บทที่ 21 คำเตือนของเหอเหลิ่งเยว่!
บทที่ 21 คำเตือนของเหอเหลิ่งเยว่!
บรรยากาศภายในห้องเงียบงันและอึมครึม
หากเป็นเมื่อก่อน ซื่อหวินคงทำได้เพียงก้มหน้าและเดินจากไป
ค่าลงทะเบียนโรงฝึกดัชนีทองนั้นมีราคาสูงเกินไป
ยิ่งเขาเป็นคนพิการ ก็ยากที่จะหาเงินมาจ่าย
คนพิการอย่างเขาจะไปหาเงินจากที่ไหนมาจ่ายได้?
จากให้ซื่อฮุ่ยไปขายตัวให้กับตระกูลหวังอีกคนงั้นหรือ?
ไม่มีทางเด็ดขาด!
แต่ตอนนี้ ซื่อหวินกลับดูสงบนิ่ง
"ไม่ต้องห่วงไปหรอกศิษย์พี่เซี่ย ครั้งนี้ข้าไม่ต้องผ่อนจ่ายอีกต่อไปแล้ว" ซื่อหวินพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
"นี่คือเงินสิบตำลึง แค่นี้ข้าก็สามารถฝึกที่โรงฝึกต่อได้อีกหนึ่งเดือนแล้วใช่ไหม?"
ซื่อหวินหยิบเงินสิบตำลึงออกมา
ที่บ้านของเขายังมีเงินเก็บอยู่ทั้งหมดอีกกว่าร้อยตำลึง
ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด
ก็คงมากพอที่จะทำให้ซื่อหวินฝึกฝึกที่โรงฝึกดัชนีทองต่อได้อีกหนึ่งปี!
เซี่ยเหอรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาไม่คิดว่าซื่อหวินจะหาเงินสิบตำลึงมาจ่ายได้
เพราะซื่อหวินเป็นคนพิการที่ขาเป๋
เงินสิบตำลึงนี้ ซื่อหวินคงไม่ได้หามาด้วยวิธีสุจริตเป็นแน่
แต่คงจะใช้วิธีบางอย่างที่ทำให้ได้เงินสิบตำลึงนี้มาแน่อนน
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไร
เซี่ยเหอก็ไม่ได้ใส่ใจ
เพราะโรงฝึกดัชนีทองมีหลักการว่า ถ้ามีเงินก็ได้ฝึก ถ้าไม่มีเงินก็ต้องออกไป
ตราบใดที่มีเงิน เขาก็ไม่สนใจว่าหาเงินได้มาด้วยวิธีใด
เซี่ยเหอรับเงินสิบตำลึงแล้วผายมือ "เอาล่ะ ค่าลงทะเบียนนี้ข้าได้รับเอาไว้แล้ว เจ้าเองก็ไปฝึกฝนต่อที่กองทรายได้แล้ว"
"เจ้าขาดการฝึกฝนไปหลายวัน ดังนั้นต้องรีบตามให้ทันคนอื่นล่ะ"
"ขอรับศิษย์พี่เซี่ย"
ซื่อหวินกลับไปฝึกฝนที่กองทรายอย่างว่าง่าย
ตอนนี้ รอบๆกองทรายมีศิษย์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย
พวกเขาเป็นศิษย์ที่เพิ่งได้เข้าโรงฝึกดัชนีทอง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซื่อหวิน
เมื่อเห็นซื่อหวินขาเป๋และยังคงฝึกฝนอยู่ที่กองทราย พวกเขาต่างก็รู้สึกสงสัย
แต่ซื่อหวินไม่ได้สนใจ
ก่อนหน้านี้เขาฝึกฝนเพียงเพื่อไม่ให้เสียดายเงินที่จ่ายไป
ส่วนการฝึกฝนนั้นจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ
แต่หลังจากผ่านการต่อสู้กับซู่เอ๋อโก่วมาแล้ว
ตอนที่เขาใช้นิ้วของจิ้มเข้าไปในตาของซู่เอ๋อโก่ว
นั่นทำให้ซื่อหวินรู้ว่าการฝึกฝนที่กองทรายนั้นไม่ได้ฝึกอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะการฝึกแบบนี้มันก็มีผลเช่นกัน
ดังนั้น ซื่อหวินจึงเริ่มฝึกฝนอีกครั้งอย่างตั้งใจในทุกครั้ง
หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านไปทีละน้อย
ในไม่ช้าก็ผ่านไปถึงช่วงเย็นซึ่งโรงฝึกยุทธกำลังจะปิด
เหล่าศิษย์ที่ฝึกฝนเสร็จต่างก็ทยอยออกจากโรงฝึกไป
ซื่อหวินหยุดพักและทายาลงบนมือทั้งสองข้าง
เขาไม่ได้ซื้อยาแบบเดียวกับเหอเหลิ่งเยว่
เพราะยาขวดละหนึ่งตำลึงนั้นแพงเกินไป!
แม้ว่าเขาจะมีเงินกว่าหนึ่งร้อยตำลึง แต่เขาก็ไม่อยากจะใช้เงินสิ้นเปลือง
นอกจากนี้ ตอนนี้เขาก็จัดการกับซู่เอ๋อโก่วได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก
เขายังมีเวลาเหลือเฟือ จึงไม่รีบร้อนใดๆ
เขาจะค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จในขั้นแรก
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ซื่อหวินจึงเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ของโรงฝึกยุทธ
จ้าวหงได้ยืนรอเขาอยู่ที่นั่นนานแล้ว
"เจ้าซื่อ เจ้าปลอดภัยกลับมาแบบนี้ ข้ารู้สึกดีใจมากจริงๆ"
"หลายวันมานี้ข้าไม่เห็นเจ้าเลย ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วซะอีก"
จ้าวหงยังคงพูดไม่หยุดดังเดิม
ซื่อหวินเองก็ไม่ได้รำคาญ แต่เขารับฟังอย่างเงียบๆ
ในโรงฝึกดัชนีทองแห่งนี้
ซื่อหวินสนิทกับจ้าวหงมากที่สุด
หลังจากที่จ้าวหงพูดจบ ซื่อหวินจึงยิ้มและตบบ่าจ้าวหง "จ้าวหง ข้าไม่เป็นไรหรอก"
"ช่วงนี้ ข้าแค่พักอยู่ที่บ้านเท่านั้นเอง"
"ว่าแต่ การฝึกฝนของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?"
"ขั้นที่สองของการฝึกฝนราบรื่นดีไหม?"
เมื่อได้ยินซื่อหวินพูดถึงการฝึกฝน
จ้าวหงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
เขาพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น "เจ้าซื่อ การฝึกฝนในขั้นแรกน่ะข้ายังไม่ค่อยรู้สึกว่ามันยากอะไรหรอก"
"แต่พอมาถึงขั้นที่สอง ข้าถึงได้รู้ว่าการฝึกฝนนั้นต้องอาศัยพรสวรรค์จริงๆ"
"ถึงจะเป็นขั้นที่สองเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างมากมาย"
"ตอนนี้ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะผ่านการฝึกฝนไปถึงขอบเขตผิวหนังหินและกลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงได้"
จ้าวหงรู้สึกท้อแท้
ขั้นแรกของการฝึกฝน ตราบใดที่ใช้เวลาก็สามารถทำได้สำเร็จ
แต่ขั้นที่สองนั้นไม่เหมือนกัน
เพราะขั้นแรกเป็นเพียงการเริ่มต้น
แต่ขั้นที่สอง เป็นการสร้างรากฐานที่แท้จริง
เมื่อก้าวผ่านขั้นนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ขอบเขตผิวหนังหินและกลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง
ในด่านนี้ มีคนจำนวนมากที่ท้อแท้และหยุดการฝึกเอาไว้เพียงเท่านี้
ในทุกปี โรงฝึกดัชนีทองจะมีศิษย์มากมาย
แต่ในบรรดาเหล่าศิษย์ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้กลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตผิวหนังหิน
บางครั้ง ในหนึ่งปีก็ไม่มีสักคนเลยด้วยซ้ำ
ศิษย์อย่างจ้าวหงเองก็ถือว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธธรรมดา
โอกาสที่จะเป็นนักศิลปะการต่อสู้จึงมีน้อยมาก
ซื่อหวินได้แต่ตบบ่าจ้าวหงเป็นการปลอบใจ "ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมแพ้ เจ้าก็ยังมีโอกาส"
"ถึงแม้จะไม่ได้เป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง แต่ถ้าฝึกฝนในขั้นที่สองนานพอ เจ้าก็สามารถเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้"
"ต่อไปนี้เจ้าก็จะหางานทำได้ง่ายขึ้น และการหาเลี้ยงชีพก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป"
จริงๆแล้ว ซื่อหวินไม่ได้แค่พูดปลอบใจ
เหล่าศิษย์ที่มาฝึกที่โรงฝึกดัชนีทอง ต่างรู้ดีว่าการเป็นนักศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่พวกเขาก็ยังจ่ายค่าเข้าฝึกที่สูงลิ่วเพื่อเข้ามาฝึกฝนที่โรงฝึก
เหตุผลนั้นมีเพียงข้อเดียว
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักศิลปะการต่อสู้
แต่พวกเขาที่เคยฝึกยุทธจะมีความเกี่ยวข้องกับโรงฝึกดัชนีทองบ้างไม่มากก็น้อย
ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์บางอย่าง
หลังจากที่ออกจากโรงฝึกไป พวกเขาจะหางานอะไรทำก็ไม่ใช่ปัญหา
แม้แต่ไปเป็นอันธพาล พวกเขาก็ยังเก่งกว่าอันธพาลทั่วไป!
ซื่อหวินคุยกับจ้าวหงอีกสองสามประโยค จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
ซื่อหวินเดินกะเผลกกลับบ้าน
ที่หัวมุมถนน ซื่อหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขามองเห็นเงาของร่างที่คุ้นเคย
"เหอเหลิ่งเยว่รึ?"
ซื่อหวินเห็นเหอเหลิ่งเยว่ที่มุมถนนไกลออกไป
ผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลาในโรงฝึกดัชนีทอง เหอเหลิ่งเยว่ผู้เย็นชาและดื้อรั้น!
ตอนนี้ เหอเหลิ่งเยว่ดูเหมือนกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่างกับชายร่างกำยำ
นอกจากนี้ยังใช้น้ำเสียงที่ดูรุนแรงอีกด้วย
"เพี๊ยะ"
ชายร่างกำยำคนนั้นดูเหมือนจะโกรธจัด
เขาตบหน้าเหอเหลิ่งเยว่จนผ้าคลุมใบหน้าหลุดออก และเผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามและเย็นชา
แม้ว่าช่วงนี้เหอเหลิ่งเยว่จะอยู่ที่โรงฝึกดัชนีทองตลอด
แต่คนในโรงฝึก นอกจากจินฝูก็คงไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของเหอเหลิ่งเยว่
ตอนนี้ ซื่อหวินกลับได้เห็นใบหน้าของเหอเหลิ่งเยว่โดยบังเอิญ
เหอเหลิ่งเยว่ไม่ได้พูดอะไร
แต่รีบเก็บผ้าคลุมหน้าขึ้นมาแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
และในทิศทางที่เธอเดินจากไป ก็เป็นทิศทางเดียวกับที่ซื่อหวินยืนอยู่
ซื่อหวินขมวดคิ้ว
เขาไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรกับเหอเหลิ่งเยว่
แต่ดูเหมือนเหอเหลิ่งเยว่จะเห็นเขาแล้ว
เหอเหลิ่งเยว่หยุดเดินเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงเย็นชาภายใต้ผ้าคลุมใบหน้าก็ดังขึ้น "เจ้าเป็นศิษย์ของโรงฝึกดัชนีทองใช่ไหม?"
"เรื่องเมื่อกี้ เจ้าต้องทำเป็นว่ามองไม่เห็นเท่านั้น เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม?"
ถึงแม้เหอเหลิ่งเยว่จะดูเย่อหยิ่งและยังพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่เล็กน้อย
แต่ซื่อหวินก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาพยักหน้าตอบกลับ
แล้วจึงหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เหอเหลิ่งเยว่มองตามร่างของซื่อหวินไปนาน โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งร่างของซื่อหวินหายไป เหอเหลิ่งเยว่ถึงค่อยๆหันหลังเดินจากไป…