ตอนที่แล้วตอนที่ 8: ขั้นบันไดหินพันผา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10: ยอดเขาเหมันต์น้อย

ตอนที่ 9: หนทางตัดกระดูกนับไม่ถ้วน


ตอนที่ 9: หนทางตัดกระดูกนับไม่ถ้วน

ขั้นบันไดหินพันผาไม่สม่ำเสมอและค่อนข้างชัน ด้านหนึ่งคือหน้าผาที่ตรงราบเรียบ ส่วนอีกด้านคือหน้าผาลึกหนึ่งพันจั้งที่ไม่อาจมองเห็นก้นได้ หากไม่ระวังให้ดีก็อาจลื่นล้มตกลงไปได้

หวังฝูถึงขั้นเห็นกระดูกสีขาวกองอยู่บนกิ่งก้านต้นไม้ที่งอกออกมาตามหน้าผา

เขาเดินมาได้ไม่ถึงครึ่งวันก็รู้สึกเหมือนขาเต็มไปด้วยตะกั่วเหล็ก ทุกย่างก้าวช่างยากลำบากยิ่ง เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อขณะหอบหายใจไปมา บริเวณตีนเขาที่แสงตะวันยังไม่จางหาย ขั้นบันไดหินนี้ได้ทอดยาวหมู่เมฆที่ไม่คล้ายกับยาวหากมองจากระยะไกล แต่เมื่อลองเดินดูแล้วกลับดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด มีเพียงขั้นบันไดหินกับหินสีเทาที่ไร้ชีวิตและจุดสิ้นสุดเท่านั้นที่อยู่เบื้องหน้า

ในราตรีมืดมิด ขั้นบันไดหินกลับเงียบสงัดจนน่าหวาดกลัว ส่วนปลายทางข้างหน้าไม่ต่างจากหุบเหวภูตผี นอกจากหวังฝูแล้วก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก เขาคล้ายกับถูกหลงลืมขณะเดินโซเซไปตามแสงเลือนรางของดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องนภา

หวังฝูกัดฟัน เขาทราบดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะกลายเป็นศิษย์ทางการ เขาคาดไม่ถึงว่ารากฐานวิญญาณตัวเองจะดีพอต่อการเป็นเพียงศิษย์รับใช้เท่านั้น แต่ศิษย์รับใช้ต้องทำอะไรบ้าง? มันก็มีแต่การทำงานสกปรกเพื่อสำนักไม่ใช่หรือ? แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรหากไม่ทำสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนวิญญาณตลอดทั้งวัน

เขาอิจฉาโจวเผิงและหวังเฟิงที่ครอบครองรากฐานวิญญาณจนอาจารย์อาอู๋เจี้ยนยางยังประทับใจก่อนจะกลายเป็นศิษย์สายในทันที ส่วนเขาไม่แม้แต่เป็นศิษย์สายใน ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องเข้าสู่สำนักสายนอก มีเพียงการเป็นศิษย์ทางการของสำนักขนนกร่วงโรยเท่านั้นจึงจะทำให้ความทะเยอทะยานกับความฝันอย่างเหาะเหินในสวรรค์และซ่อนตัวอยู่บนปฐพีและสังหารภูตผีปิศาจฟันปีศาจได้

เขาไม่อยากเป็นคนธรรมดา เขาอยากเป็นเหมือนเซียนในเรื่องราว ผู้เป็นอมตะ

เขาอยากเป็นเหมือนศิษย์พี่หญิงอวิ๋นหนิงซวงผู้สามารถกำจัดมารและปกป้องวิถีได้ด้วยการขยับมือเพียงข้างเดียว

เขาไม่อยากกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย

ในราตรีอันเงียบสงัด หวังฝูกำลังคืบคลานด้วยสองมือสองเท้า

โครกโครกโครก!

ท้องอันว่างเปล่าส่งเสียงร้องเป็นเวลานาน โชคยังดีที่มีห่อถั่วลิสงทอดที่ผู้เป็นพ่อห่อไว้ให้ หวังฝูล้วงเข้าไปกำมือหนึ่งก่อนจะกินถั่วลิสงทอดเข้าไปขณะปีนป่ายขั้นบันไดหินไปพลางกินไปพลาง

ท้องนภาเริ่มมีแสงสว่าง หลังจากลำแสงตะวันสีม่วงสาดส่องลงมาบนขั้นบันไดไม่มีสิ้นสุด โลหิตบนขั้นบันไดก็ถูกสะท้อนให้เห็นจนเกิดแสงเรืองรองเย้ายวนใจขึ้นมา

หลังจากผ่านคืนแรก  หวังฝูเหนื่อยล้าจนแทบไม่รู้สึกถึงการผ่านไปของเวลา ในใจมีเพียงความเชื่อเดียวที่คอยสนับสนุน: เขาจะต้องปีนไปถึงปลายทางของบันไดเพื่อกลายเป็นศิษย์ทางการของสำนักเซียนให้จงได้

แม้มือเท้าจะเต็มไปด้วยเลือดพุพอง ทุกการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ทุกย่างก้าวสุดแสนจะทรมาน แต่เขายังคงปีนต่อไปโดยใช้มือเท้าหรือแม้กระทั่งเข่ากับข้อศอก

ผิวหนังฉีกขาด ส่วนขั้นบันไดหินด้านหลังยิ่งดูน่าหลงใหล

เสื้อผ้าบนหน้าอกเปียกโชกไปด้วยโลหิตขณะทัศนวิสัยของหวังฝูเริ่มเลือนราง แต่เขาไม่ทราบว่าภายในเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยโลหิตนั้น หม้อขนาดเล็กซึ่งมีขนาดเท่ากำปั้นจะถูกปกคลุมด้วยโลหิตเช่นกัน ซึ่งหม้อดังกล่าวกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงวอันน่าประหลาด

มันคือหม้อขนาดเล็กที่หวังถงจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้เขา

หม้อขนาดเล็กที่เดิมเป็นสีดำสนิทคล้ายกับเกิดการลอกคราบจนเผยให้เห็นสีทองแดง ลวดลายอันอัศจรรย์ที่ดูเหมือนว่าร่องทั้งหลายก็ยิ่งชัดเจน แล้วโคลนภายในหม้อจึงไหลออกมาจนเผยให้เห็นแสงสีเขียวอ่อนภายในหม้อดังกล่าว

เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังมาจากหมู่เมฆ

“หืม? นึกไม่ถึงว่าทุกวันนี้จะมีคนปีนขั้นบันไดหินพันผา…” ชายชราผู้หนึ่งลอยลงมา เส้นผมหนวดเคราของเขาเป็นสีขาว ร่างกายผอมบาง เขาเคลื่อนลงสู่ขั้นบันไดหินอย่างมั่นคงขณะสายตาหมองหม่นจับจ้องหวังฝูผู้เต็มไปด้วยโลหิตแต่ยังคงปีนป่ายขึ้นมา จากนั้นจึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

ในตอนนี้ หม้อขนาดเล็กที่อยู่ในเสื้อของหวังฝูจึงกลายเป็นแสงสีทองแดงที่มองไม่เห็นก่อนจะหายเข้าไปในหน้าอกของเขา เหลือไว้เพียงลวดลายรูปทรงหม้อที่ดูเหมือนกับรอยสัก

“ขั้นบันไดหินพันผา หนทางตัดกระดูกนับไม่ถ้วน…”

“แค่กแค่ก…” ชายชราไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาวางมือข้างหนึ่งไว้ที่ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างกำหมัดแน่นบริเวณรอบปากอย่างอ่อนแรง จากนั้นไอสองครั้งขณะมองหวังฝูที่ขามีโลหิตหลั่งไหลออกมา แล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำ “เจ้าหนู แม้ปลายทางจะอยู่ข้างหน้า แต่มันเกินกว่าที่เจ้าจะเอื้อมถึงได้”

“จะลำบากไปทำไม ยอมแพ้แล้วลงเขาไปเสียดีกว่า…”

สติของหวังฝูพร่าเลือนไปนานแล้ว มีเพียงเจตจำนงเท่านั้นที่สนับสนุนให้ปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วกลายเป็นศิษย์ทางการ ได้ใช้ชีวิตในโลกหล้าอย่างอิสระพร้อมสังหารภูตผีปิศาจฟันปีศาจ นั่นคือความคิดสุดท้ายของเขาที่หลงเหลืออยู่ เขาไม่แม้แต่จะได้ยินคำพูดของชายชรา สิ่งที่ปรากฏในดวงตาพร่าเลือนไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากขั้นบันไดหินไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น

ชายชราตกตะลึงเล็กน้อยขณะดวงตาหมองหม่นคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมกับยื่นมือผอมบางไปกดที่ศีรษะของหวังฝู “เอาเถอะ ถึงแม้จะแค่ผ่านทางมา แต่ในเมื่อได้พบกันแล้ว ขอดูหน่อยแล้วกัน”

วินาทีต่อมา ชายชราจึงมีสีหน้าสับสน

“ทั้งที่มีรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุ แต่รูทวารวิญญาณทั้งแปดกลับเปิดออก พระเจ้าช่างเล่นตลกร้ายกับเจ้าเหลือเกิน” เขาคลายฝ่ามือขณะมองหวังฝูอย่างตั้งใจ

“ไม่แปลกใจเลยที่มีความพากเพียรขนาดนี้… น่าเสียดายน่าเสียดาย…”

“แต่การพานพบคือโชคชะตา ชายชราเช่นข้าย่อมไม่รังเกียจที่จะให้โอกาสเจ้า ส่วนเจ้าจะคว้าได้หรือไม่ แล้วสิ่งที่คว้าได้จะเป็นพรหรือคำสาปก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว…”

“มีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน… ฮ่าฮ่า…”

สิ้นคำ ร่างของชายชราจึงค่อยหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เหลือไว้เพียงกระแสอากาศที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าขณะทะลวงเข้าสู่ฝ่ามือข้างขวาของหวังฝูอย่างเงียบงัน

ลึกเข้าไปในหมู่เมฆ ชายวัยกลางคนร่างกำยำลอยอยู่ในอากาศธาตุขณะเอามือไพล่หลัง

“เหอะ สหายเฒ่าผู้นี้แลกข่าวเดียวด้วยโอสถวิญญาณสามพันปีสองขวด อีกทั้งยังอยากให้ลักพาตัวศิษย์ของข้าอีก ทั้งที่มีเพียงรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุ แต่ความเพียรพยายามนับว่าไม่เลว…” ชายวัยกลางคนยิ้มหยันแล้วไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป จากนั้นจึงอันตรธานไปพร้อมกับเสียงพึมพำ

“แต่ข่าวนี้นับว่ามีความสำคัญ ต้องเตรียมตัวให้ดีเสียก่อน…”

ดวงตะวันลอยขึ้นสูงพร้อมส่องแสงเจิดจ้า บ่งบอกว่าใกล้จะถึงช่วงเที่ยงวันแล้ว แม้ดวงอาทิตย์ร้อนจะแผดเผาหวังฝู แต่เขายังไม่ยอมแพ้

ผู้ฝึกตนจำนวนมากของสำนักขนนกร่วงโรยทะยานอยู่บนท้องนภาสังเกตเห็นหวังฝู แต่กลับไม่มีใครแสดงความเห็นใจขณะมองดูอย่างเหยียดหยัน

“หืม? ทำไมถึงมีคนอยู่บนขั้นบันไดหินพันผา?”

“น่าเวทนา เลือดอาบไปทั่วร่างแล้ว คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเหลือเกิน…”

“ไร้สาระสิ้นดี คนผู้นี้ต้องมีคุณสมบัติแย่มากเป็นแน่ ถึงกับพยายามจะผ่านขั้นบันไดหินพันผา ช่างไม่รู้เสียแล้วว่าความเป็นความมันเป็นอย่างไร”

ขณะอาทิตย์ตกดิน ลมหายใจของหวังฝูยิ่งอ่อนแรงราวกับจะขาดใจตายในวินาทีต่อมา แต่โชคดีที่สุดท้ายก็มองเห็นปลายทางของขั้นบันไดหินอย่างเลือนราง ทำให้เขามีกำลังใจที่จะปีนต่อไป

มันคือตำหนักที่เต็มไปด้วยแสงสว่างขณะรายล้อมไปด้วยหมู่เมฆหลากสีสัน

เบื้องหน้าตำหนักดังกล่าว จ้าวเจ๋อหลินกำลังเอนกายพิงเก้าอี้ขณะหยิบผลไม้ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมากินเป็นครั้งคราว

เขายกยิ้มขณะมองหวังฝูซึ่งอยู่บนขั้นบันไดหิน สายตาดังกล่าวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะปีนมาถึงตรงนี้ นับว่ามีความพากเพียรดี แต่น่าเสียดาย… เวลาหมดลงแล้ว เจ้ายังอยู่ห่างจากข้าอีกร้อยขั้นบันไดหิน เพราะฉะนั้น…” เสียงของจ้าวเจ๋อหลินพลันดุดันขึ้นมา

“ไม่ผ่าน!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด