ตอนที่แล้วตอนที่ 1: หมู่บ้านอู๋ถง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3: พุ่งทะยาน

ตอนที่ 2: เซียน


ตอนที่ 2: เซียน

“ร่ำเรียนร่ำเรียน ฝูเอ๋อร์เพิ่งจะอายุสิบสี่เองนะ เจ้าอยากให้เขาไปเมืองใหญ่เพียงลำพังหรือ? ถึงเจ้าไม่ห่วง แต่ข้านั้นไม่ใช่”

แม่ของหวังฝูถือจานด้วยมือข้างหนึ่งขณะวางบนโต๊ะอาหาร จากนั้นยกผ้ากันเปื้อนเช็ดมือ “ฝูเอ๋อร์ พาน้องชายมากินข้าวได้แล้ว อย่าไปสนใจพ่อของเจ้าเลย”

แม่คือคนที่รักหวังฝูกับน้องชายมากที่สุด แม้นางไม่มีทักษะแบบเดียวกับพ่อ แต่ก็สามารถดูแลทั้งครอบครัวเพื่อไม่ให้คนเป็นพ่อต้องมาพะวงหลัง

“ความเห็นของผู้หญิงนี่นะ” ผู้เป็นพ่อพึมพำอย่างแผ่วเบา แต่ผู้เป็นแม่ยังคงได้ยิน “ข้านี่แหละความเห็นของผู้หญิง เพราะงั้นไม่ต้องกินของที่ผู้หญิงอย่างข้าทำก็แล้วกัน”

“พูดเล่นน่า” ผู้เป็นพ่อแย้มยิ้ม

หวังฝูวางน้องชายบนเก้าอี้แล้วเริ่มกินข้าว ส่วนผู้เป็นแม่คีบเนื้อให้หวังฝูด้วยความรักใคร่ขณะประคบประหงมน้องชายของเขา “ฝูเอ๋อร์ กินให้มาก เจ้ายังโตได้อีก”

“ขอบคุณท่านแม่ ท่านแม่ก็ต้องกินให้มาก” หวังฝูคีบเนื้อบางส่วนให้แม่ก่อนจะคีบให้พ่อ

“ฝูเอ๋อร์ เจ้าต้องร่ำเรียนให้หนัก หัวหน้าหมู่บ้านบอกเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าช่วงนี้จะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีบุคคลสำคัญบางส่วนมาเยือนหมู่บ้านพวกเรา แถมยังมีความข้องเกี่ยวกับเด็กในหมู่บ้านอีก บางทีอาจจะเป็นคำสั่งจากราชสำนักก็เป็นได้ หากนักเรียนดีเด่นเช่นเจ้าถูกเลือกให้ไปร่ำเรียนในเมือง เจ้าต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น” หลังจากเห็นภรรยามองมา หวังหงผู้เป็นพ่อจึงเอ่ยคำต่อ “หากเจ้าเข้าเมืองเพื่อร่ำเรียนจริง ทางราชสำนักจะเป็นผู้รับผิดชอบอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและค่าขนส่งทั้งหมด ซึ่งดีกว่าในเมืองใหญ่ไม่น้อย”

“ส่วนข้าจะอยู่ในหมู่บ้านขนาดเล็กบนเขาแห่งนี้กับแม่ของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่ยอมให้ลูกเดินซ้ำรอยเป็นอันขาด”

“ข้าเข้าใจดี ข้าเข้าใจดีอยู่แล้ว เจ้ากลัวว่าลูกของพวกเราจะกินไม่ได้นอนไม่หลับหรืออาจจะถูกกลั่นแกล้งเวลาไปอยู่ข้างนอกสินะ…” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้ข้องเกี่ยวกันเลย…” หวังฝูแย้มยิ้มขณะคีบเนื้อให้น้องชาย

“ขอบคุณพี่ชาย…”

ขณะครอบครัวกำลังสนทนา เสียงเคาะประตูจึงดังมาจากนอกลานกว้าง เสียงปังปังปังซ้ำไปมาของมันเผยให้เห็นความร้อนรน

“หวังหง หวังหง… หวังหงอยู่บ้านหรือเปล่า…”

“ใครน่ะ ประตูไม่ได้ล็อก... เสียงนี้เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านนะ…” ผู้เป็นแม่วางจานกับตะเกียบขณะกำลังจะเดินไปเปิดประตู

“ข้าเปิดเอง…” ผู้เป็นพ่อเดินออกไปก่อน

ประตูเปิดออก แน่นอนว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

“อาโจว เจ้ามีธุ…”

“ระ… รีบพาเจ้าหนูหวังฝูไปกับข้า” หัวหน้าหมู่บ้านหอบหายใจขณะพิงกับประตู

เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นพ่อตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นจึงแสดงสีหน้ายินดีออกมา “คนจากราชสำนักมาที่นี่งั้นหรือ?”

“ราชสำนัก? ราชสำนักไหน?”

“เรื่องนั้น…” หวังหงผู้เป็นพ่อตื่นเต้นยิ่ง แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยจบประโยค หัวหน้าหมู่บ้านกลับเร่งเร้าอีกครั้ง “จะยังไงก็ช่าง มากับข้าก่อน พาลูกชายคนโตของเจ้ามาด้วย… ไม่ใช่คนจากราชสำนักหรอก แต่เป็นเซียน เซียนมาเยือนหมู่บ้านพวกเราแล้ว…”

“เซียน เซียนหรือ…” หวังหงผู้เป็นพ่อตกตะลึง

พอหวังฝูผู้ให้ความสนใจที่ประตูลานกว้างได้ยินคำว่า “เซียน” ขึ้นมาก็วิ่งออกไปพร้อมกับน้องชายที่อยู่ในอ้อมแขน

“ท่านปู่โจว…” ดวงตาของเขาทอประกาย แล้วเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเซียนก็พลันปรากฏขึ้นในใจ

“มีเซียนอยู่จริงหรือ…”

บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้านถัดจากต้นอู๋ถงอายุกว่าร้อยปีที่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน

หวังฝูเดินตามหลังหัวหน้าหมู่บ้านและพ่อขณะฟังเสียงกระซิบกระซาบของพวกเขา แล้วใบหน้าของผู้เป็นพ่อก็เผยความประหลาดใจออกมา หวังฝูไม่ได้ฟังอย่างละเอียดเพราะมัวแต่จินตนาการถึงเรื่องราวในหนังสือของโรงเรียน

ไม่ช้าก็เห็นฉากของต้นอู๋ถงทั้งหมดอย่างชัดเจน

ต้นอู๋ถงขนาดใหญ่บดบังดวงอาทิตย์ ผู้คนทั้งหลายยืนอยู่ใต้ร่มเงาของมัน พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านอู๋ถงที่มาพร้อมกับลูกหลานขณะสนทนากันอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านมาถึงแล้ว ทุกคนจึงรีบวิ่งเข้ามา

“หัวหน้าหมู่บ้าน เซียนอยู่ไหนหรือ?”

“เซียนจะพาลูกของข้าไปประตูเซียนใช่หรือไม่? ประตูเซียนอยู่ไกลหรือไม่ แล้วจะกลับมาที่บ้านได้บ่อยหรือเปล่า?”

“หัวหน้าหมู่บ้าน…”

“เอาละเอาละ ทุกคนเงียบ” หัวหน้าหมู่บ้านปลอบประโลมทุกคน “เซียนจะมาที่นี่ในไม่ช้า แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องบางอย่างต้องบอกให้ทราบ”

ทุกคนเงียบลงขณะมองไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน

หัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่บนแท่นใต้ต้นอู๋ถงขณะมองชาวบ้านพร้อมลูกหลานจำนวนมาก “เมื่อร้อยกว่าปีก่อน บรรพชนผู้หนึ่งของหมู่บ้านอู๋ถงได้ช่วยผู้อาวุโสเซียนแห่งสำนักขนนกร่วงโรยเอาไว้ ซึ่งผู้อาวุโสให้สัญญาว่าจะรับลูกหลานของหมู่บ้านพวกเราเข้าสู่สำนักเซียนเพื่อเรียนรู้วิชาเซียน แต่การเรียนรู้วิชาเซียนจำเป็นต้องมีพรสวรรค์เซียนเสียก่อน เหล่าเซียนไม่อาจให้ความสนใจหมู่บ้านพวกเราอยู่ตลอดได้ ดังนั้นจึงได้มีการตั้งกฎสามโอกาสขึ้นมา หากนับผู้อาวุโสเซียนจากเมื่อร้อยกว่าปีก่อนแล้ว เหล่าเซียนจากสำนักขนนกร่วงโรยเคยมาสองครั้ง แต่ไม่มีลูกหลานคนไหนตรงตามข้อกำหนดที่ว่ามา วันนี้นับว่าเป็นครั้งที่สามซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย หากคราวนี้ไม่มีลูกหลานคนใดมีคุณสมบัติในการเป็นเซียน หลังจากนี้เหล่าเซียนจากสำนักขนนกร่วงโรยก็จะตัดใจจากพวกเรา”

“หมู่บ้านของพวกเราอพยพมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ทำให้มีผู้คนไม่มากนัก แต่ข้าสังเกตเห็นว่าคนรุ่นนี้มีลูกหลานมากที่สุด ดังนั้นข้าจึงแจ้งให้เซียนทราบ”

“ทุกคนควรฉวยโอกาสนี้เอาไว้ ขอเพียงหมู่บ้านของพวกเราสามารถให้กำเนิดเซียนได้ก็จะนับเป็นเกียรติแก่บรรพชนของพวกเรา แล้วราชสำนักก็จะส่งขุนนางระดับสูงมาตกรางวัลให้”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” หลังจากได้ฟังคำของหัวหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันตื่นเต้น กลายเป็นว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับเซียนในหมู่บ้านอู๋ถงด้วย

“พอหัวหน้าหมู่บ้านพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็ก เคยมีคนผู้หนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า…” ชาวบ้านคนหนึ่งอายุราวห้าสิบถึงหกสิบปีเอ่ยคำ

“ฮ่าฮ่า… เหล่าหลี่ ผ่านมากี่ปีแล้วตั้งแต่ที่เจ้ายังเป็นเด็ก เจ้ายังจำได้อีกหรือ?” ใครบางคนที่อยู่ใกล้เคียงเอ่ยคำติดตลก

“ข้าความจำดีจะตาย ข้าจำได้ว่ามีเซียนชุดขาวลงมาจากท้องฟ้า… ในตอนนั้นต้นอู๋ถงในหมู่บ้านของพวกเรายังไม่ใหญ่เท่านี้…” ผู้ชายที่ชื่อเหล่าหลี่เอ่ยคำอย่างจริงจัง จากนั้นเงยหน้ามองท้องนภาก่อนจะพบจุดขนาดเล็กที่ยิ่งมายิ่งใหญ่ เขาจึงชี้ด้วยความตื่นเต้น “นั่นนั่นนั่น เหมือนแบบนั้นเลย เหมือนแบบนั้นเลย…”

ทุกคนมองตาม

เหนือท้องนภา แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องนภาประหนึ่งดาวตก ขณะแสงสว่างมีขนาดใหญ่ขึ้น ชาวบ้านที่ตาดีจึงมองเห็นว่าสิ่งนั้นคือคน มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนเรือลำเล็ก

“ว้าว เป็นเซียนจริงด้วย…”

ฟิ่ว!

เพียงพริบตา ร่างสีขาวราวหิมะจึงเคลื่อนลงมาใต้ต้นอู๋ถง

ปรากฏว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง

สตรีผู้นี้อายุราวยี่สิบปี สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวราวหิมะ เส้นผมสีดำประหนึ่งน้ำหมึก ทรวดทรงองเอวงามงด ผิวพรรณมีน้ำนวลดุจครีม ใบหน้ารูปไข่เรียบเนียนประดับด้วยคิ้วหนาคล้ายใบหลิว ดวงตารูปทรงอัลมอนด์กับริมฝีปากเชอร์รี่ ซึ่งลำแสงสายหนึ่งสาดส่องลงมาบนไหล่ของนางผ่านรอยแยกของใบจากต้นอู๋ถง ช่างดูเหมือนนางฟ้าไร้ใครเทียบผู้จุติมายังโลกใบนี้

ชาวบ้านจากหมู่บ้านอู๋ถงไม่เคยเห็นบุคคลผู้งามงดเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นเองที่ชายหญิงต่างตกตะลึง

จนกระทั่งหญิงสาวเริ่มเอ่ยคำ “หัวหน้าหมู่บ้านอู๋ถงคือใคร?” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ ทว่ากลับไพเราะเสนาะหูประหนึ่งนกกระจอก

“ข้าเอง ข้าเอง…” หัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้ามาทักทาย “ยินดีต้อนรับท่านเซียน”

ทว่ากลับมีพลังบางอย่างที่กันไม่ให้หัวหน้าหมู่บ้านโค้งคำนับ นั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกเคารพยำเกรง

“เมื่อนานมาแล้วผู้อาวุโสจูแห่งสำนักขนนกร่วงโรยประสบปัญหาที่นี่ โชคยังดีที่บรรพชนของพวกเจ้าช่วยเอาไว้ แม้ผู้อาวุโสจูจะล่วงลับไปแล้ว แต่สำนักขนนกร่วงโรยยังคงจดจำสัญญาที่ให้ไว้เสมอมา นี่คือครั้งที่สามแล้ว หากคราวนี้ยังไม่มีผู้ใดครอบครองรากฐานวิญญาณอีก ชะตาระหว่างหมู่บ้านอู๋ถงกับสำนักขนนกร่วงโรยย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง” หญิงสาวเอ่ยคำอย่างสงบ

“ท่านเซียนไม่ต้องห่วง ข้าทราบดีว่านี่คือแผ่นป้ายที่บรรพชนของพวกข้าส่งต่อกันมาเพื่อไว้ติดต่อกับสำนักเซียน ข้าจะคืนมันเดี๋ยวนี้” หัวหน้าหมู่บ้านหยิบแผ่นป้ายหยกที่ห่อด้วยผ้าลายดอกออกจากกระเป๋าขณะส่งคืนให้อย่างระมัดระวัง

หญิงสาวพยักหน้า เพียงแค่สะบัดมือ ป้ายหยกก็ตกมาอยู่ในฝ่ามือของนาง

“ถ้าอย่างนั้น จงเรียกบุตรหลานในหมู่บ้านของเจ้าที่อายุมากกว่าแปดขวบและไม่เกินสิบหกปีให้มารวมตัวที่นี่เสีย”

“ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาถูกเรียกตัวมากันครบถ้วน” หัวหน้าหมู่บ้านรีบขอให้ทุกคนต่อแถว ส่วนพ่อแม่กับสมาชิกครอบครัวที่มาด้วยกันต่างแยกตัวออกมา แม้กระทั่งคุณครูอาวุโสผู้เป็นที่เคารพจากโรงเรียนก็ไม่เว้น

พวกเขาต่างให้กำลังใจลูกหลานของตัวเอง

“เด็กโต เข้ามา…”

“เสี่ยวหรง สู้เพื่อพ่อนะ!”

“พาน้องชายมาด้วย เข้ามา…”

“เสี่ยวฝู ลุยเลย…”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด