ตอนที่ 4: จากบ้าน
ตอนที่ 4: จากบ้าน
อีกด้านหนึ่ง เซียนในชุดขาวทำการเก็บโต๊ะและหิน แล้วหันศีรษะมามองพวกหวังฝูทั้งสามคน
น้ำเสียงราบเรียบของนางดังขึ้น “พวกเจ้าสามคนกลับไปกล่าวลาเครือญาติให้เรียบร้อย กลับมาพบกันที่นี่ในอีกครึ่งชั่วโมงแล้วตามข้าไปสำนักขนนกร่วงโรย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกหวังฝูทั้งสามรีบพาครอบครัวของตนเองกลับบ้าน เวลาเหลือเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น นับว่าค่อนข้างกระชั้นนัก
เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ของพวกเขาจึงสอบถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง
“เป็นไงบ้าง? มีเซียนจริงหรือเปล่า?”
“มีอยู่แล้ว ฝูเอ๋อร์ของพวกเราได้รับเลือกด้วย อีกเดี๋ยวต้องไปสำนักเซียนที่ชื่อว่าสำนักขนนกร่วงโรยเพื่อรับการฝึกฝน” หวังหงผู้เป็นพ่อแบ่งปันความยินดีนี้ให้กับภรรยา
“สำนักขนนกร่วงโรย? ฝึกฝน? อีกเดี๋ยวหรือ?” ผู้เป็นแม่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“ไอ้หยา รีบไปช่วยฝูเอ๋อร์เก็บของเสียสิ ท่านเซียนยังรออยู่ เดี๋ยวข้าค่อยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทีหลัง” ผู้เป็นพ่อเร่งเร้าผู้เป็นแม่
หวังฝูคว้าตัวผู้เป็นแม่ไว้ “ท่านแม่ ข้าได้รับเลือกจากเซียน นับจากนี้ข้าจะไปประตูเซียนเพื่อทำการฝึกฝนและกลายเป็นเซียนมาสังหารภูตผีปิศาจฟันปีศาจ”
“เช่นนั้น อีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมาหรือ?” ดวงตาของผู้เป็นแม่แดงก่ำประหนึ่งฝุ่นเข้าตา นางเข้าใจดีว่าลูกชายกำลังจะจากบ้าน
“น่าจะใช้เวลาไม่นาน ทันทีที่ฝึกฝนเสร็จแล้ว ข้าจะเหาะเหินกลับมาจากท้องฟ้าเพื่อพาท่านแม่ทะยานสู่ผืนฟ้าเช่นกัน” หวังฝูตบอกเอ่ยคำราวกับกำลังให้คำมั่นสัญญา
“เช่นนั้นเวลาอยู่ข้างนอกก็อย่าลืมกินข้าว หากอากาศหนาวก็ใส่เสื้อผ้าให้หนา…”
“ท่านแม่ อย่าห่วงไปเลย ข้าโตแล้ว”
“อื้ม แม่ไม่ห่วงแล้ว… เดี๋ยวแม่ไปเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน…” ผู้เป็นแม่หันหน้าหนีขณะน้ำตาไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้ นางเช็ดหน้าแล้วเดินกลับเข้าบ้านเพื่อทำความสะอาด
ในตอนนี้ ผู้เป็นพ่อเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับถุงถั่วลิสงในมือ
“นี่คือถั่วลิสงทอดของบ้านเรา เอาติดตัวไปด้วย ฝูเอ๋อร์ เมื่อออกไปโลกภายนอกแล้วก็อย่าลืมรสชาติบ้านเกิดเชียวล่ะ…”
หวังฝูแบกสัมภาระที่พ่อแม่เตรียมเอาไว้ จากนั้นคุกเข่าลงสัมผัสศีรษะของหวังเหยาผู้เป็นน้องชายพร้อมกับบีบใบหน้าขนาดเล็กจ้ำม่ำ “น้องชาย เจ้าต้องเชื่อฟังพ่อแม่ยามอยู่บ้าน หากกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะพาเจ้าเหาะเหินเดินอากาศ…”
“พี่ชายต้องรีบกลับมานะ…” หวังเหยาพยักหน้าอย่างแรง
“อื้ม ข้าจะรีบกลับมา”
“ท่านพ่อ ท่านแม่… ข้าไปก่อนนะ”
“อื้ม หากเขียนจดหมายได้ อย่าลืมส่งข่าวให้ทางบ้านทราบด้วยว่าเจ้าปลอดภัยดี” ผู้เป็นพ่อตบบ่าของหวังฝู
หวังฝูพยักหน้าก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
ผ่านไปสักพัก ทั้งสามจึงมาพบกันอีกครั้งที่ใต้ต้นอู๋ถง
ส่วนเซียนเคลื่อนลงมาจากท้องนภาเช่นกัน นางสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวราวหิมะ ไร้ซึ่งฝุ่นธุลี
“บอกครอบครัวแล้วใช่หรือไม่? พวกเจ้าจะไม่ได้กลับมาอีกพักใหญ่”
พวกหวังฝูทั้งสามพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ออกเดินทางได้”
หญิงสาวในชุดขาวสะบัดมือ แล้วหวังฝูจึงสัมผัสได้ว่าร่างกายเบาขึ้น แล้วความรู้สึกไร้น้ำหนักอันแรงกล้าทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบกับท้องนภาสีครามกับหมู่เมฆสีขาวไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาอยู่บนเรือที่มีความยาวเกือบสิบจั้ง ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังขอบฟ้าไร้ที่สิ้นสุดซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไม่มีเสียงสายลมพัดบนเรือราวกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยปกป้องพวกเขาเอาไว้ แต่สายตาของหวังฝูกลับไม่ถูกขวางกั้นขณะกวาดมองลงไป
หมู่บ้านอู๋ทงยิ่งมายิ่งเล็ก หวังฝูสามารถมองเห็นบ้านของตัวเองได้อย่างเลือนราง รวมถึงพ่อแม่และน้องชายที่แหงนหน้ามองท้องนภา
“ท่านพ่อ ท่านแม่… เดี๋ยวข้ากลับมา”
หวังฝูพลันรู้สึกเศร้าโศก แล้วความปรารถนาที่จะกลับคืนสู่บ้านก็ปะทุขึ้นในใจ
แต่เขาไม่ทราบเลยว่าครั้งนี้จะเป็นการจากลาตลอดกาล…
…
ผ่านไปพักใหญ่ หวังฝูจึงรู้สึกหิวขึ้นมา เขาสัมผัสถั่วลิสงทอดในถุงขณะมองดูเซียนผู้ยืนอยู่หน้าเรืออย่างระแวดระวัง แล้วในที่สุดจึงหักห้ามใจที่จะหยิบมันออกมา
เรือลดความเร็วลง
“ถึงแล้วหรือ ท่านเซียน?” หวังฝูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขณะพิงเชือกเรือขณะกวาดสายตามองรอบข้าง สิ่งที่สะดุดตาคงไม่พ้นภูเขาไร้ที่สิ้นสุดที่ทอดยาวออกไปไกลและปราศจากร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์
แต่ก่อนหวังฝูจะได้รับคำตอบจากเซียน เรือจึงเริ่มสั่นไหว
วิ้ง!
โดยไม่มีการกล่าวเตือน เสียงวิ้งจึงดังขึ้นในท้องนภาเหนือภูเขากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แล้วโล่แสงสีแดงประหนึ่งชามคว่ำขนาดใหญ่จึงปกคลุมพื้นที่สามสิบจั้งในพริบตา จากนั้นเรือจึงหยุดนิ่งในอากาศก่อนจะลดระดับความสูงภายใต้แรงกดดันของโล่แสงดังกล่าวก่อนจะจอดบนเนินเขาไร้นามในทันที
“นะ นะ นี่มันอะไรกัน…” เด็กทั้งสามหวาดกลัวจนพูดจาติดอ่างขณะจับเชือกเรือไว้มั่นจนนิ้วเป็นสีขาว พวกเขาเคยเห็นฉากประหนึ่งวันสิ้นโลกเสียที่ไหน? ถึงอย่างไรพวกเขาเป็นเพียงเด็กที่อาศัยในหมู่บ้านบนเขาที่สงบสุข ซึ่งแรงกดดันมหาศาลนั่นทำให้หัวใจเต้นรัว
มันยากที่จะบรรยายออกมาได้
“ลงมาได้แล้ว” หญิงสาวในชุดขาวเอ่ยคำอย่างเย็นชา แล้วพวกหวังฝูทั้งสามจึงรีบหดร่างลงด้วยหวังว่าจะติดอยู่ที่ก้นเรือนี้ได้
โชคดีที่มีเซียนผู้หนึ่งมาอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลมพวกเขาผู้เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัว
หญิงสาวในชุดขาวไม่สนใจพวกเขาทั้งสามอีกต่อไป นางขมวดคิ้วขณะยืนอยู่หน้าเรือในสภาพเสื้อผ้าปลิวไสว จากนั้นจึงตะโกนออกมาอย่างเย็นชา
“ตัวตลกพวกนี้มาจากไหน ทำไมยังไม่ปรากฏตัวอีก!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า... อวิ๋นหนิงซวง เจ้านึกไม่ถึงล่ะสิท่า พวกข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดออกมาพร้อมกับพัดพับ
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!...
หลังจากนั้น อีกสามร่างจึงปรากฏขึ้น พวกเขาล้วนสวมชุดคลุมสีดำแดงและมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน พวกเขายืนอยู่ทั้งสี่ทิศขณะล้อมเรือเอาไว้
“อวิ๋นหนิงซวง เจ้ากล้าโผล่หัวออกมาแทนที่จะอยู่แต่ในสำนักขนนกร่วงโรย ไม่รู้หรือว่าค่าหัวเจ้ามีค่ามากแค่ไหน?” สตรีเพียงผู้เดียวในสี่คนเลียริมฝีปากขณะนิ้วเรียววาดวงกลม แล้วหนามสีแดงเพลิงจึงหมุนวนไปมาก่อนเปลวไฟจะทะยานออกมาประหนึ่งภูต กระนั้นกลับไม่มีเสน่ห์เย้ายวนเท่ากับตัวนาง
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็แมลงเน่าเฟะจากสำนักเพลิงคลั่งนี่เอง เหอะเหอะ…” อวิ๋นหนิงซวงยิ้มหยัน
“ทำไมสาวน้อยผู้นี้ถึงได้ปากจัดนัก ไม่เห็นเย็นชาดั่งน้ำแข็งเหมือนที่ร่ำลือกันมาเลย…” ชายชราหลังค่อมกำลังพิงไม้เท้าพร้อมสะพายกระเป๋า น้ำเสียงน่าขนลุกของเขาทำให้พวกหวังฝูทั้งสามรู้สึกเหมือนตกไปอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง
พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าหายใจ
“เย็นชาดั่งน้ำแข็งหรือ? ข้าว่าในใจของเจ้ายังมีความเป็นสาวร่านอยู่ดี คิคิ…” ชายร่างกำยำผู้อยู่ทางเหนือตรวจสอบร่างของอวิ๋นหนิงซวงด้วยสายตาที่ไม่คิดปิดบัง
“สาวร่านหรือ? จะร่านเท่าเยี่ยนจีหรือเปล่า?”
“โห… เทียบไม่ได้สินะ ฮ่าฮ่า…”
“แน่นอนว่าเทียบไม่ได้หรอก แม้ผู้ชายที่ข้าเคยนั่งเทียนมาสามารถเรียงแถวได้ตั้งแต่ตะวันออกยันตะวันตกของอาณาจักรต้าเซี่ย แต่เซียนอวิ๋นหนิงซวงผู้นี้คือคู่ครองในฝันของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน… ข้าไม่ทราบหรอกว่ามีชายชาตรีที่ใจสั่นไหวในห้วงราตรีตั้งเท่าไหร่ ข้าเทียบนางไม่ได้เลย…”
หญิงสาวเย้ายวนผู้กำลังเล่นกับหนามยาวแสดงสีหน้าน่าสงสารออกมา
“เห่าเก่งกันเหลือเกิน” อวิ๋นหนิงซวงยื่นมือออกไป แล้วกระบี่ยาวสีขาวราวหิมะจึงปรากฏพร้อมปราณกระบี่ที่ฉีกกระชาก เพียงพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าหญิงสาวเย้ายวน “ในเมื่อเจ้าเป็นคนวางแผนซุ่มโจมตี แล้วเหตุใดถึงใช้ปากในการต่อสู้เล่า หากอยากสู้นักก็จงเข้ามาสู้ ไม่ต้องมาปั่นหัวข้าให้เสียเวลา”
หญิงสาวเย้ายวนสะบัดฝ่ามือ แล้วโล่กลมขนาดเล็กรูปทรงประหนึ่งกระจกจึงปรากฏ เพียงพริบตาจึงกลายเป็นโล่กลมขนาดใหญ่ เมื่อปราณกระบี่ฟาดฟันเข้ามา โล่ก็เกิดการสั่นไหวเพียงเล็กน้อยก่อนปราณกระบี่จะกายไป
“สมกับเป็นผู้ใช้กระบี่” หญิงสาวเย้ายวนเดือดดาลหลังจากฝ่ามือเกิดอาการด้านชา “ในเมื่อหาข้อบกพร่องไม่ได้ก็มีแต่ต้องใช้กำลัง อุตส่าห์ลงทุนวางกับดักขนาดนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะยังสู้กับศัตรูสี่คนในระยะหนึ่งร้อยเมตรได้”
“มา!”