ตอนที่ 7: ตำหนักกิจการทั่วไป
ตอนที่ 7: ตำหนักกิจการทั่วไป
พวกเขาทั้งสามมองชายวัยกลางคนที่อวิ๋นหนิงซวงเรียกว่าศิษย์พี่อู๋อย่างกระตือรือร้น ส่วนชายหนุ่มในชุดคลุมยาวกับผู้ชายอีกคนกลับถูกเมินเฉย พวกเขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนมีสถานะสูงกว่า
“มาเถอะ ตามข้ามา” ชายวัยกลางคนเอ่ยคำขณะก้าวเดินไปข้างหน้า
พวกเขาทั้งสามตามหลังอย่างใกล้ชิด แต่เด็กชายร่างอ้วนนามโจวเผิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ศะ ศิษย์พี่อู๋ พวกเรากำลังจะไปไหน…”
ชายวัยกลางคนหยุดเดิน ก่อนจะทันได้เอ่ยคำ ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวผู้อยู่ข้างกายพลันตะโกนออกมา “หุบปาก คิดว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์เรียกศิษย์พี่อู๋หรือ? สุดท้ายแล้วพวกเจ้ามีก็แค่ชาวบ้านบนเขา ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
โจวเผิงหวาดกลัวจนร่างกายจ้ำม่ำสั่นสะท้านและเท้าอ่อนแรง หวังฝูรีบเข้ามาช่วยชายร่างอ้วนไม่ให้ล้มลง แต่ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวไม่ยอมรามือโดยง่าย เขาพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาประหนึ่งสายฟ้าฟาดที่เข้าหูของคนทั้งสาม โดยเฉพาะหวังฝูที่โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก
“เหอะ!”
หวังฝูล้มลงกับพื้นทันที ส่วนสภาพของหวังเฟิงกับโจวเผิงไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกเขาทั้งสามขดตัวไปมาด้วยสภาพเวทนา
“เอาน่า พวกเขาเพิ่งเข้าสำนักและยังไม่ได้รับการฝึกฝน ดังนั้นไม่มีทางรับรู้ผิดชอบชั่วดีหรอก”
โชคยังดีที่ชายวัยกลางคนโบกมือแล้วเอ่ยคำอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ้าจำเอาไว้ ในโลกของการฝึกตนเป็นเซียน ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการเคารพ สำนักขนนกร่วงโรยก็เช่นกัน เมื่อเข้าสำนักแล้วก็จะไม่มีลำดับความสำคัญ มีเพียงความแข็งแกร่งการฝึกตนเท่านั้นที่เป็นสิ่งสำคัญ”
“ข้ามีชื่อว่าอู๋เจี้ยนยาง พวกเจ้าควรเรียกข้าว่าอาจารย์อา ส่วนคนนี้คือศิษย์ของข้านามว่าเว่ยหมิง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเจ้า ส่วนจ้าวเจ๋อหลินกับศิษย์น้องหญิงอวิ๋นที่รับหน้าที่คุ้มกันพวกเจ้าคือศิษย์เอกของผู้อาวุโสปราณทอง รู้จักกันไว้ด้วยล่ะ” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่สองคนผู้อยู่ข้างกายคนแล้วคนเล่า
“ขอรับ ท่านอาจารย์อู๋”
พวกหวังฝูทั้งสามหวาดกลัวจนไม่กล้าผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
ผ่านไปสักพัก พวกเขาจึงมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง ตำหนักกิจการทั่วไป
“พวกเจ้าวางมือบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณทีละคน”
อู๋เจี้ยนยางชี้ไปที่แผ่นหินขนาดใหญ่ในตำหนักซึ่งสูงราวหนึ่งจั้ง จากนั้นจึงโบกมือให้พวกหวังฝูทั้งสามก้าวมาข้างหน้า
ทั้งสามคนมองหน้ากัน โจวเผิงยังคงหวาดกลัวจนต้องดึงชายเสื้อของหวังฝู ส่วนหวังฝูลอบถอนหายใจขณะยื่นมือออกไปสัมผัสแผ่นหินทดสอบวิญญาณ
ภายในหนึ่งถึงสองอึดใจ แสงสีทองค่อยปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน จากนั้นตามด้วย… สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง สีเหลือง แล้วแสงสว่างห้าสีจึงกระจายอย่างสม่ำเสมอบนแผ่นหิน
“พรืด…” จ้าวเจ๋อหลินหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นแสงสว่างห้าสี “คิดว่าจะเป็นรากฐานวิญญาณแบบไหน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นรากฐานวิญญาณห้าธาตุที่ไร้ประโยชน์ที่สุด”
“นั่นสิ สำหรับหมู่บ้านขนาดเล็กบนเขา การมีรากฐานวิญญาณก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว อย่าคาดหวังให้มาก มันเป็นเพียงกระบวนการเท่านั้น”
หวังฝูมองห้าสีที่อยู่บนแผ่นหินขณะฟังคำเย้ยหยันจากด้านข้าง เขาทราบดีว่าคุณสมบัติของตัวเองไม่ได้ดีเท่าไหร่
“ศิษย์น้องจ้าว ผู้อาวุโสจูจากหมู่บ้านอู๋ถงช่วยสำนักของพวกเราเอาไว้ เจ้าควรรู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง” อู๋เจี้ยนยางขมวดคิ้ว
หวังฝูเก็บความเกลียดชังเอาไว้โดยไม่กล้าแสดงออกมา
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะจึงดังมาจากนอกตำหนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า... ศิษย์พี่อู๋ ท่านจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก สำนักขนนกร่วงโรยคือสำนักฝึกตนเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าเซี่ย การยอมรับคนที่มีรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุนับว่าเป็นการลดสถานะมากพอแล้ว ท่านยังไม่ยอมให้พูดแบบนั้นอีกหรือ?”
ชายวัยกลางคนท้องกลมและสูงไม่ถึงห้าฉื่อเดินเข้ามาอย่างสง่างาม เขาสวมชุดหรูหรา หนวดเคราเป็นประกาย ฟันหน้าขนาดใหญ่ส่องแสงสีทองแวววับ ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับลูบหนวดเครา จากนั้นจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคำ “ข้าไปโลกมนุษย์จนพบผู้ชายสามคนที่มีรากฐานวิญญาณเหมือนกัน คาดไม่ถึงว่าจะได้พบศิษย์พี่อู๋พาคนมาทดสอบรากฐานวิญญาณเหมือนกัน”
ด้านหลังของเขามีเด็กชายอีกสามคน
“ศิษย์น้องจินนับว่าโชคดี ออกเดินทางเพียงครั้งเดียวก็พบผู้มีพรสวรรค์กับสำนักถึงสามคน น่ายินดี” อู๋เจี้ยนยางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยคำกับพวกหวังฝูทั้งสามคน “คนผู้นี้คือจินเซี่ยนกุ้ย พวกเจ้าต้องเรียกว่าอาจารย์อาจิน”
“ท่านอาจารย์อาจิน…” พวกหวังฝูทั้งสามกล่าวทักทายขณะในใจตั้งฉายาให้กับชายวัยกลางคนผู้สูงไม่ถึงห้าฉื่อว่า… ต้าจินหยา (ฟันทองใหญ่)
“ไม่หรอกไม่หรอก” ต้าจินหยาไม่แม้แต่เหลียวแลพวกหวังฝู “ในเมื่อบังเอิญมาพบกันตอนทำการทดสอบรากฐานวิญญาณเช่นนี้ ศิษย์พี่อู๋กับข้ามาวางเงินเดิมพันกันหน่อยดีหรือไม่?”
“ข้าเป็นเพียงชนชั้นกลางที่มีทรัพย์สินน้อยนิด ศิษย์น้องจินอย่าดูถูกข้าจะดีกว่า” อู๋เจี้ยนยางอยากปฏิเสธเนื่องจากชื่อเสียงของคนผู้นี้ไม่ค่อยดีนัก
“เฮ้อ…” ต้าจินหยาเอ่ยคำเสียงสูง “หากศิษย์พี่อู๋ยังรับว่าเป็นชนชั้นกลางทั้งที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี เช่นนั้นพวกข้าศิษย์น้องไม่น่าเวทนายิ่งกว่านั้นหรอกหรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่อู๋หญ้าลายเพลิงอายุห้าร้อยปี ศิษย์พี่น่าจะทราบดีว่าวิชาที่ข้าฝึกฝนบังเอิญเป็นธาตุไฟ ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมไม่เอามันมาเดิมพันเสียเลยเล่า?” ต้าจินหยายิ้มกว้างจนแสงสีทองสาดส่องออกมา “ส่วนข้ามีหญ้าวิญญาณธาตุไม้อายุหกร้อยปี…”
“เป็นหญ้าวิญญาณแบบไหน?” อู๋เจี้ยนยางเกิดสนใจ นั่นเพราะวิชาที่เขาฝึกฝนนั้นเป็นธาตุไม้
“ฮิฮิ… หญ้าแสงเขียว”
“หญ้าแสงเขียว…” อู๋เจี้ยนยางครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “ในเมื่อศิษย์น้องจินในดีขนาดนี้ ข้าแซ่อู๋จะปฏิเสธได้อย่างไร”
“ศิษย์พี่ช่างตรงไปตรงมานัก” ต้าจินหยาโบกมือพลางเรียกชายหนุ่มสามคนที่อยู่ด้านหลัง “หลิวหยาง เจ้าเข้าไปลองก่อน”
หนึ่งในสามชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งยโส เขาสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา พอเทียบกับพวกหวังฝูทั้งสามที่ใส่ผ้าฝ้ายหยาบแล้ว มีหรือจะไม่ให้แสดงความภาคภูมิ
แสงสว่างปรากฏบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณ ประกอบด้วยสามสีคือแดง เหลืองและเขียว
“อื้ม ไม่เลว รากฐานวิญญาณขั้นกลางสามอันธาตุไฟ ดินและไม้” ต้าจินหยาเอ่ยคำอย่างมั่นใจ “ฮ่าฮ่า… ศิษย์พี่อู๋ ขอบคุณที่ให้นำก่อน”
สีหน้าของอู๋เจี้ยนยางยังคงไม่แปรเปลี่ยนจนยากจะบอกได้ว่ายินดีหรือยินร้าย แต่หวังฝูสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยความอาฆาตที่มีต่อเขา
“เฮ้อ ช่างเป็นหายนะที่ไร้เหตุผลสิ้นดี” เขารู้สึกขมขื่น
“เฉาเจียง จางเซิน พวกเจ้าสองคนก็ไปด้วย” ต้าจินหยาโบกมือเพื่อบอกให้ชายหนุ่มรูปงามอีกสองคนที่อยู่ข้างกายรับการทดสอบเช่นกัน “ศิษย์พี่อู๋ ข้าจะให้สองคนนี้ทำการทดสอบก่อน คงไม่ถือสาหรอกใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นการเดิมพัน พวกเราต้องรอดูผลลัพธ์สุดท้าย” ใบหน้าของอู๋เจี้ยนยางสงบนิ่ง
ผ่านไปสักพัก การทดสอบของทั้งสองสิ้นสุดลง แล้วลำแสงสามสายจึงปรากฏบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณ
ทอง เหลือง เขียว
น้ำเงิน แดง เหลือง
เด็กชายทั้งสามที่ต้าจินหยาพามานั้นล้วนแต่มีรากฐานวิญญาณขั้นกลางสามอัน
“ช่างน่าผิดหวังนักที่ไม่มีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด” ต้าจินหยากางแขนขณะแสร้งทำเป็นเสียดาย แต่ทุกคนมองออกว่าเขากำลังภูมิใจอยู่ไม่น้อย
รากฐานวิญญาณขั้นกลางนับว่าดีกว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ค่อนข้างมาก อย่าว่าแต่สำนักอื่นเลย แม้กระทั่งในสำนักขนนกร่วงโรยก็มีผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่จะมีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด
“พวกเจ้าสองคน เข้าไปทดสอบ” ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าอู๋เจี้ยนยางยินดีหรือยินร้าย
โจวเผิงชำเลืองมองหวังเฟิงผู้มีท่าทีขลาดกลัวยิ่งกว่าตัวเองก่อนจะถอนหายใจ สุดท้ายแล้วเขาต้องเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้ แต่กลับหลงลืมไปว่าเพิ่งขอให้หวังฝูช่วยพยุงเขาขึ้นมา
มืออ้วนกลมกดทับแผ่นหินเย็น ไม่ช้า แสงสว่างจึงปรากฏขึ้น
แสงสีทองและแสงสีน้ำเงินดูเปล่งประกายเป็นพิเศษ