพี่จะสนับสนุนให้เจ้าฝึกวิชา แต่ตอนนี้เจ้าต้องรักษาตัวให้หายดีก่อนนะ"
"ส่วนไอ้สารเลวซู่เอ๋อโก่วเจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้มันคิดว่าเจ้ายังสลบอยู่ตราบใดที่เจ้าไม่ออกไปข้างนอกมันก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว และมันก็จะไม่มาทำอะไรเจ้า"
ซื่อหวินพยักหน้า จากนั้นซื่อเหลียนก็มอบเงินหกตำลึงให้เขาไปจนหมด
นี่เป็นเงินที่ซื่อเหลียนได้จากการ 'ขายตัว'
และนี่ก็เป็นเงินก้อนสุดท้ายของตระกูลซื่อแล้ว…