บทที่ 23
ในที่สุดฉินฉินก็หายใจหายคอได้สะดวกขึ้นแล้ว ชั่วครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าแม่กับลูกยังไม่ได้กิน จึงคีบกับข้าวไปสองสามตะเกียบอย่างเกรงใจ จนกระทั่งเฉาหยางยกข้าวมาเสิร์ฟ จานกับข้าวก็ใกล้จะหมดแล้ว
“แม่ เฉาหยาง ชิมดูสิคะ กับข้าวอร่อยจริงๆ”
แม่กับลูกก็หัวเราะคิกคักแล้วตักกินไปคนละคำ
เฉาหยางมองก้นจาน แล้วมองภรรยาที่เห็นได้ชัดว่ายังกินไม่จุใจ ขณะนี้มองแม่ของเขาด้วยความคาดหวัง “พรุ่งนี้ซื้อเพิ่มอีกหน่อยได้ไหมครับ”
สถานการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในอีกชุมชนหนึ่งเช่นกัน
หลี่ซิ่วเฟินที่ย้อมผมหยิกสีแดงแฟชั่นตักเกี๊ยวให้หลานสาวชามใหญ่ “หยวนหยวน รีบกินสิ! เกี๊ยวผักโขมอร่อยมาก! อร่อยเหมือนเมื่อมื้อเช้าเลย”
ลูกสะใภ้เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ “แม่คะ บอกแล้วไงว่าหยวนหยวนกินยาก แม่ตักให้เยอะขนาดนี้หลานกินไม่หมดหรอก” พูดแล้วก็วางชามของตัวเองลงไป “มาสิหยวนหยวน กินไม่หมดแบ่งให้แม่”
ไม่นึกว่าเด็กน้อยจะอุ้มชามหันหน้าหนี “อ้ำ” กินเกี๊ยวทั้งลูกไปหนึ่งคำ พลางพูดเสียงอู้อี้ “อร่อย! หนูจะกินหมดเลย!”
แม่ของหยวนหยวนถึงกับอึ้ง
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
เด็กกินยากคนนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตม้ามมักจะไม่ค่อยดี กินอันนี้ไม่ได้ กินอันนั้นก็จะอาเจียน เริ่มเข้าเรียนประถมแล้วแต่ยังดูไม่แข็งแรงเท่าเด็กเรียนชั้นอนุบาลด้วยซ้ำ ทำให้เธอเป็นกังวลไปหมด
แต่ตอนนี้ชามเล็กๆ ของหล่อนมีเกี๊ยวอยู่สิบกว่าลูกเรียงรายเต็มไปหมด แล้วดูเด็กน้อยกินทีละสองสามคำ กินเพลินจนลืมเงยหน้าเงยตา หอมมากจริงๆ
แม่สามีรู้สึกว่าชัยชนะเป็นของตน จึงถือโอกาสชี้แนะสั่งสอนลูกชายและลูกสะใภ้ในคราวเดียว "พวกลูกน่ะ ปกติเลี้ยงหยวนหยวนดูแลประคบประหงมกันมากเกินไป ผักนำเข้าอย่างนั้น ผักนำเข้าอย่างนี้... ยุ่งยากไปหมด ดูสิ ลูกผอมไหม"
"และดูเมื่อเช้านี้ ผักป่าในตลาด สามสิบหยวนต่อกิโล ฉันเอาผักโขมมาตุ๋นซุปห่อเกี๊ยวให้หยวนหยวนกินกับก๋วยเตี๋ยวไปเมื่อเช้า เธอนะกินหมดชามใหญ่เลย ตอนส่งไปโรงเรียนยังไม่อยากไปเลย" ที่หน้าโรงเรียนยังบอกกับเธอว่า ‘ย่า พรุ่งนี้ย่าทำของอร่อยๆ แบบนี้อีกได้ไหม’
อื้อหืม!
ตอนนั้นใจของหลี่ซิ่วเฟินอ่อนยวบไปหมด
นี่ไง ถึงได้รีบร้อนไปตลาดอีกรอบ โชคดีอย่างกับได้รับพรจากสวรรค์ ยังเหลือผักกาดหอมมาถึงมือเธออีกสามกำสุดท้าย
ผักสามกำตอนนี้เก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนวันนี้ก็ตั้งใจทำผักโขมห่อเกี๊ยวให้กินกันไปก่อน เมื่อพูดถึงชัยชนะของตัวเอง หลี่ซิ่วเฟินก็ค่อนข้างภูมิใจ
"พวกลูกไม่รู้หรอก แม่โชคดีมาก ตอนนั้นมีเด็กหนุ่มสาวคู่หนึ่งเลือกผักอยู่ข้างหน้า บ่นว่าแพงกิโลละสามสิบหยวน"
หลี่ซิ่วเฟินแสดงความดูถูกอย่างไม่แยแส "อย่าให้แม่พูดเลย พวกคนหนุ่มสาวรู้จักซื้อผักกันสักเท่าไหร่เชียว ผักป่าสดใหม่แบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ดีกว่าในโรงเรือนทั่วไปตั้งเยอะ! "
"อีกอย่าง ฤดูกาลนี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตมีของครบครัน แตงกวาก็ตั้ง 32 หยวนต่อกิโล กินแล้วมีรสชาติไหม แต่ช่างมันเถอะ เพราะยังไงแม่ก็ได้สามกำนั้นมาแล้ว"
พูดไปพูดมาก็ไม่มีใครสนใจ
เธอเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นว่าลูกชายและลูกสะใภ้กำลังถือชาม เกี๊ยวในชามหายไปเกือบเกลี้ยงแล้ว
ลูกชายยังทำหน้าซื่อๆ "แม่ มีอีกไหม"
หลี่ซิ่วเฟินนึกถึงเด็กหนุ่มน้อยที่ขายผักเมื่อเช้า ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ทำไมลูกผู้ชายบ้านฉันถึงเป็นแบบนี้กันนะ ลูกชายคนอื่นเขามีแต่ทำตัวดีมีประโยชน์กับครอบครัว
เธอใส่อารมณ์หงุดหงิดลงในน้ำเสียง "ผักโขมกิโลเดียว จะห่อเกี๊ยวได้กี่อันเชียว! "
"งั้น พรุ่งนี้ซื้อมาหลายๆ กิโลเลยแม่" ลูกชายอยากกินจนทนไม่ไหว เกี๊ยวชามเล็กๆ ลงท้องไปแล้ว แต่ท้องกลับยังว่างอยู่โล่งโจ้ง ไม่ใช่ว่าในตู้เย็นยังมีผักป่าอื่นๆ เหลืออีกเหรอ...
หลี่ซิ่วเฟินยิ่งโกรธมากขึ้น!
"กิน กิน กิน รู้จักแต่กิน! แกพูดว่าจะซื้อเพิ่มก็ซื้อเพิ่มได้เลยเหรอ? ซื้อไปเรื่อยๆ ไม่กี่กิโลก็หมดไปเป็นร้อยแล้ว ไม่เสียดายเงินเลยหรือยังไง"
ลูกชายก็รู้สึกน้อยใจ เมื่อกี้แม่ไม่ใช่บอกว่าสามสิบหยวนไม่แพงหรอกเหรอ
ในตอนนั้นเอง หยวนหยวนก็วางชามลง "ย่า พรุ่งนี้หนูอยากกินอีก!"
หลี่ซิ่วเฟินเปลี่ยนสีหน้าในทันที ยิ้มแย้มแจ่มใส "พรุ่งนี้เช้าเราจะลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวทำกินกัน เกี๊ยวหมดแล้ว แต่ไม่เป็นไรนะหยวนหยวน ย่าเข้ากลุ่มไลน์แล้ว เดี๋ยวจะถามให้ว่าพรุ่งนี้เขาจะขายอีกไหม คราวหน้าเราก็ซื้อสักห้ากิโล แล้วห่อเกี๊ยวแช่แข็งเก็บไว้เยอะๆ เลยเนอะ! "
ลูกชายกับลูกสะใภ้มองหน้ากัน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในบ้านหลังนี้แล้ว
กลุ่มไลน์ลูกค้าทั้ง 17 คนของซ่งถาน คึกคักเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้
[แม่หนู เธอจะขายผักป่าอีกวันไหนจ๊ะ]
[คนขาย ป้าสั่งจองก่อนได้ไหม อยากได้ผักโขมสัก 5 กิโล]
[หนูจ๊ะ ป้าจะไปเต้นรำที่สวนสาธารณะตอนเช้า จ่ายเงินจองก่อนเลยได้ไหม และเก็บผักไว้ให้ป้าหน่อย]
ซ่งถานรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ตอบกลับไปรอบเดียวพร้อมกัน
[ตอนนี้สภาพอากาศค่อนข้างเย็นชื้น ทำให้ผักป่ายังไม่ขึ้นเลยค่ะ และก็เพราะเราได้ส่วนหนึ่งมาจากหุบเขาในหมู่บ้านด้วย
มันเลยไม่มีสารเคมีและไม่ใส่ปุ๋ย ใช้แค่ดินจากธรรมชาติบนหุบเขา ดังนั้นผักป่าจึงยังมีไม่มากพอกับความต้องการของลูกค้านะคะ ด้วยเหตุผลนี้ พรุ่งนี้ขออนุญาตยังงดจำหน่าย และไม่รับสั่งจองเก็บผักป่าไว้ให้ด้วยนะคะ ขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ]
[วันเวลาเบื้องต้นที่ร้านกำหนดคร่าวๆ จะวางจำหน่ายคือวันมะรืนเวลาเจ็ดโมงเช้าที่ตลาดสด ยังคงเป็นเราพี่น้องสองคนเหมือนเดิมนะคะ หลังจากนั้นครั้งต่อไปที่จะขายคือถัดไปอีกสามวัน เพื่อให้ผักป่ามีโอกาสได้เจริญเติบโตก่อน]
จากนั้นก็โพสต์วิดีโอสั้นๆ ที่ถ่ายไว้ตอนไปเก็บผักป่าในวันนี้
เห็นแต่ความเขียวขจีปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง แต่บนเนินเขากลับมีผักป่าเขียวชอุ่มขึ้นอย่างแน่นขนัดและอุดมสมบูรณ์ ริมคันนา ริมสระน้ำ จู่ๆ ก็มีพุ่มสีเขียวปรากฏขึ้น ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่านี่คือผักป่าที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีคนในกลุ่มพูดขึ้นว่า "แม่หนู ผักป่าแถวนี้ไม่เห็นมีต้นทุนอะไรเลย ทำไมขายแพงจัง ลดราคาลงหน่อยสิ แล้วก็ร้านหนูชั่งไม่เต็มน้ำหนักด้วยนะ กำหนึ่งได้แค่แปดขีดเอง รสชาติก็ธรรมดา"
ซ่งถานขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เธอชั่งน้ำหนักพลาดเหรอ?
ตอนที่มัดไว้ก็หนึ่งกิโลต่อกำนี่นา แถมในสภาพอากาศแบบนี้ ความชื้นยังไม่ระเหยออกไปเลย ใบผักยังคงกรอบและสดอยู่ ไม่ต้องพูดถึงความอ่อนนุ่มด้วยซ้ำ ส่วนตอนเช้าที่เธอไปขายเมื่อวันนั้น เธอก็หยิบออกมาตั้งหลายกำ น้ำหนักก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่
เรื่องรสชาติทั่วไป? ผักที่เธอปลูก เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร?
นี่มันดูถูกประสบการณ์ในการทำเกษตรมาเป็นร้อยปีที่ยอดเขาอินเยว่ของเธอชัดๆ และในกลุ่มทั้งที่ตอนนี้ยังมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนจู้จี้จุกจิกอีก?
ซ่งถานไม่สนใจ
ดังนั้นเธอจึงตอบกลับอย่างสุภาพว่า "สวัสดีค่ะ น้ำหนักขาด รสชาติไม่อร่อยด้วยใช่ไหมคะ? เช้าวันมะรืนเชิญคุณเอาผักป่ามาคืนที่ร้านได้เลย หนูจะเอาเงินให้คุณค่ะ"
เจ้าของร้านใจดีขนาดนี้เลยเหรอ?
หลังจากนั้นนานพอสมควร ก็มีคนในกลุ่มลองเสี่ยงถามว่า "จริงๆ แล้ว ฉันกินผักโขมแล้วก็รู้สึกว่ามันแก่ไปหน่อยเหมือนกัน..."
นี่มันเดือนอะไรกัน? ผักโขมเพิ่งจะโตเต็มที่ จะแก่ได้อย่างไร?
แต่ลูกค้าคงคิดว่าของฟรีไม่ควรพลาด ซ่งถานก็ตอบกลับไปเหมือนเดิมว่า "ได้ค่ะ ถ้าใครรู้สึกว่ารสชาติไม่อร่อย เช้าวันมะรืนเราจะคืนเงินให้ทุกคนค่ะ"
ถ้ารสชาติไม่ดี งั้นก็อย่ากินเลยดีกว่า
เธอขายผัก ขายความสดชื่น ขายเอาเงิน ขายความสุขก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับคนประเภทนี้ การฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมาเป็นร้อยปี ซ่งถานแทบจะไม่รู้สึกโกรธแล้ว เพราะเธอมักจะจัดการเรื่องต่างๆ ก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มีคนอยากได้ของฟรี แต่ก็มีคนพูดตามความเป็นจริง
[พวกคุณพูดแบบนี้มันใช่เหตุผลไหม? ผักมันแก่หรือไม่แก่ ถามจริงไม่รู้ในใจเหรอ!]
[ใช่แล้วค่ะ เจ้าของร้าน อย่าไปสนใจคนพวกนี้นะ ถ้ามันแย่ขนาดนั้น ทีหลังก็ให้พวกเขาเอาผักมาคืนเลย!]
[หนูน้อย ผักป่าของหนูดีมาก! ป้ายืนยัน เก็บมาสะอาดด้วย เมื่อวานป้ากลับมาคัดตั้งนานกว่าจะเจอใบแก่ๆ มีไม่กี่ใบเอง
ไม่ใช่ผักปลอมไร้คุณภาพแน่นอน...]
[ถูกต้องเลย ใครไม่เอาก็ช่าง ฉันเอา!]
ซ่งถานแม้จะอยากได้เงิน แต่ก็อยากใช้ชีวิตอย่างสบายใจมากกว่า ดังนั้นเธอจึงตั้งโพสต์ประกาศในกลุ่มว่า