ตอนที่แล้วตอนที่ 6: สำนักขนนกร่วงโรย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8: ขั้นบันไดหินพันผา

ตอนที่ 7: ตำหนักกิจการทั่วไป


ตอนที่ 7: ตำหนักกิจการทั่วไป

พวกเขาทั้งสามมองชายวัยกลางคนที่อวิ๋นหนิงซวงเรียกว่าศิษย์พี่อู๋อย่างกระตือรือร้น ส่วนชายหนุ่มในชุดคลุมยาวกับผู้ชายอีกคนกลับถูกเมินเฉย พวกเขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนมีสถานะสูงกว่า

“มาเถอะ ตามข้ามา” ชายวัยกลางคนเอ่ยคำขณะก้าวเดินไปข้างหน้า

พวกเขาทั้งสามตามหลังอย่างใกล้ชิด แต่เด็กชายร่างอ้วนนามโจวเผิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ศะ ศิษย์พี่อู๋ พวกเรากำลังจะไปไหน…”

ชายวัยกลางคนหยุดเดิน ก่อนจะทันได้เอ่ยคำ ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวผู้อยู่ข้างกายพลันตะโกนออกมา “หุบปาก คิดว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์เรียกศิษย์พี่อู๋หรือ? สุดท้ายแล้วพวกเจ้ามีก็แค่ชาวบ้านบนเขา ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”

โจวเผิงหวาดกลัวจนร่างกายจ้ำม่ำสั่นสะท้านและเท้าอ่อนแรง หวังฝูรีบเข้ามาช่วยชายร่างอ้วนไม่ให้ล้มลง แต่ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวไม่ยอมรามือโดยง่าย เขาพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาประหนึ่งสายฟ้าฟาดที่เข้าหูของคนทั้งสาม โดยเฉพาะหวังฝูที่โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก

“เหอะ!”

หวังฝูล้มลงกับพื้นทันที ส่วนสภาพของหวังเฟิงกับโจวเผิงไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกเขาทั้งสามขดตัวไปมาด้วยสภาพเวทนา

“เอาน่า พวกเขาเพิ่งเข้าสำนักและยังไม่ได้รับการฝึกฝน ดังนั้นไม่มีทางรับรู้ผิดชอบชั่วดีหรอก”

โชคยังดีที่ชายวัยกลางคนโบกมือแล้วเอ่ยคำอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ้าจำเอาไว้ ในโลกของการฝึกตนเป็นเซียน ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการเคารพ สำนักขนนกร่วงโรยก็เช่นกัน เมื่อเข้าสำนักแล้วก็จะไม่มีลำดับความสำคัญ มีเพียงความแข็งแกร่งการฝึกตนเท่านั้นที่เป็นสิ่งสำคัญ”

“ข้ามีชื่อว่าอู๋เจี้ยนยาง พวกเจ้าควรเรียกข้าว่าอาจารย์อา ส่วนคนนี้คือศิษย์ของข้านามว่าเว่ยหมิง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเจ้า ส่วนจ้าวเจ๋อหลินกับศิษย์น้องหญิงอวิ๋นที่รับหน้าที่คุ้มกันพวกเจ้าคือศิษย์เอกของผู้อาวุโสปราณทอง รู้จักกันไว้ด้วยล่ะ” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่สองคนผู้อยู่ข้างกายคนแล้วคนเล่า

“ขอรับ ท่านอาจารย์อู๋”

พวกหวังฝูทั้งสามหวาดกลัวจนไม่กล้าผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป

ผ่านไปสักพัก พวกเขาจึงมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง ตำหนักกิจการทั่วไป

“พวกเจ้าวางมือบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณทีละคน”

อู๋เจี้ยนยางชี้ไปที่แผ่นหินขนาดใหญ่ในตำหนักซึ่งสูงราวหนึ่งจั้ง จากนั้นจึงโบกมือให้พวกหวังฝูทั้งสามก้าวมาข้างหน้า

ทั้งสามคนมองหน้ากัน โจวเผิงยังคงหวาดกลัวจนต้องดึงชายเสื้อของหวังฝู ส่วนหวังฝูลอบถอนหายใจขณะยื่นมือออกไปสัมผัสแผ่นหินทดสอบวิญญาณ

ภายในหนึ่งถึงสองอึดใจ แสงสีทองค่อยปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน จากนั้นตามด้วย… สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง สีเหลือง แล้วแสงสว่างห้าสีจึงกระจายอย่างสม่ำเสมอบนแผ่นหิน

“พรืด…” จ้าวเจ๋อหลินหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นแสงสว่างห้าสี “คิดว่าจะเป็นรากฐานวิญญาณแบบไหน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นรากฐานวิญญาณห้าธาตุที่ไร้ประโยชน์ที่สุด”

“นั่นสิ สำหรับหมู่บ้านขนาดเล็กบนเขา การมีรากฐานวิญญาณก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว อย่าคาดหวังให้มาก มันเป็นเพียงกระบวนการเท่านั้น”

หวังฝูมองห้าสีที่อยู่บนแผ่นหินขณะฟังคำเย้ยหยันจากด้านข้าง เขาทราบดีว่าคุณสมบัติของตัวเองไม่ได้ดีเท่าไหร่

“ศิษย์น้องจ้าว ผู้อาวุโสจูจากหมู่บ้านอู๋ถงช่วยสำนักของพวกเราเอาไว้ เจ้าควรรู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง” อู๋เจี้ยนยางขมวดคิ้ว

หวังฝูเก็บความเกลียดชังเอาไว้โดยไม่กล้าแสดงออกมา

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะจึงดังมาจากนอกตำหนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า... ศิษย์พี่อู๋ ท่านจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก สำนักขนนกร่วงโรยคือสำนักฝึกตนเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าเซี่ย การยอมรับคนที่มีรากฐานวิญญาณผสมห้าธาตุนับว่าเป็นการลดสถานะมากพอแล้ว ท่านยังไม่ยอมให้พูดแบบนั้นอีกหรือ?”

ชายวัยกลางคนท้องกลมและสูงไม่ถึงห้าฉื่อเดินเข้ามาอย่างสง่างาม เขาสวมชุดหรูหรา หนวดเคราเป็นประกาย ฟันหน้าขนาดใหญ่ส่องแสงสีทองแวววับ ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับลูบหนวดเครา จากนั้นจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคำ “ข้าไปโลกมนุษย์จนพบผู้ชายสามคนที่มีรากฐานวิญญาณเหมือนกัน คาดไม่ถึงว่าจะได้พบศิษย์พี่อู๋พาคนมาทดสอบรากฐานวิญญาณเหมือนกัน”

ด้านหลังของเขามีเด็กชายอีกสามคน

“ศิษย์น้องจินนับว่าโชคดี ออกเดินทางเพียงครั้งเดียวก็พบผู้มีพรสวรรค์กับสำนักถึงสามคน น่ายินดี” อู๋เจี้ยนยางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยคำกับพวกหวังฝูทั้งสามคน “คนผู้นี้คือจินเซี่ยนกุ้ย พวกเจ้าต้องเรียกว่าอาจารย์อาจิน”

“ท่านอาจารย์อาจิน…” พวกหวังฝูทั้งสามกล่าวทักทายขณะในใจตั้งฉายาให้กับชายวัยกลางคนผู้สูงไม่ถึงห้าฉื่อว่า… ต้าจินหยา (ฟันทองใหญ่)

“ไม่หรอกไม่หรอก” ต้าจินหยาไม่แม้แต่เหลียวแลพวกหวังฝู “ในเมื่อบังเอิญมาพบกันตอนทำการทดสอบรากฐานวิญญาณเช่นนี้ ศิษย์พี่อู๋กับข้ามาวางเงินเดิมพันกันหน่อยดีหรือไม่?”

“ข้าเป็นเพียงชนชั้นกลางที่มีทรัพย์สินน้อยนิด ศิษย์น้องจินอย่าดูถูกข้าจะดีกว่า” อู๋เจี้ยนยางอยากปฏิเสธเนื่องจากชื่อเสียงของคนผู้นี้ไม่ค่อยดีนัก

“เฮ้อ…” ต้าจินหยาเอ่ยคำเสียงสูง “หากศิษย์พี่อู๋ยังรับว่าเป็นชนชั้นกลางทั้งที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี เช่นนั้นพวกข้าศิษย์น้องไม่น่าเวทนายิ่งกว่านั้นหรอกหรือ?”

“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่อู๋หญ้าลายเพลิงอายุห้าร้อยปี ศิษย์พี่น่าจะทราบดีว่าวิชาที่ข้าฝึกฝนบังเอิญเป็นธาตุไฟ ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เช่นนั้นทำไมไม่เอามันมาเดิมพันเสียเลยเล่า?” ต้าจินหยายิ้มกว้างจนแสงสีทองสาดส่องออกมา “ส่วนข้ามีหญ้าวิญญาณธาตุไม้อายุหกร้อยปี…”

“เป็นหญ้าวิญญาณแบบไหน?” อู๋เจี้ยนยางเกิดสนใจ นั่นเพราะวิชาที่เขาฝึกฝนนั้นเป็นธาตุไม้

“ฮิฮิ… หญ้าแสงเขียว”

“หญ้าแสงเขียว…” อู๋เจี้ยนยางครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “ในเมื่อศิษย์น้องจินในดีขนาดนี้ ข้าแซ่อู๋จะปฏิเสธได้อย่างไร”

“ศิษย์พี่ช่างตรงไปตรงมานัก” ต้าจินหยาโบกมือพลางเรียกชายหนุ่มสามคนที่อยู่ด้านหลัง “หลิวหยาง เจ้าเข้าไปลองก่อน”

หนึ่งในสามชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งยโส เขาสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา พอเทียบกับพวกหวังฝูทั้งสามที่ใส่ผ้าฝ้ายหยาบแล้ว มีหรือจะไม่ให้แสดงความภาคภูมิ

แสงสว่างปรากฏบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณ ประกอบด้วยสามสีคือแดง เหลืองและเขียว

“อื้ม ไม่เลว รากฐานวิญญาณขั้นกลางสามอันธาตุไฟ ดินและไม้” ต้าจินหยาเอ่ยคำอย่างมั่นใจ “ฮ่าฮ่า… ศิษย์พี่อู๋ ขอบคุณที่ให้นำก่อน”

สีหน้าของอู๋เจี้ยนยางยังคงไม่แปรเปลี่ยนจนยากจะบอกได้ว่ายินดีหรือยินร้าย แต่หวังฝูสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยความอาฆาตที่มีต่อเขา

“เฮ้อ ช่างเป็นหายนะที่ไร้เหตุผลสิ้นดี” เขารู้สึกขมขื่น

“เฉาเจียง จางเซิน พวกเจ้าสองคนก็ไปด้วย” ต้าจินหยาโบกมือเพื่อบอกให้ชายหนุ่มรูปงามอีกสองคนที่อยู่ข้างกายรับการทดสอบเช่นกัน “ศิษย์พี่อู๋ ข้าจะให้สองคนนี้ทำการทดสอบก่อน คงไม่ถือสาหรอกใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นการเดิมพัน พวกเราต้องรอดูผลลัพธ์สุดท้าย” ใบหน้าของอู๋เจี้ยนยางสงบนิ่ง

ผ่านไปสักพัก การทดสอบของทั้งสองสิ้นสุดลง แล้วลำแสงสามสายจึงปรากฏบนแผ่นหินทดสอบวิญญาณ

ทอง เหลือง เขียว

น้ำเงิน แดง เหลือง

เด็กชายทั้งสามที่ต้าจินหยาพามานั้นล้วนแต่มีรากฐานวิญญาณขั้นกลางสามอัน

“ช่างน่าผิดหวังนักที่ไม่มีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด” ต้าจินหยากางแขนขณะแสร้งทำเป็นเสียดาย แต่ทุกคนมองออกว่าเขากำลังภูมิใจอยู่ไม่น้อย

รากฐานวิญญาณขั้นกลางนับว่าดีกว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ค่อนข้างมาก อย่าว่าแต่สำนักอื่นเลย แม้กระทั่งในสำนักขนนกร่วงโรยก็มีผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่จะมีรากฐานวิญญาณขั้นสูงสุด

“พวกเจ้าสองคน เข้าไปทดสอบ” ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าอู๋เจี้ยนยางยินดีหรือยินร้าย

โจวเผิงชำเลืองมองหวังเฟิงผู้มีท่าทีขลาดกลัวยิ่งกว่าตัวเองก่อนจะถอนหายใจ สุดท้ายแล้วเขาต้องเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้ แต่กลับหลงลืมไปว่าเพิ่งขอให้หวังฝูช่วยพยุงเขาขึ้นมา

มืออ้วนกลมกดทับแผ่นหินเย็น ไม่ช้า แสงสว่างจึงปรากฏขึ้น

แสงสีทองและแสงสีน้ำเงินดูเปล่งประกายเป็นพิเศษ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด