ตอนที่แล้วบทที่ 171 ราตรีสังหาร!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 173 ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่!

บทที่ 172 สำรวจซากศพ!


ฉัวะ!

ด้วยแสงกระบี่ที่ส่องประกาย ศิษย์บำรุงสำนักคนหนึ่งก็ล้มฟุบลงตรงหน้าหลัวเฉิง

พื้นที่โดยรอบผืนป่ามีแต่ซากศพมนุษย์กระจัดกระจายอยู่ทั่ว!

บางศพกระดูกทรวงอกของพวกเขาก็ยุบลงอย่างน่าสยดสยอง บ้างก็มีโลหิตทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกสังหารด้วยกระบี่เดียว

เคร้ง!

เมื่อเก็บกระบี่เข้าฝักแล้ว หลัวเฉิงคลายปอดหายใจออกผ่อนปรนแรงกดดัน

ผ่านไปชั่วยามครึ่งแล้วตั้งแต่เข้าสู่ยามวิกาล แม้จะค้นหามาอย่างยาวนานก็ยังไม่พบหนแห่งใดจะใช้เป็นที่หลบซ่อนได้

ตลอดชั่วยามครึ่งนี้ หลัวเฉิงจำไม่ได้แล้วว่าเขาถูกเข้าจู่โจมไปกี่ครั้งแล้ว ทั้งยังไม่ทราบได้ว่าเขาสังหารไปแล้วกี่คนหรือฆ่าสัตว์อสูรไปแล้วกี่ตัว!

หากไม่ใช่เพราะเขากลืนกินวิญญาณสัตว์อสูรและวิญญาณยุทธ์ เพื่อเสริมพลังยุทธ์ให้ตนเอง เกรงว่าเขาคงไม่อาจยืนหยัดมาได้นานถึงขนาดนี้แน่

แต่ถึงอย่างไร หลัวเฉิงก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ แขนขาก็อ่อนแรงแทบทรุดตัวลงกับพื้น

“ที่นั่นมัน ต้องเข้าไปดูแล้วอาจจะใช้เป็นที่หลบซ่อนก็ได้!”

หลังจากเดินไปอีกสองสามลี้ หลัวเฉิงก็พบเข้ากับเชิงผาแห่งหนึ่ง

มีพืชพรรณเขียวชอุ่มปกคลุมไปทั่วเชิงผา พื้นที่ตรงกลางมีถ้ำซุ่มซ่อน ทางเข้าถ้ำปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยากต่อการค้นหา

หลัวเฉิงเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง ภายในโถงถ้ำเป็นพื้นที่แห้งและค่อนข้างโล่ง

“เป็นสถานที่ที่ไม่เลว ช่างเหมาะสำหรับการฝึกฝนนัก!”

ก่อนหน้า เขาได้กลืนกินวิญญาณอสูรและวิญญาณยุทธ์ไปมากมาย!

ซึ่งแก่นแท้ของวิญญาณเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในร่างของหลัวเฉิง พานให้เลือดลมในกายรู้สึกเดือดพล่าน เขาจึงอยากขัดเกลาแก่นแท้วิญญาณเหล่านั้นให้รวดเร็วที่สุด

หลังสำรวจบริเวณพื้นที่โดยรอบก็พบก้อนหินขนาดใหญ่ หลัวเฉิงจึงใช้มันเพื่อปิดทางเข้าถ้ำ แล้วไปยังกลางโถงถ้ำ จากนั้นนั่งลงเข้าฌานสมาธิ

“คืนนี้ข้ากลืนกินวิญญาณอสูรไปอย่างน้อยสี่สิบหรือห้าสิบดวง! ส่วนวิญญาณยุทธ์ก็น่าจะใกล้เคียงกันกับวิญญาณสัตว์อสูร ด้วยแก่นวิญญาณมากมายเช่นนี้ข้าต้องทะลวงวิชามังกรแท้เข้าสู่ระดับสามได้แน่! เมื่อถึงตอนนั้น พลังการต่อสู้ของข้าต้องเพิ่มอย่างมหาศาลเป็นแน่!”

ดวงตาของหลัวเฉิงเป็นประกายแวววาว เขาไม่รอช้าเริ่มฝึกฝนวิชามังกรแท้ทันที

ในเวลาเดียวกัน ห่างจากถ้ำที่หลัวเฉิงอยู่ไปหลายลี้ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ณ สถานที่ที่หลัวเฉิงสังหารผู้คน

เขาเป็นชายหนุ่มในชุดสีเขียว พร้อมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแขวนอยู่ที่เอว ใบหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่ง

หากมีศิษย์บำรุงสำนักคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาต้องจำใบหน้านี้ได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่

นามชายผู้นี้คือกู่หลิงเฟิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบศิษย์ที่ได้รับความเชื่อมั่นมากที่สุดว่าจะเป็นผู้คว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋น!

“ดูท่าคนเหล่านี้จะถูกสังหารด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว! ทุกร่องรอยของกระบี่ล้วนฟันเข้าใส่จุดสำคัญทั้งสิ้น ทำให้คนเหล่านี้สิ้นใจตายในทันที! ช่างเป็นเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนัก!”

กู่หลิงเฟิงสำรวจไปทีละศพ หลังได้เห็นบาดแผลจากการสังหารที่ปรากฏบนศพ แววตาเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม

“ในบรรดาศิษย์บำรุงสำนัก ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดที่ฝีมือกระบี่ร้ายกาจเช่นนี้…”

กู่หลิงเฟิงครุ่นคิด แล้วกำลังจะเข้าไปดูศพถัดไป ทันใดนั้นเขาก็หันศีรษะสาดสายตาไปทางป่าทึบด้านข้าง

“นั่นใคร?”

ฟึบ!

น้ำเสียงหัวเราะอันแสนหวานพลันดังขึ้น พร้อมกับร่างแน่งน้อยหนึ่งเดินออกจากป่าทึบ

สตรีที่มาในครั้งนี้มีเสน่ห์อันรัญจวนใจ นางสวมกระโปรงผ้าซาตินสีน้ำเงิน ผมสีดำยาวราวกับม่านน้ำตก ใบหน้าสดใสคล้ายดั่งลูกท้อ นางมองดูกู่หลิงเฟิงด้วยแววตาหยาดเยิ้มแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน

“กู่หลิงเฟิง ข้านึกว่าเจ้าคงไปยังบริเวณใจกลางเกาะแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ ดูท่าว่าเจ้าเองก็คงได้ยินข่าวลือเรื่องหลัวเฉิงมาบ้างกระมัง”

เมื่อกู่หลิงเฟิงเห็นว่าเป็นหยวนจื่อหลาน ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองรองจากเขา เขาก็ยิ้มน้อยๆ ให้กับนาง

“เจ้าเองก็ไม่ได้ไปเหมือนกันมิใช่หรือ”

หยวนจื่อหลานม้วนปอยผมของนาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ายวน “ข้าแค่สงสัยนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องราวของบุรุษหนุ่มผู้นี้ ซึ่งเขาถูกแนะนำโดยศิษย์พี่หญิงอวิ๋นเหมิงลี่ ผู้คนต่างลือกันหนาหูว่าเขาจะใช้วิญญาณยุทธ์เพื่อทำลายชื่อเสียงสำนักซวนหยวนเรา หากข่าวลือนั้นเป็นจริงเกรงต้องเกิดเรื่องที่ทำให้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าใช่น้อย”

“จริงสิยังมีอีกเรื่อง ข้าได้ยินมาว่าเขายังมีสายเลือดของตระกูลจี ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางโบราณ ว่าแต่เจ้าพบเขาหรือยัง ไม่รู้ว่าเขาตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่?”

“ข้ายังไม่พบเขาเลย”

กู่หลิงเฟิงส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แต่ตามความเห็นข้า เขาต้องยังมีชีวิตอยู่แน่....”

“เพราะเหตุใด?”

กู่หลิงเฟิงไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขายังกวาดมองศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้น

“เจ้าดูศพคนเหล่านี้สิ สีหน้าพวกเขายังเต็มไปด้วยความโลภมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่มีค่ามาก แต่พวกเขากลับตายโดยไม่ทันได้โต้ตอบ ซึ่งทั้งหมดล้วนถูกสังหารด้วยเพลงกระบี่เดียว!”

หยวนจื่อหลานเลิกคิ้ว “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับหลัวเฉิง?”

กู่หลิงเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น “เท่าที่ข้ารู้มา หลัวเฉิงเองก็เป็นนักกระบี่เช่นเดียวกัน”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อากัปกิริยาของหยวนจื่อหลานก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

“เจ้าคิดว่าหลัวเฉิงเป็นผู้สังหารคนเหล่านี้หรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่!”

กู่หลิงเฟิงส่ายศีรษะ “ข้าเห็นแบบเดียวกันนี้มาแล้วสามหนจากแต่ละพื้นที่ และผู้ที่สังหารคนเหล่านั้นก็น่าจะเป็นคนเดียวกัน! นี่เป็นข้อพิสูจน์เดียวที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่ใจข้าก็หวังไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะเกิดมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะมีคู่ต่อสู้ที่ฝีมือร้ายกาจทีเดียว”

เฮือก!

หยวนจื่อหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ สูดเอาอากาศในยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บเข้าสู่ปอดนาง พานให้นางรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งทรวง

หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องแย่แน่!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด