ตอนที่ 1: หมู่บ้านอู๋ถง
ตอนที่ 1: หมู่บ้านอู๋ถง
อาณาจักรต้าเซี่ย เขตปกครองหย่งหนาน
ตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งมีภูเขาสูงตระหง่านมากมาย
ภูเขาอู๋ถงเคยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม จนกระทั่งเมื่อหลายร้อยปีก่อนตอนกลุ่มชาวบ้านมาที่ตีนเขาแล้วทำการตั้งรกรากที่นี่ พร้อมกับปลูกต้นอู๋ถง จากนั้นที่นี่จึงค่อยเปลี่ยนจากสภาพรกร้าง กลายเป็นทุ่งนาจนมีผู้คนจำนวนมากขึ้น
ยามนี้ บริเวณทางเข้าหมู่บ้านอู๋ถงกำลังมีการไล่ล่าเกิดขึ้น
“หวังเอ้อโก่ว เจ้าคนสารเลว หนังสือภาพของข้าอยู่ไหน? ยืมไปตั้งหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่เอามาคืนข้าอีก!”
เด็กชายอายุราวสิบสามถึงสิบสี่ปีกำลังกวัดแกว่งกระบี่ไม้ในมือขณะโจมตีใส่เด็กชายตรงหน้า
“พี่ฝู พี่ฝู... ท่านฟังข้าอธิบาย ฟังข้าอธิบายก่อน…”
ในที่สุดกระบี่ไม้จึงพาดผ่านคอของเด็กชาย
“ได้ เชิญเจ้าโต้แย้งมา ข้าฟังอยู่” หวังฝูก้มมองลงมาด้วยสภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นจึงเงยหน้าจ้องมองหวังเอ้อโก่ว “หากทำให้ข้าพอใจไม่ได้ ข้าจะตีก้นเจ้าให้ลาย”
“พี่ฝู ท่านเองก็รู้จักพ่อข้า เขาเป็นคนนิสัยดื้อรั้นที่คอยดูแลการอ่านเขียนให้กับข้าอยู่เสมอ เมื่อวันก่อนข้าแบ่งปันหนังสือภาพให้กับน้องชายของข้า… ซึ่งเขาบังเอิญพบหนังสือภาพเล่มนั้นเขาก็เลยโดนยึดไป…” หวังถงมีสีหน้าเศร้าสร้อย
“เจ้าว่าไงนะ… หวังเอ้อโก่ว เจ้าไปเอาหนังสือภาพมาคืนข้าเดี๋ยวนี้…”
เมื่อเห็นหวังฝูยกกระบี่ไม้ในมือขึ้น ความเร็วในการพูดจาของหวังถงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะน้ำเสียงดังขึ้นเช่นกัน “ข้าค้นในห้องพ่อของข้ามาหลายวันแล้ว แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไม่รู้เลยว่าเขาเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน… พี่ฝู ใจเย็น ใจเย็นก่อน…”
“ช้าก่อน ช้าก่อนพี่ฝู ข้ามีสมบัติที่สามารถแทนที่หนังสือภาพของท่าน… ได้…”
เพี้ยะ!
“โอ๊ย…”
กระบี่ไม้ฟาดเข้าที่ก้นของหวังถงประหนึ่งแส้
“หนังสือภาพคือของขวัญวันเกิดที่พ่อข้าซื้อให้ข้าตอนไปทำธุรกิจในเมืองข้างนอก เจ้าจะชดใช้อย่างไร หา…” หวังฝูเดือดดาลขณะเอ่ยถามหวังถง “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามาขอร้องข้าสุดความสามารถ ข้าก็คงไม่ให้เจ้ายืมหรอก”
“แต่เจ้า เจ้าถึงกับทำมันหายไป…”
“ฮือฮือ…” หวังถงร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดแสน “ข้าจะไปทำอะไรได้ ก็พ่อข้ายึดมันไปแล้ว หากท่านมีความสามารถก็ไปเอาคืนมาสิ เหตุใดต้องตีข้าด้วย ฮือฮือ… ข้าเจ็บเหลือเกิน…”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะหาของมาชดเชยให้ท่าน แต่ท่านยังมาตีข้าอีก ไร้เหตุผลสิ้นดี… ฮือฮือ…”
มือของหวังฝูที่จับกระบี่ไม้สั่นเทา จากนั้นถึงตระหนักได้ว่าตัวเองใช้กำลังมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยถาม “ของว่าที่ว่าคืออะไร หากทำให้ข้าพอใจได้ก็จะไม่สืบสาวเอาความผิดเรื่องที่เจ้าทำหนังสือภาพหาย หยุดร้องได้แล้ว…”
“ท่านพูดแล้วนะ… อย่าโกหกเชียวล่ะ” หวังถงเช็ดน้ำตาในสภาพที่ยังสะอึกสะอื้น
“อื้ม ไม่โกหกเจ้าหรอก ถ้าโกหกเจ้าก็ขอให้เป็นลูกหมา… ตกลงไหม” หวังฝูนั่งลงข้างหวังถงขณะปัดวัชพืชบนร่างของอีกฝ่ายออกให้
“นี่… นี่คือสมบัติที่ข้าพูดถึง” จากนั้นหวังถงหยิบวัตถุสีดำออกมาจากกระเป๋า “ขะ ข้าเจอบริเวณคูน้ำหลังบ้านข้า ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน”
หวังฝูรับมันไว้
มันคือหม้อขนาดเล็กสีดำสนิทที่มีขนาดราวครึ่งกำปั้น
หม้อมีสามขากับหูจับสองข้างซึ่งมีสีเดียวกันและถูกแกะสลักด้วยลวดลายแปลกประหลาด ให้ความรู้สึกไม่เรียบเนียนยามสัมผัส แม้ไม่ทราบว่าทำจากวัสดุอะไร แต่มันดูเหมือนกับหินไม่ก็เหล็กที่มีน้ำหนักเทียบเท่ากับไม้ ภายในหม้อยังมีดินเก่าแก่ดูสกปรก ยากที่จะทราบว่ามันถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานแค่ไหน
“เป็นไงบ้าง มันคือสมบัติใช่หรือเปล่า ข้าลองเอาหินกระแทกแล้วก็ยังไม่เป็นอะไรเลย” หวังถงเช็ดจมูกขณะพึมพำไปมา
“สมบัติ? เจ้ายังเรียกขยะชิ้นนี้ว่าสมบัติงั้นหรือ? ไร้ประโยชน์สิ้นดี…” หวังฝูยกยิ้ม เขามองไม่ออกว่าของที่กินหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้จะเรียกว่าสมบัติได้อย่างไร
“แต่ข้า ข้ามีเพียงของชิ้นนี้เท่านั้น… ท่านอย่าขอให้ข้าไปขโมยเงินในบ้านเพื่อเข้าเมืองไปซื้อหนังสือภาพเลย… ไม่งั้นพ่อข้าตีข้าจนตายแน่” หวังถงหดคอ “ข้าไม่อยากขโมยเงินในบ้าน” เขาส่ายหน้าอีกครั้ง
“เอาเถอะ เอาเถอะ ดูเจ้าทำท่าทางขี้ขลาดเข้าสิ” หวังฝูถือหม้อใบเล็กไว้ในอ้อมแขน
“หนังสือภาพเล่มนั้น…”
“ไม่เป็นไร ข้าอ่านจบแล้ว น่าเสียดายที่มันเป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อข้าซื้อให้ตอนวันเกิดอายุสิบสี่ปีของข้า เฮ้อ…”
“พี่ฝู ข้า…” หวังถงรู้สึกผิดขึ้นมา เขาเข้าใจความรู้สึกดังกล่าวดี พ่อของเขาก็เคยซื้อของขวัญให้เขามาก่อนเหมือนกัน แม้มันจะเป็นเพียงกังหันลม แต่เขายังเก็บมันไว้เป็นสมบัติที่ไม่ยอมให้ใครแตะต้องเป็นอันขาด
“พอแล้ว เลิกบ่นเสียที ก้นของเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” หวังฝูยืนขึ้นขณะปัดวัชพืชออกจากก้น ก่อนจะยื่นมือไปหาหวังถง
หวังถงตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นจึงแย้มยิ้มอย่างมีความสุขขณะคว้ามือของหวังฝูแล้วลุกขึ้นมา “ไม่เป็นไร ข้าอึดถึกทนจะตาย พ่อข้ายังตีแรงกว่าพี่ฝูตั้งเยอะ”
“พรืด… เจ้าเด็กโง่” หวังฝูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไปเถอะ กลับบ้านดีกว่า ได้เวลาข้าวเที่ยงแล้ว”
ประเพณีครอบครัวของหวังถงค่อนข้างเข้มงวด หากเขากลับบ้านช้า หวังฝูย่อมอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงว่าเด็กโง่คนนี้จะโดนพ่อของเขาทุบตี
ทั้งสองแยกทางกันใต้ต้นอู๋ถง
บ้านของหวังฝูตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านอู๋ถง โดยงานฝีมือช่างหินได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากบรรพชน ซึ่งหวังหงผู้เป็นพ่อของเขาได้รับการสืบทอดงานฝีมือช่างจากบรรพชนมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้งานแกะสลักหินของเขาเป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้านรอบข้างทั้งหลาย แม้กระทั่งในเมืองขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ก็ยังมีตระกูลมั่งคั่งบางส่วนเชื้อเชิญให้ไปทำงาน
เนื่องจากพ่อของหวังฝูมีทักษะด้านงานฝีมือเป็นเลิศ ทำให้ครอบครัวของหวังฝูค่อนข้างมีฐานะและไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้า อีกทั้งตอนอยู่ในหมู่บ้านอู๋ถงยังได้รับความเคารพค่อนข้างมาก ยามผู้คนเห็นหวังหงผู้เป็นพ่อก็มักจะเรียกขานกันว่าอาจารย์หวัง
หวังหงผู้เป็นพ่อเดินทางไปหลายที่จนทราบว่าหมู่บ้านอู๋ถงคือสถานที่ขนาดเล็กที่เขาต้องใช้ชีวิตตราบสิ้นลมหายใจ แต่เขาไม่อาจยอมให้ลูกชายทั้งสองถูกผูกมัดอยู่กับที่นี่เหมือนตัวเองได้ ดังนั้นยามลูกคนอื่นทำงานในทุ่งตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงส่งหวังฝูไปร่ำเรียนการเขียน แม้กระทั่งลูกชายคนสุดท้องอย่างหวังเหยายังถูกเขาส่งไปร่ำเรียนตั้งแต่อายุหกขวบ
หวังฝูทำการศึกษาอยู่ในโรงเรียนเป็นเวลาหกปี
ยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแนวคิดก่อเกิดขึ้นมากมาย บ่อยครั้งมันนำไปสู่ความคิดแปลกประหลาด อย่างตอนอยู่โรงเรียน เขาอ่านหนังสือของคุณครูจนครบทุกเล่ม ซึ่งเรื่องราวมากมายได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับเซียนเหาะเหินในสวรรค์และซ่อนตัวอยู่บนปฐพี พวกเขาเป็นผู้มากความสามารถในการสังหารภูตผีปิศาจ
กระบี่ไม้เล่มนั้นเป็นกระบี่ที่เขาขอให้พ่อทำขึ้นมา ซึ่งเรื่องราวของเซียนกระบี่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลาว่าง เขาจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้สหายในวัยเดียวกันฟัง ลูกหลานในหมู่บ้านต่างนับถือเขาเป็นอย่างมากจนต่างพากันเรียกขานว่าพี่ฝูคนแล้วคนเล่า แม้กระทั่งเด็กชายร่างอ้วนจากตระกูลของหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ซึ่งหวังฝูรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
เมื่อกลับถึงบ้าน ผู้เป็นพ่อจะยืนอยู่ในลานกว้างพร้อมกับร่างต้นแบบ บางครั้งก็จะเขียนและวาดด้วยดินสอถ่านเป็นครั้งคราว หวังฝูคุ้นชินเป็นอย่างดีพร้อมกับคิดว่าพ่อของเขาน่าจะได้รับคำสั่งซื้อจากที่ใดสักแห่งถึงต้องมาทำการศึกษาและคำนวณปริมาณหินที่ต้องใช้
“กลับมาแล้วหรือ? ไปเล่นซนที่ไหนมา? หากเจ้าไม่ร่ำเรียนทั้งวันแล้วจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องชายได้อย่างไร” หวังหงผู้เป็นพ่อเงยหน้ามองหวังฝู
“พี่ชาย พี่ชาย…” เด็กชายตัวน้อยวิ่งออกมาพร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมแขนของหวังฝู
หวังฝูรีบอุ้มหวังเหยาผู้จ้ำม่ำขึ้นมาขณะเอ่ยคำด้วยรอยยิ้มประหนึ่งกำลังถือกระบี่อาญาสิทธิ์ “ท่านพ่อ ข้าอ่านหนังสือทุกเล่มในโรงเรียนครบถ้วน ไม่เหลืออะไรให้อ่านอีกแล้ว ส่วนน้องชายข้ายังเด็ก ใยท่านต้องรีบร้อน…”
“อ่านครบถ้วนหรือ? ไม่ว่าใครก็พูดได้ทั้งนั้น” หวังหงผู้เป็นพ่อดูจะไม่เชื่อเสียเท่าไหร่
“ข้าไม่ได้พูดไปเรื่อยเสียหน่อย ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม หากยังไม่เชื่อก็ลองไปถามคุณครูที่โรงเรียนดูได้” หวังฝูหยอกเย้าน้องชายในอ้อมแขนขณะจิ้มไปที่ใบหน้าจ้ำม่ำขนาดเล็ก ทำให้เสี่ยวหวังหัวเราะไม่หยุด
หวังหงผู้เป็นพ่อหยุดนิ่งขณะถือร่างต้นแบบ จากนั้นเงยหน้ามองลูกชายอย่างจริงจังแล้วเอ่ยคำ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะส่งเจ้าไปเมืองใหญ่ในปีหน้าเพื่อทำการศึกษาต่อ คุณครูที่นั่นฝีมือดีกว่าและมีหนังสือมากกว่า เมื่อเจ้าอายุมากพอแล้วก็สามารถรับการสอบขุนนางในราชสำนักเพื่อตั้งเป้าเป็นขุนนางได้ จะได้ออกจากสถานที่ขนาดเล็กแห่งนี้เสียที”
“เมืองใหญ่หรือ?” ดวงตาของหวังฝูทอประกาย