ตอนที่ 10: ยอดเขาเหมันต์น้อย
ตอนที่ 10: ยอดเขาเหมันต์น้อย
ฝ่ามืออันสั่นเทาของหวังฝูเพิ่งแตะขั้นบันไดหินต่อไป แล้วเสียงที่พลันดังขึ้นก็บดขยี้ความหวังไม่มีชิ้นดี หนึ่งร้อยขั้น หนึ่งร้อยขั้น…
เขาหัวเราะอย่างน่าเวทนาขณะโลหิตไหลออกจาก แล้วร่างกายเอนเอียงก่อนจะหมดสติพร้อมกับศีรษะที่ตกลงไป
“เหอะ… สุดท้ายก็แค่คนธรรมดาจากหมู่บ้านขนาดเล็กบนเขาเท่านั้น” จ้าวเจ๋อหลินก้าวเข้ามาสองสามก้าวแล้วมาอยู่ข้างหวังฝู จากนั้นหยิบยาเม็ดสีดำออกมาแล้วกดเข้าไปในปากของหวังฝูอย่างแรง
หมู่บ้านอู๋ถงมีความสัมพันธ์ร่วมกับทางสำนัก ประกอบกับมีศิษย์สองคนที่มีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด จ้าวเจ๋อหลินจึงไม่สามารถยืนดูอีกฝ่ายตายได้ แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือกังวลว่าอวิ๋นหนิงซวงจะเกลียดขี้หน้า ถึงอย่างไรนั่นคือคู่ชะตาที่เขาเลือก
ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ จ้าวเจ๋อหลินจากไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หวังฝูนอนอยู่บนขั้นบันไดหินเย็นเยียบ จนกระทั่งเช้าวันถัดมา จ้าวเจ๋อหลินจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แสงอาทิตย์สายหนึ่งสาดส่อง แล้วหวังฝูจึงค่อยได้สติขึ้นมา
เขาพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่บนขั้นบันไดหิน โชคดีที่นอกจากอาการเจ็บปวดบนใบหน้าและความรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีบาดแผลบริเวณอื่นอีก
“ตื่นแล้วหรือ? ในเมื่อตื่นแล้วก็ไปรายงานตัวที่หน่วยศิษย์รับใช้ได้แล้ว…”
เสียงของจ้าวเจ๋อหลินดังขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นหวังฝูจึงสัมผัสได้ว่าเสื้อผ้าตรงช่วงหลังถูกคว้าเอาไว้ แล้วทั่วร่างจึงทะยานขึ้นไป สายลมกระโชกพัดเข้ามา ทำเอาเขาหลั่งน้ำตาด้วยอาการเจ็บบริเวณแก้ม
“หากไม่อยากตาบอดก็จงหลับตาเสีย” จ้าวเจ๋อหลินพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา แล้วหวังฝูจึงรีบหลับตา ตอนนี้เขาคิดถึงเรือของศิษย์พี่หญิงอวิ๋นหนิงซวงยิ่งนัก
ผ่านไปสักพัก หวังฝูจึงรู้สึกว่าความเร็วเริ่มช้าลง เขาลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวังก่อนจะพบว่ามาถึงบริเวณยอดเขาแห่งหนึ่ง ยอดเขานี้มีขนาดเล็กกว่ายอดเขาตะวันลาลับค่อนข้างมาก แม้แต่ตีนเขายังไม่มีเสียด้วยซ้ำ
ลานจัตุรัสธรรมดาตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งมีเพียงตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวเขียนไว้ว่า “หน่วยศิษย์รับใช้” ลานบ้านธรรมดาๆ ตั้งอยู่บนยอดเขา มีตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวเขียนว่า "หน่วยศิษย์รับใช้" ถูกเขียนไว้บนแผ่นป้ายหน้าประตู
หวังฝูถูกจ้าวเจ๋อหลินโยนลงกับพื้น เขาทำหน้าบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวดขณะกลิ้งไปมาหลายครั้งก่อนจะทรงตัวขึ้นมาได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่ายด้วยเกรงว่าจะระงับโทสะในดวงตาเอาไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงสาปแช่งและกล่าวคำสาบานในใจเท่านั้น
“เอาละ นี่คือหน่วยศิษย์รับใช้ เจ้าเข้าไปรายงานด้วยตัวเองได้เลย” จ้าวเจ๋อหลินปัดมือขณะทิ้งประโยคเอาไว้ จากนั้นนั่งของวิเศษอย่างใบไม้บินสีทองอีกครั้งก่อนจะหายไปโดยไม่แม้แต่ทิ้งคำพูดอะไรไว้ให้หวังฝู
“ไอ้สารเลว…”
หวังฝูสาปแช่งอยู่ในใจก่อนจะปัดฝุ่นและหญ้าบนร่างกายออกไป
เขาถอนหายใจพร้อมกับตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงปลายทางของขั้นบันไดหินพันผาได้ภายในเวลาที่กำหนด ดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นศิษย์ทางการได้ ทำให้เป็นได้เพียงศิษย์รับใช้เท่านั้น
“อาจารย์อาอู๋บอกว่าขอเพียงทะลวงถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสี่ภายในสิบปีก็จะสามารถกลายเป็นศิษย์ทางการแล้วเข้าสู่สำนักนอกเพื่อทำการฝึกฝนได้ ในเมื่อเส้นทางขั้นบันไดหินพันผาล้มเหลวแล้ว เช่นนั้นก็มาเริ่มเส้นทางใหม่กันดีกว่า ภายในสิบปี ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทะลวงได้… เป็นศิษย์รับใช้แล้วมันยังไง ขอเพียงพยายามอย่างหนัก ขอเพียงพากเพียรพยายามให้มากพอ…”
หวังฝูยังคงปลอบใจตัวเองขณะถอดเสื้อผ้าขาดวิ่นที่เปื้อนเลือดออก จากนั้นเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดที่แม่ของเขาเตรียมไว้ให้
หลังจากโยนเสื้อผ้าสกปรกทิ้งไปแล้ว หวังฝูจึงเดินตรงไปทางบ้านข้างหน้า
“นี่ เด็กคนนั้น มาทำอะไรที่นี่…”
ชายวัยกลางคนที่มีพุงใหญ่เดินออกจากบ้านขณะมองหวังฝูด้วยดวงตาขนาดเล็กหนึ่งคู่ เขาจ้องมองใบหน้าสกปรกของหวังฝูด้วยความรังเกียจ
“ที่นี่ใช่หน่วยศิษย์รับใช้หรือเปล่า?” หวังฝูเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่สำนักขนนกร่วงโรยเพียงสองวัน แต่เขามองเห็นกฎของที่นี่ชัดเจน
ผู้ที่มีหมัดใหญ่กับระดับการฝึกตนสูงย่อมเป็นผู้ปกครอง หากความแข็งแกร่งไม่ดีเท่าผู้อื่นก็เท่ากับเป็นผู้ด้อยกว่า ตอนนี้เขาทำได้เพียงระแวดระวังและมองหาโอกาสเท่านั้น จะทำตัวเป็นคนบุ่มบ่ามไม่ได้
“ที่นี่คือยอดเขาเหมันต์น้อย หนึ่งในสี่ยอดเขาหลักของสำนักขนนกร่วงโรย ข้าคือเฝิงต้าฟู่ เป็นหัวหน้าประจำยอดเขาเหมันต์น้อย เจ้าเป็นใครแล้วมาทำอะไรที่นี่?” ชายวัยกลางคนมองท้องนภาที่จ้าวเจ๋อหลินจากไป จากนั้นจึงมองหวังฝู
เขาไม่มั่นใจเกี่ยวกับภูมิหลังของเด็กชายสกปรกตรงหน้า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งมาที่นี่โดยศิษย์พี่ผู้เป็นเจ้าของของวิเศษบินได้
“ข้าชื่อหวังฝู เพิ่งเข้าสำนักขนนกร่วงโรยมาได้เมื่อสองวันก่อน วันนี้ข้ามารายงานตัวที่หน่วยศิษย์รับใช้” หวังฝูโค้งคำนับเล็กน้อย
“โห? เจ้าเพิ่งเข้าสำนักมาได้เมื่อสองวันก่อน แล้วเหตุใดถึงเพิ่งมารายงานเอาวันนี้?” เฝิงต้าฟู่แตะคางมันเยิ้มขณะมองหวังฝูอีกครั้ง
“เรื่องนี้…” หวังฝูครุ่นคิด
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฝิงต้าฟู่จึงเอ่ยถาม “เจ้าทราบหรือเปล่าว่าคนที่เพิ่งมาส่งเมื่อครู่เป็นใคร?”
“คนที่มาส่งข้าที่นี่หรือ?” หวังฝูตกตะลึง จากนั้นจึงเข้าใจว่าชายร่างอ้วนกำลังสืบสาวราวเรื่องเช่นกัน ดังนั้นหวังฝูจึงไม่คิดเล่นตุกติกอีกต่อไป “อ๋อ ท่านหมายถึงศิษย์พี่จ้าวสินะ”
“ศิษย์พี่จ้าวไหน?” เฝิงต้าฟู่รีบถาม
“จ้าวเจ๋อหลิน ศิษย์พี่จ้าว เขาส่งข้ามาที่นี่เมื่อช่วงเช้าตรู่” หวังฝูรู้สึกขบขันเล็กน้อยตอนเห็นชายร่างอ้วนตื่นเต้น แต่เขาไม่ได้โกหก เขาเพียงเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูเหมือนเป็นคนรู้จักกับจ้าวเจ๋อหลินเป็นอย่างดี
“จ้าวเจ๋อหลิน จ้าวเจ๋อหลิน… จ้าวเจ๋อหลินที่เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสซุนหรือ?” ดวงตาของเฝิงต้าฟู่เบิกกว้าง
“ไม่น่าจะมีคนอื่นในสำนักขนนกร่วงโรยที่มีชื่อนี้นะ” หวังฝูเอ่ยคำ
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขา”
เฝิงต้าฟู่มีพรสวรรค์ย่ำแย่ ด้วยการฝึกฝนขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้า เขาจึงทำหน้าที่ได้เพียงเป็นผู้ดูแลศิษย์รับใช้เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเส้นสายที่มี เขาพอจะทราบเรื่องน้อยใหญ่ในสำนักขนนกร่วงโรยมาโดยตลอด บ้างก็ทราบว่าศิษย์คนไหนมีพรสวรรค์ รวมถึงศิษย์คนไหนกลายเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโส
เขาจดจำอัจฉริยะอย่างจ้าวเจ๋อหลินได้นานแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองโดยไม่ตั้งใจให้กับผู้ที่อยู่เหนือกว่า อย่าว่าแต่ตัวเขาเลย ขนาดเด็กหนุ่มตรงหน้าเพิ่งเข้าสำนักมาแต่กลับถูกส่งให้มารายงานตัวที่นี่ในอีกสองวันให้หลัง จึงมีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอยู่กับจ้าวเจ๋อหลิน หากบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันก็ยากที่จะทำใจเชื่อได้ ต่อให้เป็นศิษย์รับใช้แล้วยังไง ขอเพียงมีความสัมพันธ์นี้อยู่ก็สามารถหาหน้าที่การงานที่ดีในสำนักขนนกร่วงโรยในอนาคตได้แม้คุณสมบัติจะไม่ดีก็ตาม
“เหอะเหอะ…” เฝิงต้าฟู่ฝืนยิ้มออกมาขณะพาหวังฝูเข้าไปในลานกว้าง “ศิษย์น้องอย่างเจ้าเพิ่งมาใหม่ เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปลงทะเบียนพร้อมกับเอาของสำหรับศิษย์รับใช้ให้แล้วกัน”
“เช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่แล้ว” หวังฝูขบคิดอย่างรวดเร็วจนได้ข้อสรุปว่าแผนข่มเหงผู้อื่นโดยใช้ร่มเงาของผู้มีอำนาจประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนภายภาคหน้าจะถูกเปิดโปงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ สิ่งที่ต้องสนใจคือปัจจุบันต่างหาก
เฝิงต้าฟู่นำหวังฝูเข้าไปในบ้านขณะแนะนำเกี่ยวกับยอดเขาเหมันต์น้อยให้รู้จักระหว่างทาง
เดิมทีแล้วสำนักขนนกร่วงโรยมีสี่ยอดเขาหลักซึ่งอยู่ห่างกันไม่มากนัก พวกมันล้วนมีไว้เพื่อจัดหาทรัพยากรทั้งหลายให้กับศิษย์ทางการของสำนัก อาทิ ปลูกพืชวิญญาณกับข้าววิญญาณ เลี้ยงไก่วิญญาณ เป็ดวิญญาณ หมูวิญญาณและนกกับสัตว์วิญญาณที่กินได้ รวมถึงการผลิตอาหารวิญญาณให้สัตว์กับแมลงวิญญาณ ไม่เว้นแม้แต่การปลูกและดูแลสมุนไพรวิญญาณอายุน้อย
โดนรวมแล้ว ภารกิจของยอดเขาศิษย์รับใช้คือการรับใช้ศิษย์ทางการของสำนัก
ภารกิจที่ยอดเขาศิษย์รับใช้ต้องทำมีมากมายทั้งน้อยใหญ่ บ้างเป็นงานง่าย บ้างเป็นงานยาก ส่วนจะจัดสรรอย่างไรนั้นล้วนขึ้นอยู่กับการมอบหมายโดยหัวหน้างานซึ่งมีอำนาจสูงสุด
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หวังฝูจึงรู้สึกขอบคุณตัวเองที่รู้จักฉวยโอกาสจากสถานการณ์ หาไม่แล้วชายร่างอ้วนคนนี้จะต้องมอบหมายภารกิจโหดหินให้เป็นแน่ แต่ตอนนี้ถือว่าไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่