ตอนที่ 8: ขั้นบันไดหินพันผา
ตอนที่ 8: ขั้นบันไดหินพันผา
“รากฐานวิญญาณสองอันธาตุทองและดิน!” ดวงตาของอู๋เจี้ยนยางทอประกาย “ไม่เลวไม่เลว ในบรรดาห้าธาตุ ดินให้กำเนิดทอง แถมยังเป็นรากฐานวิญญาณสองอันอีก นับว่าเป็นรากฐานวิญญาณดีที่สุดของขั้นสูงสุด”
โจวเผิงสับสนเล็กน้อย แต่เขามองเห็นความประหลาดใจของท่านอาจารย์อาอู๋จนตระหนักได้ว่ารากฐานวิญญาณของตัวเองไม่เลวร้ายแต่อย่างใด
“ยินดีด้วย… คือว่า… เอ่อ ศิษย์น้องคนนี้ชื่ออะไรเหรอ?” จ้าวเจ๋อหลินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“จะ โจวเผิง”
“ยินดีด้วยศิษย์น้องโจว เจ้ามีรากฐานวิญญาณสองอันที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ในอนาคต เจ้าจะสามารถฝึกฝนวิชาธาตุทองด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียวได้ เจ้าอาจถึงขั้นกลายเป็นผู้ใช้กระบี่เพราะเหตุนี้ได้” จ้าวเจ๋อหลินกลับมามีชีวิตชีวาหลังจากเหยียดหยันไปเมื่อครู่ เขาเองก็มีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุดเช่นกัน ทว่ามันกลับไม่มีประโยชน์ร่วมกัน แต่ชายร่างอ้วนตรงหน้ากลับมีพรสวรรค์เหนือกว่าตัวเอง บางทีผู้อาวุโสขอบเขตปราณทองอาจจะสังเกตเห็นจนรับไว้เป็นศิษย์เอกก็เป็นได้
ส่วนความไม่ยินดีก่อนหน้านี้ นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
“เอาล่ะ คนต่อไป” อู๋เจี้ยนยางแย้มยิ้มขณะชี้ให้หวังเฟิงลุยต่อพร้อมกับส่งสายตามองไปทางต้าจินหยา
ยิ่งใบหน้าของอีกฝ่ายน่าเกลียดเท่าไหร่ เขายิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
หวังเฟิงพยักหน้าขณะวางมือบนแผ่นหินอย่างระมัดระวัง
วิ้ง!
เพียงชั่วพริบตา แผ่นหินทดสอบวิญญาณส่องแสงออกมา โดยแสงสีเขียวเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่งจนบดบังสายตาของทุกคน
“เหอะ!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ต้าจินหยาจึงจากไปโดยไม่รอให้แสงสว่างจางหาย เหลือไว้เพียงหญ้าวิญญาณสีเขียวที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แม้กระทั่งชายหนุ่มทั้งสามที่เขาพามาด้วยยังไม่ถูกพาตัวออกไป มันแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ในการเดิมพันจนเกิดเป็นความเดือดดาล
“ศิษย์น้องจินรักษาตัวด้วย” อู๋เจี้ยนยางหัวเราะพลางโบกมือ แล้วหญ้าแสงเขียวจึงมาอยู่ในมือ
“รากฐานวิญญาณล้ำเลิศนี้มีคุณภาพสูงยิ่งกว่ารากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด แสงสีเขียวหมายถึงรากฐานวิญญาณวายุของรากฐานวิญญาณล้ำเลิศ” จ้าวเจ๋อหลินกลืนน้ำลาย รากฐานวิญญาณล้ำเลิศเพียงด้อยกว่ารากฐานวิญญาณสวรรค์ หากมีวิชาการฝึกฝนที่เข้าคู่กัน ความเร็วการฝึกฝนย่อมไม่ช้าไปกว่าผู้ที่มีรากฐานวิญญาณสวรรค์บางคน
“รากฐานวิญญาณล้ำเลิศคนที่สี่ของสำนักขนนกร่วงโรย”
“ฮ่าฮ่า… ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องด้วย…”
หวังฝูรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง
การทดสอบรากฐานวิญญาณสิ้นสุดลงแล้ว
ภายในตำหนัก อู๋เจี้ยนยางมองชายหนุ่มหกคน
“ตามกฎของสำนักขนนกร่วงโรยแล้ว ผู้ที่มีรากฐานวิญญาณขั้นต่ำหรือกลางสามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกเพื่อฝึกฝนอยู่ภายในภูเขาของสำนักสายนอกได้ เมื่อไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบก็จะสามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้” สายตาของเขาจับจ้องชายหนุ่มสามคนที่ต้าจินหยาพามา “เว่ยหมิง เจ้าพาพวกเขาสามคนไปรายงานกับสำนักสายนอก”
ชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายอู๋เจี้ยนยางที่ไม่ได้เอ่ยคำอะไรพยักหน้าก่อนจะพาพวกเขาสามคนออกจากตำหนักกิจการทั่วไป
“หวังเฟิงกับโจวเผิง พวกเจ้ามีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด ทำให้สามารถเข้าสำนักสายในเพื่อทำการฝึกฝนได้ อีกเดี๋ยวตามข้าไปพบกับเจ้าสำนัก”
อู๋เจี้ยนยางไม่เอ่ยคำอะไรอีก ด้วยรากฐานวิญญาณของทั้งสอง เป็นไปได้มากว่าผู้อาวุโสจะตื่นเต้นจนรับพวกเขาเป็นศิษย์เอก
“สำหรับเจ้า…” อู๋เจี้ยนยางมองหวังฝู “เจ้ามีรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเริ่มต้นในฐานะศิษย์รับใช้เท่านั้น หากสามารถทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณระดับสี่ภายในสิบปีได้ เจ้าก็จะสามารถกลายเป็นศิษย์ทางการได้เช่นกัน”
“ศิษย์รับใช้…” หวังฝูตกอยู่ในความเงียบ แม้จะเพิ่งมาถึงสำนักขนนกร่วงโรย แต่เขาบอกได้จากคำว่าศิษย์รับใช้ว่านี่คือคนที่มีตำแหน่งต่ำที่สุดในสำนักขนนกร่วงโรย
เขากำหมัดแน่น รากฐานวิญญาณ รากฐานวิญญาณ…
นิ้วของเขากลายเป็นสีขาวด้วยความไม่เต็มใจ
“ศิษย์พี่อู๋ ข้าจำได้ว่าสำนักขนนกร่วงโรยมีหนทางที่ทำให้ศิษย์ที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอกลายเป็นศิษย์ทางการได้อยู่” จ้าวเจ๋อหลินผู้อยู่ข้างกายแย้มยิ้ม
หวังฝูเงยหน้ามองเขา จากนั้นมองไปทางอู๋เจี้ยนยาง
อู๋เจี้ยนยางขมวดคิ้ว “มันก็จริง”
“ท่านอาจารย์อาอู๋ หนทางที่ว่าคืออะไรหรือ?” หวังฝูคล้ายกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ เขามาที่นี่เพื่อฝึกตนเป็นเซียน ไม่ได้เป็นศิษย์รับใช้เสียหน่อย
“มียอดเขาหลักสามแห่งอยู่ในสำนักขนนกร่วงโรย ซึ่งด้านหลังของหนึ่งในสามยอดเขาคือยอดเขาตะวันลาลับ ที่นั่นมีขั้นบันไดหินพันผาอยู่ หากใครสามารถไปถึงปลายทางของขั้นบันไดหินพันผาภายในสิบสองชั่วโมงได้ก็จะได้รับการยกเว้นจากการเป็นศิษย์รับใช้แล้วกลายเป็นศิษย์ทางการ อีกทั้งอาจได้พบกับผู้อาวุโสเพื่อกลายเป็นศิษย์เอกอีกด้วย” อู๋เจี้ยนยางเอ่ยคำ “แต่ว่า เส้นทางนี้…”
จ้าวเจ๋อหลินกอดอกพร้อมกับขัดจังหวะอู๋เจี้ยนยาง “ศิษย์พี่อู๋ ข้าคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ยอมแพ้หรอก เหตุใดต้องไปเสียเวลาพูดด้วย สู้ให้เขาได้ทำตามใจอย่างการขึ้นขั้นบันไดหินพันผาจะดีกว่า หากสามารถขึ้นมาได้จริงละก็ เหอะเหอะ… มันก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ”
อู๋เจี้ยนยางไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะแต่จ้าวเจ๋อหลินคือศิษย์เอกของผู้อาวุโสขอบเขตปราณทอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรู แต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดทิ้งท้าย “ขั้นบันไดหินพันผาประกอบไปด้วยขั้นบันไดที่ไม่เท่ากัน ชันบ้าง ไม่สม่ำเสมอบ้าง แถมด้านข้างยังเป็นหน้าผาสูงชัน หากเจ้าตกลงไปก็มีแต่ตายในสภาพร่างกายไม่ครบสามสิบสองอย่างแน่นอน เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง?”
หวังฝูกัดฟันแล้วเอ่ยคำด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์อาโปรดช่วยข้าด้วย”
เขาไม่อยากกลายเป็นศิษย์รับใช้ เขาอยากกลายเป็นศิษย์แท้จริงของสำนักเพื่อฝึกตนเป็นเซียนและแสวงหาความจริง เขาทราบเช่นกันว่าจ้าวเจ๋อหลินมีเจตนาไม่ดี ที่พูดแบบนั้นเพียงเพื่ออยากให้เขาตกหน้าผาตายก็เท่านั้น
เขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถปีนขึ้นไปได้
“พี่ฝู…” โจวเผิงผู้อยู่ด้านข้างเผยสีหน้ากังวล
“ถ้าหากต้องการนักก็เชิญตามสบาย”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนยางจึงไม่เอ่ยคำอะไรอีก การโน้มน้าวคนที่รนหาความตายด้วยคำพูดอ่อนโยนย่อมเป็นไปได้ยาก
เขาเพียงสะบัดมือ แล้วหวังฝูก็รู้สึกได้ทันทีว่าโลกหมุนไปมาพร้อมกับสายลมที่พัดโหมจนยากที่จะลืมตาได้ ผ่านไปได้สักพัก หน้าผาที่สูงเสียดเมฆาจึงปรากฏแก่สายตา
เบื้องหลังยอดเขาตะวันลาลับมีขั้นบันไดหินนับพันอยู่บนหน้าผา
บันไดหินแห่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในหน้าผาสูงตระหง่านขณะทอดยาวไปสู่ส่วนลึกของหมู่เมฆ
“เส้นทางนี้คงอยู่มาหลายร้อยปี มันถูกสร้างขึ้นโดยเจ้ายอดเขาตะวันลาลับคนก่อนเพื่อตระเตรียมเส้นทางไว้ให้ศิษย์ที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอแต่ยังมีความหวัง เจ้ายอดเขาเคยบอกว่าแม้คุณสมบัติการฝึกตนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความพากเพียรก็สำคัญไม่แพ้กัน หากสามารถไปถึงยอดเขาโดยไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอกได้ ต่อให้ขาดคุณสมบัติก็ยังสามารถได้รับข้อยกเว้นจนกลายเป็นศิษย์ทางการได้” อู๋เจี้ยนยางมองขั้นบันไดหินไร้ที่สิ้นสุด “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีเพียงคนเดียวที่ไปถึงยอดเขาได้ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืนในสภาพร่างมนุษย์”
“ลองคิดดูอีกรอบ หากเจ้าตกหน้าผาขึ้นมาก็จะถูกบดขยี้จนร่างกายไม่ครบสมบูรณ์”
อู๋เจี้ยนยางจ้องเข้าไปในดวงตาของหวังฝู
“ข้าคิดมาดีแล้ว ข้าจะต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดให้จงได้” สายตาของหวังฝูหนักแน่น “ข้าต้องกลายเป็นศิษย์ทางการให้ได้”
สิ้นคำ หวังฝูจึงเริ่มย่างก้าวอย่างมั่นคงขณะมุ่งหน้าไปยังขั้นบันไดหิน
“จิตใจแน่วแน่ดี”
อู๋เจี้ยนยางส่ายหน้าขณะหันมามองจ้าวเจ๋อหลินแล้วเอ่ยคำ “ในเมื่อศิษย์น้องจ้าวเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์น้องจ้าวดูแลเขาหน่อยแล้วกัน”
“แน่นอน” จ้าวเจ๋อหลินมองแผ่นหลังของหวังฝูด้วยสีหน้าขี้เล่น
เมื่อเห็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนยางจึงขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องจ้าว เขามาจากหมู่บ้านอู๋ถง หากศิษย์น้องหญิงอวิ๋นกลับมามือเปล่าก็แล้วไป แต่นางพาศิษย์มากพรสวรรค์มาสู่สำนักถึงสองคน เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”
“เหอะเหอะ… ศิษย์พี่อู๋คิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่มีความคิดที่จะฆ่ามนุษย์หรอก”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
อู๋เจี้ยนยางโบกมือเพื่อพาหวังเฟิงกับโจวเผิงที่มีสีหน้ากังวลขึ้นมา จากนั้นจึงเคลื่อนลงสู่ลำแสงของอาวุธวิเศษก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เหอะเหอะ… ก็แค่มดปลวกตัวหนึ่ง ข้าสามารถทำให้มันหลั่งเลือดด้วยกลอุบายทีละน้อยจนต้องอับอายขายขี้หน้า ทำไมต้องฆ่าทิ้งในทันทีกันเล่า?”
จ้าวเจ๋อหลินมองขั้นบันไดพันผาที่ทอดยาวไปสู่ส่วนลึกของหมู่เมฆก่อนจะเผยรอยยิ้มหยันออกมา