ตอนที่ 5: ถูกโจมตี
ตอนที่ 5: ถูกโจมตี
พวกเขาสี่คนเปิดฉากโจมตีทันที
หญิงสาวเย้ายวนทำการร่ายวิชาด้วยมือ แล้วหนามเพลิงจึงมีความยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายฉื่อ
“หนามเพลิงคลั่ง… เล่นมันเลย!”
หนามยาวกลายเป็นลำแสงในพริบตาขณะลากหางเปลวเพลิงเข้าโจมตีอวิ๋นหนิงซวง
ในเวลาเดียวกัน อีกสามคนต่างใช้วิชาของตัวเอง
ชายวัยกลางคนผู้ถือพัดพับโบกสะบัดมาทางอวิ๋นหนิงซวงผ่านอากาศธาตุจนเกิดลมกระโชกแรง
ชายชราหลังค่อมตบสัมภาระตรงหน้า ซึ่งภายในนั้นมีหุ่นเชิดไม้ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง หุ่นเชิดจึงทะยานขึ้นสู่ท้องนภาแล้วกระโจนเข้าใส่พร้อมเขี้ยวเล็บ มันถึงกับเป็นวิชาหุ่นเชิด
ชายร่างกำยำถือดาบใหญ่ในมือขณะพลังวิญญาณพลุ่งพล่าน แล้วเปลิวเพลิงจึงเข้าปกคลุมก่อนปราณดาบเพลิงจะระเบิดออกมา
อวิ๋นหนิงซวงยังมีท่าทีปกติ นางเพียงแตะเท้าอย่างนุ่มนวลก็ออกมาจากเรือ ร่างสีขาวประหนึ่งกระต่ายวิญญาณปราดเปรียวขณะหลบการโจมตีจากหนามเพลิงคลั่งไปด้านข้าง จากนั้นจึงส่งปราณกระบี่แหลมคมไปทางหญิงสาวเย้ายวนเพื่อกดดันให้ทำการปัดป้องจนต้องทำการยกเลิกหนามเพลิงคลั่งชั่วคราว
ทันทีที่ปราณดาบเพลิงพุ่งเข้ามา แล้วกระบี่ยาวสีขาวราวหิมะจึงลอยออกจากมือของนางก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาวแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าชายร่างกำยำ แม้อีกฝ่ายจะถอยครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงขั้นยกดาบปัดป้อง แต่กระบี่กลับรวดเร็วเกินไปจนแทงเข้าที่หน้าอก ทำให้ปราณกระบี่คมปลาบแผ่ซ่านไปทั่วแขนขาและกระดูกของชายผู้นั้นจนเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส
“อาวุธวิเศษขั้นสูงสุด!”
เสียงร้องด้วยความประหลาดใจหลุดออกมาจากปากของชายร่างกำยำราวกับต้องการเตือนสติพวกพ้อง แต่ชายวัยกลางคนผู้ถือพัดพับเพิ่งได้ยินในจังหวะที่ร่างสีขาวฉีกผ่านสายลมร้อน แล้วมือเย็นเยียบจึงกดเข้ามาที่ลำคอ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนรีบถอยเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีถึงตาย ในเวลาเดียวกันก็ฟาดฟันดาบยาวในมือออกไปประหนึ่งใช้กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว [1]
เท้าของอวิ๋นหนิงซวงขยับอย่างรวดเร็วขณะทำการย่างก้าวอย่างแปลกประหลาด เพียงพริบตานางจึงพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฟาดดาบยาวด้วยมือข้างหนึ่งจนเกิดเสียงอื้ออึง จากนั้นจึงถอยหลังแล้วใช้มืออีกข้างคว้าไหล่ของชายวัยกลางคนเอาไว้
“เหอะ… จับเจ้าได้แล้ว”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนมีท่าทีหวาดกลัว
กร็อบ!
“อ๊าก…”
เสียงกระดูกหักผสมกับเสียงกรีดร้องของชายร่างกำยำสะท้อนไปทั่วท้องนภา
“ช่วยข้าด้วย!”
แกร้กแกร้กแกร้ก!
ในที่สุดหุ่นเชิดก็มาถึง…
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนรู้สึกมีหวังขึ้น แต่วินาทีต่อมา อวิ๋นหนิงซวงทำการร่ายวิชาด้วยหลังมืออย่างเด็ดขาด
มือยักษ์สีทองข้างหนึ่งที่มิอาจทำลายได้ปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบ แล้วหุ่นเชิดที่เผยเขี้ยวเล็บออกมาจึงถูกตบลงกับพื้นจนกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที พลังวิญญาณของมันสูญสิ้นจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
ชายชราหลังค่อมผู้อยู่ไม่ไกลกระอักโลหิตออกมาด้วยความเคียดแค้น
ถึงอย่างไรมันไม่ใช่วิชาหุ่นเชิดดั้งเดิม!
“ไม่…”
ศีรษะหนึ่งลอยขึ้นไปในท้องนภา!
ลูกตาของสามคนที่เหลือหดลงอย่างมาก พวกเขาไม่คาดคิดว่าอวิ๋นหนิงซวงจะร้ายกาจขนาดนี้
“ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ นางไม่ได้อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสองแล้ว” หญิงสาวเย้ายวนมองร่างของสหายที่แยกออกจากกันแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าโศก
พวกเขาสี่คนรับภารกิจมาจากสำนัก ตอนแรกคิดว่าพวกเขาสี่คนที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับสิบสองจะสามารถจัดการอวิ๋นหนิงซวงผู้อยู่ระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย เพื่อเป็นการป้องกันอวิ๋นหนิงซวงหลบหนี พวกเขาถึงขั้นใช้เงินจำนวนมากเพื่อเช่าธงค่ายกลกักศัตรู
“ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องเอาตัวนางไปให้ได้ หากปล่อยให้สร้างรากฐานขึ้นมาก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีก การกำจัดนางก็จะยิ่งยากขึ้นจนพวกเราตกเป็นเหยื่อเสียเอง”
หญิงสาวเย้ายวนรีบถ่ายทอดคำสั่ง แม้นางจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่คน แต่อีกสามคนพร้อมรับฟังการตัดสินใจของนาง “กุ่ยเหล่าโถว เชาฮั่นจือ รีบแสดงวิชาดีที่สุดออกมา ไม่งั้นพวกเราสามคนได้มีจุดจบเหมือนกับจื่อชูเชิงแน่”
“เยี่ยนจี ข้ามีวิธีอยู่ แต่ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวสักพัก พวกเจ้าสองคนต้องปกป้องข้า” ชายชราหลังค่อมเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก พวกเขาไม่อวดดีเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“กุ่ยเหล่าโถว หากเจ้ามีวิชาอะไรก็รีบงัดออกมา ถ้าทำสำเร็จ ข้าจะยอมหลับนอนกับเจ้าอีกก็ได้!” ดวงตาของหญิงสาวเย้ายวนทอประกาย นางทราบดีว่าแม้กุ่ยเหล่าโถวจะอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณ แต่ก็มีการฝึกฝนมาหลายสิบปีจนครอบครองวิชาลับบางอย่าง
“คิคิ… เช่นนั้นเจ้าตั้งตาดูได้เลย”
ชายชราหลังค่อมโยนกระเป๋าในมือทิ้งขณะวางไม้ค้าไว้ตรงหน้าพร้อมกับขยับมือเพื่อสร้างผนึก แล้วพลังวิญญาณมืดมิดจึงพลุ่งพล่านออกมาจากแขนขาของเขาขณะทะลวงเข้าสู่แผ่นหลังประหนึ่งงูดุร้าย
หลังค่อมของเขาค่อยขยายใหญ่ขึ้นประหนึ่งบางสิ่งกำลังจะทะลุออกจากผิวหนัง แล้วกลิ่นอายชั่วร้ายจังปกคลุมอากาศธาตุ
“ช่างเป็นวิชาที่ชั่วร้ายนัก!” อวิ๋นหนิงซวงสะบัดมือ แล้วกระบี่ยาวจึงบินกลับมาอยู่ในมือก่อนจะขยับร่างพุ่งเข้าหาชายชราหลังค่อม นางสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านหลังชายชราหลังค่อม
ดาบใหญ่เคลื่อนลงมาจากท้องนภาเพื่อขวางทางอวิ๋นหนิงซวงเอาไว้ ชายร่างกำยำผู้เสียแขนไปแล้วกำลังพึมพำบางอย่าง แล้วเปลวเพลิงบนดาบใหญ่ที่เป็นอาวุธวิเศษยิ่งดุร้ายประหนึ่งโลหิต
“ตาย!”
กระบี่ยาวซึ่งเป็นอาวุธวิเศษขั้นสูงสุดฉีกผ่านเปลวเพลิง แล้วอวิ๋นหนิงซวงจึงเคลื่อนผ่านไปพร้อมกดฝ่ามือซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองลงบนศีรษะของชายร่างกำยำ แล้วผู้ชายคนนั้นก็เริ่มหลั่งโลหิตออกจากรูทวารทั้งเจ็ดทันที
“อวิ๋นหนิงซวง หยุดเดี๋ยวนี้… ไม่งั้นข้าจะฆ่าผีน้อยทั้งสามนี้”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบถึงหญิงสาวเย้ายวนอ้อมมาที่เรือเพื่อจับพวกหวังฝูทั้งสามมาเป็นตัวประกันโดยไม่คำนึงถึงสถานะของพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนเป็นเซียน
งูเพลิงวิญญาณสามตัวถูกแขวนอยู่ตรงหน้าทั้งสาม หวังฝูรู้สึกไม่สบายใจยิ่งจากการถูกแผดเผาทั่วร่างขณะสาปแช่งนางมารที่อยู่ข้างกาย ส่วนหวังเฟิงมุดหัวอยู่ในเรือขณะสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้พร้อมกับพึมพำไปมา “ข้าอยากกลับบ้าน ข้าอยากกลับบ้าน…”
โจวเผิงไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากัน ร่างจ้ำม่ำของเขากำลังสั่นอย่างต่อเนื่องก่อนจะล้มลงตรงขอบเรือ แล้วกลิ่นเหม็นบางอย่างได้ลอยออกมาจากกางเกง
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมจำนนเพียงเพราะจับเด็กมนุษย์สามคนเป็นตัวประกันงั้นหรือ? เหลวไหล” อวิ๋นหนิงซวงคลายมือออก แล้วชายร่างกำยำจึงกระแทกกับพื้นด้วยสภาพการตายที่น่าอเนจอนาถ
นางปัดมือสีขาวราวกับหยกที่สูญเสียแสงสีทองไปแล้วขณะจับจ้องหญิงสาวเย้ายวน
“หากเจ้ายอมจำนนจริง ข้าจะยอมปล่อยผีน้อยสามคนนี้ไป หาไม่แล้วผีน้อยสามคนนี้จะต้องตายต่อหน้าข้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นหัวใจเต๋าที่สมบูรณ์แบบของเจ้าจะต้องมีมลทินอย่างเลี่ยงไม่ได้” หญิงสาวเย้ายวนตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “เจ้ากล้าเดิมพันหรือไม่?”
“ข้าไม่เคยเดิมพัน…” อวิ๋นหนิงซวงส่ายหน้าขณะสะบัดมือ แล้วกระบี่ยาวซึ่งเป็นอาวุธวิเศษขั้นสูงสุดจึงปักลงกับพื้น
ใบหน้าของหญิงสาวเย้ายวนเผยความยินดีออกมา
“สมกับเป็นเซียนอวิ๋นหนิงซวง…”
แต่นางไม่ได้สังเกตเลยว่าภายในเรือลำนั้นมีเข็มเงินขนาดสามฉื่อที่ดูไม่สะดุดตาขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงลอยขึ้นแล้วสั่นไหวไปมา
หวังฝูบังเอิญเห็นเข็มเงินเข้าพอดี เขาเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเซียนมามากจนพอเดาได้ว่ามันมีความข้องเกี่ยวกับเซียนงดงามผู้นั้น
“นี่ ปล่อยข้านะยัยผู้หญิงตัวเหม็น…” หวังฝูตะโกนใส่หญิงสาวเย้ายวน
“เจ้าผีน้อย เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ…” สีหน้าของหญิงสาวเย้ายวนพลันเย็นชาขึ้นมา
“ยัยผู้หญิงตัวเหม็น ข้าบอกว่าเจ้าขี้เหร่ ขี้เหร่และตัวเหม็น เหมือนแมลงเน่าในห้องน้ำข้าเลย” คำพูดของหวังฝูสร้างความตกตะลึงจนแม้แต่หวังเฟิงกับโจวเผิงยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น
“พี่น้องของข้า… แบบนี้มันเหมือนเล่นโคมไฟในห้องน้ำเลย เจ้าคิดว่ายังตายเร็วไม่พออีกหรือ…”
“เจ้าผีน้อยสารเลว!” หญิงสาวเย้ายวนเดือดดาลยิ่ง “ข้าฆ่าเจ้าก่อนแล้วกัน!”
นางสะบัดมือ แล้วงูเพลิงสีแดงจึงแผดเผาไปทางหวังฝู
ฟิ่ว!
เข็มเงินขนาดสามฉื่อในเรือลอยออกมาพร้อมกันขณะแทงเข้าที่หลังหัวของหญิงสาวเย้ายวนในพริบตา แล้วลูกตาของหญิงสาวเย้ายวนจึงหดลงก่อนพลังชีวิตเลือนหาย เมื่อเข็มเงินทะลวงออกจากหน้าผากแล้ว นางก็ไม่อาจพูดจาสั่งเสียก่อนตายได้สักคำ
“ฮ่า ที่เขียนไว้ในหนังสือเป็นความจริงด้วย วายร้ายตายเพราะพูดมากเกินไปจริงด้วย” หวังฝูงยังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในหนังสือที่โรงเรียน จากนั้นจึงรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่หน้าอก
“เจ็บเจ็บเจ็บ…”
“ท่านเซียนช่วยด้วย ท่านเซียนช่วยข้าด้วย!”
ทว่าหลังจากหญิงสาวเย้ายวนถึงแก่ความตายแล้ว งูเพลิงจึงปราศจากผู้ควบคุมอีกต่อไป แล้วงูเพลิงพิษจึงตกลงบนตัวหวังฝูก่อนจะแผดเผาทั่วเสื้อผ้าตรงหน้าอกของหวังฝู ลามไปถึงเลือดเนื้อประหนึ่งหนอนแมลงวันบนกระดูกข้อเท้า
งูเพลิงพิษจึงไหลหลั่งเข้าสู่ร่างของหวังฝูโดยไม่มีอุปสรรคอะไร
“ท่านเซียนช่วยด้วย…”
มือเย็นเยียบข้างหนึ่งสัมผัสที่แผ่นหลังของหวังฝู เป็นอวิ๋นหนิงซวงนั่นเอง “หยุดเห่าหอนเสียที ข้าได้ยินแล้ว”
ลมหายใจเย็นเยือกพุ่งเข้าสู่ร่างกายจากด้านหลัง แล้วหวังฝูจึงสัมผัสได้ว่าความรู้สึกแสบร้อนในหน้าอกดีขึ้นมาก แต่มันก็แค่นั้น ลมหายใจร้อนยังคงอยู่
“พิษเพลิงเข้าสู่ร่างกายแล้ว แถมเจ้ายังเป็นมนุษย์ การที่ยังมีชีวิตรอดมาได้นับว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว แต่อย่าเพิ่งขยับ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินกว่าที่จะทานทนพลังวิญญาณจำนวนมากได้ หนทางเดียวที่จะคลายพิษเพลิงได้คือการขับมันออกมาทีละน้อยเท่านั้น” อวิ๋นหนิงซวงรู้สึกจนใจ แต่นางก็ประทับใจในตัวของเด็กชายนามหวังฝูผู้นี้ นอกจากไม่กลัวจนฉี่ราดกางเกงยามตกเป็นตัวประกันของแมลงเน่าจากสำนักเพลิงคลั่งแล้ว ยังหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะหวังฝูต่อว่าอีกฝ่าย นางคงไม่สามารถนำอาวุธวิเศษที่ซ่อนอยู่ในเรือออกมาได้อย่างง่ายดายปานนี้
อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดสิ่งที่อยู่ด้านหลังชายชราหลังค่อมจึงทะลุออกมา
[1]: เป็นกลยุทธ์ที่ศัตรูรวบรวมกำลังไว้เป็นจุดศูนย์กลางของกองทัพ ทำให้มีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น