ตอนที่ 6: สำนักขนนกร่วงโรย
ตอนที่ 6: สำนักขนนกร่วงโรย
กลุ่มหมอกสีดำปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือภูตผี ส่วนชายชรากับหุ่นเชิดก่อนหน้าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“คิคิคิคิ… ชายชราตัวเหม็นคนนี้ยังอยากให้ข้ากลายเป็นทาส แต่ท้ายที่สุดก็ต้องกลายเป็นอาหารของข้าอยู่ดี…”
เสียงคมปลาบดังขึ้นในรูปแบบที่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านที่มาพร้อมกับสายลมเย็นเยือกที่พัดเข้ามา
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดภูตผี ชายชราจากสำนักเพลิงคลั่งที่คลุกอยู่กับหุ่นเชิดทั้งวันดันกลายเป็นทาสให้กับสิ่งชั่วร้ายแบบนั้น ในท้ายที่สุดก็ต้องรับผลกรรมที่ทำลงไป” อวิ๋นหนิงซวงเย้ยหยัน
“ท่านเซียน นะ… นี่คือภูตผีเหรอ มะ… มันกำลังมา” โจวเผิงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“อาหารเลือดสดใหม่อะไรอย่างนี้ แถมอาหารยังอยู่ต่อหน้าข้าอีก กระดูกของชายชราคนนี้ช่างเคี้ยวยากเย็นเหลือเกิน คิคิ… แต่พลังวิญญาณช่างบริสุทธิ์นัก…” หุ่นเชิดภูตผีจับจ้องอวิ๋นหนิงซวง แล้วกลิ่นอายชั่วร้ายจึงรุนแรงมากขึ้นขณะกลายเป็นเงาภูตผีขนาดใหญ่สูงสามเมตรที่เปี่ยมด้วยอำนาจกดขี่ข่มเหงไม่น้อย
“ก็แค่ภูตผีที่เกิดใหม่” อวิ๋นหนิงซวงดีดนิ้วด้วยมืออีกข้าง แล้วไข่มุกสีดำจึงลอยออกมา เพียงพริบตาก็กลายเป็นกำแพงเพื่อปกป้องพื้นที่ภายในรัศมีสิบจั้ง
ฝ่ามือชั่วร้ายของหุ่นเชิดภูตผีฟาดเข้าที่กำแพงจนเกิดระลอกคลื่น กระนั้นกลับไม่สามารถทะลวงได้ ทำให้โจวเผิงและหวังเฟิงตกใจไม่น้อย
“ท่านเซียน ทีนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
อวิ๋นหนิงซวงไม่ตอบกลับ นางเพียงสะบัดมือก่อนยันต์สีทองจะค่อยปรากฏ แม้ไม่มีอักขระพิเศษปรากฏบนยันต์ดังกล่าว แต่กลับถูกแทนที่โดยกระบี่ทองเล่มเล็กธรรมดาทั่วไป
ยันต์ลอยอยู่ตรงหน้า นางใช้มือข้างหนึ่งเพื่อคลายพิษเพลิงให้หวังฝู ส่วนมืออีกข้างทำการร่ายผนึกเพื่อเปิดใช้งานยันต์ แล้วพลังวิญญาณจึงถูกถ่ายทอดเข้าไปในยันต์อย่างคลุ้มคลั่ง ซึ่งสองสิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาพร้อมกัน
ส่วนนอกกำแพง หุ่นเชิดภูตผียังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนรอยร้าวบนกำแพงยิ่งมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าหุ่นเชิดภูตผีกำลังจะทะลวงเข้ามาได้ในไม่ช้า
โชคดีที่แสงของกระบี่เล็กบนยันต์สีทองยิ่งมายิ่งเข้มข้น วินาทีต่อมา กระบี่ยีทองขนาดสามฉื่อจึงทะลวงผ่านอากาศ
“ข้าเสียพลังของยันต์ล้ำค่าไปใบหนึ่งแล้ว…”
อวิ๋นหนิงซวงประสานนิ้วเข้าด้วยกันจนกลายเป็นกระบี่ขณะชี้ไปที่อากาศธาตุ ทันทีที่กำแพงหายไป กระบี่สีทองจึงทะลวงหมู่เมฆ เพียงพริบตา มันกลายเป็นกระบี่ยักษ์ยาวสามเมตร แล้วหุ่นเชิดภูตผีจึงหายไปภายใต้ปราณกระบี่ทรงพลังในพริบตา
กระบี่สีทองยาวสามเมตรยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าขณะพุ่งตรงสู่ท้องนภา
ปัง!
เสียงแก้วแตกดังขึ้น แล้วโล่แสงประหนึ่งชามขนาดใหญ่จึงแตกสลาย ธงค่ายกลกักศัตรูที่ทั้งสี่คนจากสำนักเพลิงคลั่งเช่ามาด้วยราคาสูงลิบก็ถูกฉีกกระชากโดยกระบี่สีทองในทันที
ธงเล็กสี่ผืนปรากฏขึ้นจากห้วงอากาศในสภาพฉีกขาดและสูญเสียพลังวิญญาณ
เรือลอยขึ้นขณะมุ่งตรงสู่ท้องนภาอีกครั้ง
…
ผ่านไปพักใหญ่ ภูเขาข้างหน้าพลันสูงขึ้นขณะความเร็วของเรือก็ช้าลง
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือทิวเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาขณะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ มีเพียงทัศนียภาพภายในทิวเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง รวมถึงศาลา หอคอย นก สัตว์ร้ายและแม่น้ำลำธาร
“ท่านเซียน ถึงแล้วหรือ?” โจวเผิงขยี้ตาที่ง่วงงุน หลังจากเขาหายตกตะลึงเมื่อครู่ก็ผล็อยหลับมาตลอดทาง
“ถึงแล้ว ที่นี่ถูกเรียกว่าเทือกเขาขนนกร่วงโรย ซึ่งสำนักขนนกร่วงโรยตั้งอยู่ที่นั่น” หญิงสาวในชุดขาวร่ายวิชา แล้วม่านหมอกตรงหน้าจึงหายไปทันทีขณะเกิดเป็นเส้นทางที่เพียงมากพอให้เรือลำหนึ่งเคลื่อนผ่านไปเท่านั้น
ทันทีที่เรือเข้ามา หมอกที่อยู่ด้านหลังจึงเข้ามาปกคลุมเพื่อบดบังทัศนวิสัยในบัดดล
“ทันทีที่เข้าสู่สำนัก อย่าเรียกข้าว่า ‘ท่านเซียน’ เป็นอันขาด ข้ามีชื่อว่าอวิ๋นหนิงซวง ดังนั้นนับจากนี้พวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงอวิ๋น”
“แต่นั่นคือสิ่งที่ทุกคนในหมู่บ้านพวกข้าเรียกขานกัน” หวังเฟิงเอียงศีรษะ
อวิ๋นหนิงซวงส่ายหน้า “คนธรรมดาพูดยังไงนั้นไม่สำคัญ แต่ทันทีที่พวกเจ้าเข้าสู่ประตูเซียนแล้วก็จะทำแบบนั้นไม่ได้อีก มีเพียงผู้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นอมตะเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกว่า ‘เซียน’ ได้ ส่วนพวกเราเพียงถูกเรียกว่าผู้ฝึกตนที่แสวงหาความเป็นเซียน”
พวกเขาสามคนคล้ายกับเข้าใจ
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเรือจึงเคลื่อนผ่านหมอกหนา แล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของผู้คนทั้งหลายคือทิวทัศน์ประหนึ่งสรวงสวรรค์ พร้อมด้วยภูเขาสวยน้ำใส นกน้อยขับขาน บุปผาบานสะพรั่ง น้ำตาลอยฟ้าและหมู่เมฆหลากสีสัน หรือว่านี่จะเป็นแดนเซียน
ยอดเขาสูงตระหง่านปรากฏแก่สายตาพร้อมกับยอดเขาหลายขั้นที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก หากมองไปทางหนึ่งก็จะเห็นถนนคดเคี้ยวที่นำไปสู่หมู่เมฆ ภูเขาเหล่านั้นมืดมิดประหนึ่งเหล็กกล้า มันทั้งอึมครึมและสง่างาม ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ตกดิน ดวงตะวันสีแดงจึงปกคลุมใบหน้าราวกับภาพวาด
สิ่งปลูกสร้างโบราณถูกแกะสลักอยู่บนภูเขาขณะล้อมรอบด้วยลำธารกับฝูงนกบินและสัตว์น้อยใหญ่ เมื่อมองขึ้นไปบนยอดเขาก็คล้ายกับมีตำหนักสีดำตั้งตระหง่านท่ามกลางเมฆหมอกที่บดบังจนมองไม่เห็น มันทั้งกว้างใหญ่และสง่างามประหนึ่งสัตว์ร้ายโบราณขนาดยักษ์ที่เกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายทรงอำนาจ
ท่ามกลางหมู่เมฆปกคลุมขุนเขามีโซ่หนาพาดผ่านมาจากทุกทิศทางขณะทอดยาวไปจนถึงเงาสีดำขนาดใหญ่ของภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ภูเขาที่สูงตระหง่านและงดงามเช่นนี้มีอยู่จริงงั้นหรือ?
นี่คือสำนักขนนกร่วงโรย แม้จะมีเพียงยอดเขาแห่งเดียว แต่ยังคงสามารถเรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ มันคือหนึ่งในหกสำนักใหญ่ของผู้ฝึกตนเป็นเซียนแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยที่ทรงพลัง แม้จะไม่เรียกว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็นับว่าเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกตนเป็นเซียนที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนต่างกระตือรือร้นที่จะเข้ามา
หลังจากผู้คนทั้งหลายลงมาแล้ว อวิ๋นหนิงซวงจึงจับมือของหวังฝูด้วยมือข้างหนึ่งขณะมืออีกข้างทำการสะบัดเล็กน้อย แล้วเรือจึงหดกลับเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กที่ห้อยอยู่ตรงเอวอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ พิษเพลิงในร่างของเจ้าถูกขับออกเกือบหมดแล้ว”
อวิ๋นหนิงซวงปล่อยมือของหวังฝู
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงอวิ๋น…” หวังฝูยังคงไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือ เขาไม่เคยสัมผัสมือของสตรีผู้อื่นนอกจากผู้เป็นแม่มาก่อน นับประสาอะไรกับสตรีผู้เหมือนกับเซียน
ในตอนนี้ ร่างทั้งสามลอยลงมาจากยอดเขา
“ฮ่าฮ่า... ในที่สุดศิษย์น้องหญิงอวิ๋นก็กลับมาหลังจากออกเดินทางไปแรมปี เป็นไง? การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?”
เมื่อเสียงดังกล่าวดังขึ้น หวังฝูจึงรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นชาที่กวาดมองมาทางเขา
คนผู้นี้คือชายหนุ่มในชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงิน สิ่งที่อยู่ใต้เท้าเขาคือใบไม้สีทองขนาดใหญ่ หลังจากเคลื่อนลงมาแล้ว ใบไม้สีทองจึงหดลงในพริบตาก่อนจะกลับเข้าไปในถุงผ้าไหมที่ถูกไว้ตรงเอวทันที “มันก็แค่การเดินทางไปหมู่บ้านขนาดเล็กบนเขา เรื่องเล็กน้อยแค่นั้น ใยต้องให้ศิษย์พี่หญิงอวิ๋นไปที่นั่นด้วยตัวเองเล่า ให้คนอื่นจัดการก็ได้นี่”
“ขอบคุณศิษย์น้องจ้าวที่เป็นกังวล อาจารย์อาจูกับท่านอาจารย์ก็อายุมากแล้ว ท่านอาจารย์จึงขอให้ข้าเป็นผู้จัดการเรื่องนี้” อวิ๋นหนิงซวงพยักหน้าอย่างสงบ น้ำเสียงของนางเย็นชาประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ทำเอาพวกหวังฝูทั้งสามประหลาดใจเล็กน้อย
“เป็นอาจารย์อาเฮ่อนี่เองที่ออกคำสั่ง” ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวแย้มยิ้มขณะสายตาไม่ละไปจากเรือนร่างของอวิ๋นหนิงซวง
ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวอยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่กลับถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงกลางขัดเอาไว้ “จริงสิ ข้าสังเกตเห็นว่าลมหายใจของศิษย์น้องหญิงอวิ๋นค่อนข้างปั่นป่วน ระหว่างทางมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ชายคนนี้ไว้เคราแล้วยืนเอามือไพล่หลัง หากเทียบกับชายหนุ่มในชุดคลุมยาวแล้ว เขาดูมีกลิ่นอายเหมือนกับเซียนมากกว่า
“อื้ม ข้าเจอตัวเรือดสองสามตัวระหว่างทาง แต่จัดการพวกมันไปแล้ว” อวิ๋นหนิงซวงพยักหน้า
“ตัวเรือดหรือ?”
“ตัวเรือดจากสำนักเพลิงคลั่งน่ะ” อวิ๋นหนิงซวงไม่อยากพูดให้มากความอีก ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยคำอะไรต่อในจุดนี้
“สำนักเพลิงคลั่ง? เรื่องบังเอิญหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นหนิงซวงไม่อยากลงรายละเอียด ชายวัยกลางคนจึงคล้ายกับเกิดความคิดบางอย่างก่อนจะหยุดการซักไซ้ จากนั้นจึงหันไปมองพวกหวังฝูทั้งสาม
“สามคนนี้คือเด็กหนุ่มที่มีรากฐานวิญญาณจากหมู่บ้านอู๋ถงใช่หรือไม่?”
อวิ๋นหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของนางยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง “อื้ม ท่านอาจารย์บอกให้ข้าพาใครก็ตามที่มีรากฐานวิญญาณกลับมา ดังนั้นจึงไม่ได้มีการทดสอบโดยเฉพาะว่ารากฐานวิญญาณเป็นแบบไหน เรื่องที่เหลือต้องรบกวนศิษย์พี่อู๋แล้ว ปฏิบัติตามกฎให้เรียบร้อยแล้วรายงานให้ท่านอาจารย์ทราบหลังจากเสร็จแล้วด้วย”
“รายงานอาจารย์อาเฮ่อโดยตรงหรือ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นกำลังจะเก็บตัวเพื่อเตรียมสร้างรากฐานงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นอวิ๋นหนิงซวงพยักหน้า ชายวัยกลางคนจึงตกตะลึง หญิงสาวผู้นี้เพิ่งอยู่สำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่นางกำลังจะสร้างรากฐานแล้ว นับว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงจนผู้อาวุโสขอบเขตปราณทองรับไว้เป็นศิษย์เอกทันทีที่เข้าสำนักมา พรสวรรค์ของนางนับว่าน่าพรั่นพรึงไม่น้อย
“ศิษย์น้องหญิงกำลังจะทะลวงรากฐานแล้วหรือ? ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้ามียาสร้างรากฐานเพียงพอหรือไม่ ข้ายังมียาสร้างรากฐานอีกสองเม็ดที่ท่านอาจารย์ให้มา” ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวแสดงท่าทีเอาใจใส่
หวังฝูผู้กำลังสังเกตคำพูดกับสีหน้าของทุกคนค้นพบนานแล้วว่าผู้ชายคนนี้สนอกสนใจในตัวศิษย์พี่หญิงอวิ๋น แม้ดอกไม้ที่ร่วงหล่นเป็นความตั้งใจ แต่น้ำที่ไหลมานั้นไซร้ไร้ความปรานี [1] เขายังเข้าใจอีกว่าเหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงแสดงความมุ่งร้ายต่อเขาตั้งแต่พบกันครั้งแรก นั่นคงเป็นเพราะไปเห็นศิษย์พี่หญิงอวิ๋นจับมือกับเขาในตอนนั้น
แต่เขาเพิ่งอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
อวิ๋นหนิงซวงไม่แม้แต่เหลียวแลอีกฝ่ายก่อนจะหันมามองพวกหวังฝูทั้งสามแล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าสามคนต้องรับการทดสอบจากสำนักต่อ จากนั้นศิษย์พี่อู๋จะจัดการเรื่องการฝึกฝนให้พวกเจ้าทีหลัง”
“พวกข้าเข้าใจ ขอบคุณศิษย์พี่หญิงอวิ๋น”
“ลาก่อนศิษย์พี่หญิงอวิ๋น”
พวกหวังฝูทั้งสามต่างพยักหน้าตอบรับ อวิ๋นหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะทะยานขึ้นไปอยู่บนเรือที่อัญเชิญออกมา เพียงพริบตาก็หายไปโดยเหลือไว้เพียงกลิ่นหอมรอบข้างเท่านั้น
[1]: รักเขาเพียงข้างเดียว แม้ทำทุกอย่างแต่ยังไม่เคยถูกเหลียวแลหรือไม่เห็นคุณค่า