ตอนที่ 3: พุ่งทะยาน
ตอนที่ 3: พุ่งทะยาน
ไม่ช้าเด็กทั้ง 5 คนที่รุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านจึงมาเข้าแถว
เมื่อเห็นเช่นนี้ หญิงสาวจึงสะบัดมือขณะโต๊ะอันวิจิตรปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ขณะทุกคนเผยสายตาประหลาดใจอยู่นั้น นางหยิบหินสีขาวน้ำนมขนาดเท่ากำปั้นออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ
“เริ่มกันเลย วางมือของเจ้าบนหินแล้วนับถึงห้า หากสามารถทำให้หินส่องแสงได้ก็หมายความว่าเจ้ามีรากฐานวิญญาณและพรสวรรค์เซียน เมื่อนั้นจึงมีสิทธิ์ตามข้าไปสำนักขนนกร่วงโรย”
“เจ้า เข้ามาเลย”
เด็กคนแรกในกลุ่มก้าวมาข้างหน้าขณะวางมือบนหินตามที่บอกกล่าว
“เสี่ยวฮวาลูกข้าเอง เอาเลยเสี่ยวฮวา…” บริเวณด้านข้าง แม่ของเด็กโบกมือด้วยความตื่นเต้นจนหัวหน้าหมู่บ้านต้องเข้ามาห้ามไม่ให้ตะโกน “เงียบหน่อย เงียบเสียงหน่อย อย่ารบกวนเซียนสิ”
แม่ของเด็กป้องปากเพื่อหยุดการพูดจา ทว่าสายตาที่เปี่ยมด้วยความตื่นเต้นและความหวังกลับเผยความวิตกกังวลออกมาในยามนี้
น่าเสียดาย หลังจากนับถึงห้าแล้ว หินบนโต๊ะกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“ไม่มีคุณสมบัติ คนต่อไป” หญิงสาวเอ่ยคำอย่างสงบราวกับคาดเอาไว้อยู่แล้ว
เด็กที่ชื่อเสี่ยวฮวาเสียศูนย์ทันทีที่เห็นเช่นนี้ เขายืนอยู่กับที่ในสภาพน้ำตาคลอเบ้า โชคยังดีที่หัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้ามาดึงไปอยู่ข้างกายผู้เป็นแม่
“ท่านแม่…”
น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเสี่ยวฮวาทันที
“ไม่เป็นไรนะเสี่ยวฮวา เจ้าไม่ต้องร่ำเรียนวิชาเซียนก็ได้ เจ้าอยู่ในหมู่บ้านต่อ เดี๋ยวแม่ทำหมูสามชั้นตุ๋นซอสน้ำตาลจานโปรดให้กินตอนเย็นเอง…” แม่ของเสี่ยวฮวาปลอบประโลมลูก แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่นางย่อมไม่แสดงออกมาให้ลูกได้เห็น
ไม่ช้าเด็กคนแล้วคนเล่าจึงเข้ารับการทดสอบ แต่หินบนโต๊ะยังคงแน่นิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีข้อยกเว้น เด็กที่ชื่อเสี่ยวฮวาหยุดร้องไห้ไปพักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากมีสภาพไม่ต่างจากที่เขาประสบมา เขาจึงไม่รู้สึกอายอีกต่อไป
“ส่องแสงแล้ว ส่องแสงแล้ว…”
ทันใดนั้น เสียงร้องด้วยความประหลาดใจจึงดังมาจากที่ใดสักแห่ง เมื่อทุกคนกวาดสายตามองออกไปก็พบว่าหินสีขาวน้ำนมบนโต๊ะกำลังส่องแสงเจิดจ้าออกมา
ทุกคนไม่กล้าหายใจขณะจ้องมองเด็กที่อยู่หน้าโต๊ะตัวดังกล่าว
หญิงสาวในชุดขาวคล้ายกับประหลาดใจเล็กน้อยขณะเอียงศีรษะมองเด็กชายตรงหน้า จากนั้นจึงเอ่ยคำ “เจ้าชื่ออะไร?”
“ระ เรียนท่านเซียน ข้าชื่อว่าหวังเฟิง” ชายหนุ่มกัดนิ้วด้วยความรู้สึกประหม่ายิ่ง ทว่ากลับไม่มีทีท่าตื่นเต้นเท่าไหร่
“ฮ่ฮ่า นั่นมันเด็กไร้ประโยชน์ในครอบครัวข้าไม่ใช่หรือ…” ชายวัยกลางคนที่มีเครารุงรังหัวเราะด้วยความตื่นเต้น
“น้องชาย น้องชายถึงกับทำสำเร็จ…” หวังถงผู้อยู่ข้างกายชายวัยกลางคนอยู่ในสภาพมึนงง
“หวังเฟิง เจ้าผ่าน” หญิงสาวพยักหน้าขณะชี้ไปด้านข้างตัวเอง “มายืนอยู่ข้างข้า”
หวังเฟิงส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขะ ข้า… ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยากฝึกตนเป็นเซียน ข้าอยากไปสอบเป็นขุนนาง ข้าอยากกลายเป็นขุนนางระดับสูง”
หญิงสาวตกตะลึง ไม่ทราบว่าควรเอ่ยคำอย่างไรชั่วขณะ
หลังจากพยายามแทบตายถึงจะเจอเด็กที่มีรากฐานวิญญาณสักคน แต่กลับปฏิเสธการฝึกตนเป็นเซียนงั้นหรือ? ถึงกับมีคนปฏิเสธการฝึกตนเป็นเซียนด้วยหรือนี่?
สิ้นคำ หวังเฟิงวิ่งมาหาผู้เป็นพ่อจนทุกคนต่างหัวเราะเยาะ หวังฝูผู้อยู่หลังกลุ่มทราบดีว่าหวังถงผู้เป็นน้องชายมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง เขามุ่งมั่นที่จะเป็นขุนนางระดับสูงจริง ส่วนเรื่องการฝึกตนเป็นเซียน… หวังเฟิงเย้ยหยันให้กับเรื่องราวเซียนทั้งหลายที่ตนเองเคยเล่าให้ฟัง
เรื่องของอำนาจจากราชสำนักมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องเซียนอยู่อันดับท้าย
“เจ้าเด็กสารเลว ถ้าเจ้ากล้ากลับมา ข้าจะหักขาเจ้าให้ดู” พ่อของหวังเฟิงถอดรองเท้าแล้วขว้างใส่หวังเฟิงผู้กำลังวิ่งกลับมาทันที
หวังเฟิงแน่นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงวิ่งกลับไป
ในที่สุดพ่อของหวังเฟิงก็อดรนทนไม่ไหวขณะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นดึงแขนของหวังเฟิงแล้วฟาดเข้าที่บั้นท้าย สิ้นเสียง “เพี้ยะ” เปลือกตาของหวังเฟิงจึงกระตุก
หวังถงทั้งเดือดดาล ขบขันและอิจฉาอย่างแรงกล้า
เขาทำไม่สำเร็จ แต่น้องชายผู้ไม่อยากฝึกตนเป็นเซียนกลับทำได้ โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียเหลือเกิน
ในที่สุด หวังเฟิงจึงยอมจำนนต่อการกดขี่ของผู้เป็นพ่อจึงไปยืนอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวในชุดขาวขณะร้องไห้สะอื้นไปมา
แม้แต่หญิงสาวชุดขาวผู้ปกติแล้วมักทำตัวเย็นชายังทำตัวไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทดสอบรากฐานวิญญาณของมนุษย์ แต่มันเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอฉากภูตผีตัวน้อยเช่นนี้ นางพบว่ามันน่าสนใจไม่เบา
“คนต่อไป” นางส่ายหน้าด้วยสภาพที่แทบจะรักษาท่วงท่าของเซียนอันผึ่งผายเอาไว้ไม่ได้
ในบรรดาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเกือบสามสิบคนในหมู่บ้านอู๋ถง มีมากกว่าครึ่งที่ได้จากไปแล้ว ตอนนี้เหลือปลายแถวเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“เสี่ยวพั่ง เจ้าคิดว่าพวกเราจะทำสำเร็จหรือเปล่า!” หวังฝูยิ่งวิตกกังวลขณะมองผู้คนบางส่วนที่อยู่ข้างหน้า
“พี่ฝู มั่นใจในตัวเองหน่อย” เด็กชายร่างอ้วนตัวน้อยจากครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยคำอย่างเริงร่า “ขอเพียงท่านกล้าคิด ท่านก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
หวังฝูเผยรอยยิ้มขมขื่น
ไม่ช้าก็ถึงคราวของเสี่ยวพั่ง
คนต่อไปคือตัวหวังฝูเอง เขาเฝ้าดูเสี่ยวพั่งวางมือจ้ำม่ำลงบนหินสีขาว ซึ่งฝ่ามือดังกล่าวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากความวิตกกังวล
วิ้ง!
หินส่องแสงขึ้นมา
“สะ ส่องแสง! ส่องแสงอีกแล้ว!” ชาวบ้านผู้กำลังมองอย่างตั้งใจถึงกับสังเกตเห็นเป็นกลุ่มแรก
“หัวหน้าหมู่บ้าน ขอแสดงความยินดีด้วย ครอบครัวของท่านกำลังจะมีเซียนแล้ว” ทุกคนย่อมจำได้ว่าชายร่างอ้วนตัวน้อยที่อยู่หน้าโต๊ะคือใครก่อนจะแสดงความยินดีกับหัวหน้าหมู่บ้าน
“ฮ่าฮ่า...” หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะอย่างมีความสุขทันที “ไม่หรอกไม่หรอก…” แต่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ ตอนที่เห็นว่าลูกชายคนที่สองของตระกูลหวังผ่านการทดสอบก็เกิดกังวลใจไม่น้อย หากหลานชายของเขาล้มเหลวแล้วขุนนางจากราชสำนักมาเยือนในภายหลัง เขาอาจจะต้องถึงคราวสละตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านเสียที
“พี่ฝู ข้าบอกแล้วว่าให้มั่นใจเข้าไว้” เสี่ยวพั่งหันมามองหวังฝูด้วยรอยยิ้ม
“ชื่ออะไร?”
เมื่อได้ยินเสียงของเซียนผู้งดงาม เสี่ยวพั่งจึงรีบหันศีรษะ “โจวเผิง”
“อื้ม เจ้าผ่าน มายืนอยู่ข้างข้า” หลังจากเด็กคนที่สองผู้มีรากฐานวิญญาณปรากฏตัวขึ้น หญิงสาวจึงไม่ประหลาดใจอีกต่อไป
คนที่มีรากฐานวิญญาณมีเพียงหนึ่งในล้าน นางเคยพบเทศมณฑลทั่วไปซึ่งไม่มีเด็กที่มีรากฐานวิญญาณแม้แต่คนเดียว อีกทั้งยังเคยพบเด็กที่มีรากฐานวิญญาณปรากฏตัวคนแล้วคนเล่าในหุบเขาขนาดเล็ก
รากฐานวิญญาณคือสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับสายเลือดและภูมิภาค
“คนต่อไป…”
หวังฝูสูดหายใจเข้าขณะวางฝ่ามือบนหิน มันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก…
ห้าอึดใจคล้ายกับเป็นช่วงเวลายาวนานยิ่งสำหรับหวังฝู
เขากังวลใจอย่างมากจนกระทั่งนับถึงห้า แล้วในที่สุดหินสีขาวจึงส่องแสงสีขาวจางออกมา มันช่างจางเหลือเกิน
“บะ แบบ… แบบนี้นับหรือเปล่า?” หวังฝูมองเซียนผู้งดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยสีหน้ากังวล
“หากส่องแสงก็ถือว่าผ่าน”
หวังฝูรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในหมู่บ้านอู๋ถง ไม่สิ… มันคือเสียงที่ไพเราะที่สุดในมณฑลและโลกหล้าต่างหาก
“ขอบคุณ ขอบคุณท่านเซียน”
เขารีบไปยืนอยู่ข้างเสี่ยวพั่งด้วยสภาพหัวใจที่ยังเต้นแรงไม่หยุด
“พี่ฝู ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง” โจวเผิงแย้มยิ้ม
“รู้สึกดีมาก” หวังฝูอยากตะโกนสุดเสียงเพื่อระบายความตื่นเต้นออกมา เขาทราบดีว่านับตั้งแต่นี้ไป เขาจะมีโอกาสที่จะเป็นเหมือนอย่างเซียนที่ถูกกล่าวขานในเรื่องเล่าจากหนังสือโรงเรียน
สังหารภูตผีปิศาจฟันปีศาจ เหาะเหินในสวรรค์และซ่อนตัวอยู่บนปฐพี
ไม่ไกลกันนั้น พ่อของหวังฝูตื่นเต้นจนไม่อาจหุบปากลงได้
“อาจารย์หวัง ขอแสดงความยินดีด้วย…”
“ฮ่าฮ่า…”
ผ่านไปสักพัก การทดสอบจึงสิ้นสุดลง นอกจากหวังฝูกับสองคนก่อนหน้าแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำให้หินบนโต๊ะส่องแสงได้อีก
ชาวบ้านต่างมองดูญาติพี่น้องของเด็กทั้งสามคนขณะเอ่ยชมไม่ขาดปาก
คุณครูอาวุโสในโรงเรียนเข้ามาชื่นชมกันยกใหญ่พร้อมกับชี้แนะเด็กทุกคนในหมู่บ้าน
ชายชราลูบเคราแล้วแย้มยิ้ม “ข้าเป็นคนตั้งชื่อให้เด็กสามคนนี้ พวกมันมีความหมายที่พิเศษยิ่งนัก”
“ท่านเหล่าซือมีความเห็นเช่นไร?”
“ดังคำกล่าวที่ว่า ‘วันหนึ่งเมื่อพญานกต้าเผิงโผบินตามลม พุ่งทะยานไกลเก้าหมื่นลี้’”
“ไม่เลว ไม่เลว ลูกชายของข้าชื่อโจวฉี่… น่าเสียดายที่ไม่ได้ถูกเลือกโดยเซียน”
“อย่าห่วงไปเลย หากไม่สามารถกลายเป็นเซียนได้ก็ยังสามารถกลายเป็นขุนนางเพื่อแสวงหาชื่อเสียงกับความมั่งคั่งได้…”
…