บทที่ 170 หนึ่งต่อสอง
“มันสายเกินไปแล้วที่เจ้าจะแปลกใจ!”
หลัวเฉิงตวาดเสียงเย้ยหยัน ทันใดก็ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตน แล้วเขี้ยวกรำพลังการโจมตีนี้ให้ถึงขีดสุด
“ทลายสวรรค์กระบวนท่าที่สอง สะบั้นเมฆา!”
เสียงกระบี่ทลายสวรรค์ร่ำร้องหวีดหวิว ชั่วพริบตาก็กลายเป็นแสงกระบี่หนาฟาดเข้าใส่ฟางรุ่ย ความเร็วนั้น ยากจะมองตามได้ทัน เห็นเป็นเพียงคลื่นขนาดใหญ่บนท้องฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด
“เฉาชิง เจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไมรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า ร่วมมือกันสังหารเจ้าเด็กนี่ให้ได้! ช่วยข้าสับมันให้ขาดเป็นสองท่อน! อสรพิษระบำกลางเวหา!”
เมื่อสัมผัสถึงจิตสังหารของหลัวเฉิง หนังศีรษะของฟางรุ่ยก็คล้ายจะถูกเข็มทิ่มแทงจนชา ระหว่างที่เปิดปากตะโกนเรียกเฉาชิง เขาก็ร่ายรำกระบวนท่าอันรุนแรงที่สุดออกมา ทันใดทวนในมือก็คล้ายกำลังเริงระบำกลางผืนนภา ก่อให้เกิดภาพธรรมทวนมากมายสุดคณานับพุ่งเข้าต้านปราณกระบี่ของหลัวเฉิงทันที!
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
ปราณกระบี่และปราณทวนพุ่งเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดหลายสิบครั้ง ก่อเกิดเป็นประกายแสงนับพันหมื่นส่องประกายระยิบระยับทั่วท้องฟ้า!
เพลงทวนของฟางรุ่ยนั้นรวดเร็วมากก็จริง แต่เพลงกระบี่ของหลัวเฉิงนั้นรวดเร็วยิ่งกว่า และทุกครั้งที่ฟาดฟันกระบี่เข้าใส่เขาจงใจเล็งจุดอ่อนของเพลงทวนนั้น
ติ๊ง!
ในเวลาไม่ถึงลมหายใจ ภาพธรรมทวนมากมายที่เรียงตัวกันเป็นม่านก็ถูกสะบั้นขาดในทันที
ฉัวะ!
พริบตาแสงกระบี่อันเยือกเย็นก็ตัดผ่านลำคอของฟางรุ่ย พานให้เกิดประกายเลือดสาดกระเซ็น
ในแววตาเขาจ้องยังหลัวเฉิง ในตอนที่กำลังจะเปิดปากกล่าว ศีรษะเขาก็พลันร่วงหลุดจากบ่าทันที สายโลหิตพุ่งออกมาจากรอยตัดของลำคอคล้ายกับน้ำพุขนาดย่อม
“อะไร!”
เฉาชิงที่เพิ่งสะอึกกายเข้าหาเพื่อปิดล้อมสังหารหลัวเฉิง เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ ใจเขาก็ฝ่อทันที กระทั่งรู้สึกหนาวเย็นสะท้านไปทั่วหน้าผาก
แม้เขาจะรู้สึกชิงชังฟางรุ่ย แต่เฉาชิงก็ต้องยอมรับว่าด้านฝีมือและความแข็งแกร่ง ฟางรุ่ยนั้นเหนือกว่าเขาจริงๆ!
กระนั้นแล้ว เมื่อฟางรุ่ยและหลัวเฉิงต่อสู้กัน เพิ่งประมือกันไปเพียงสองหรือสามกระบวนท่าเท่านั้น ศีรษะของฟางรุ่ยก็ถูกกระบี่สะบั้นขาด!
ชายผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
หากสู้กับชายผู้นี้ต่อไปรังแต่จะนำความตายมาสู่ตนเท่านั้น!
ฟึบ!
โดยไม่คิดลังเลอีกต่อไป เฉาชิงฟาดฝ่าเท้าลงพื้นปรับเปลี่ยนทิศทาง แล้วหันหลังวิ่งหนีในทันที!
หลัวเฉิงทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้เช่นกัน จึงหันกลับมาร่ายรำกระบี่อย่างฉับพลัน
“ทลายสวรรค์กระบวนท่าแรก สวรรค์ถล่มสายลมชะงัก!”
ฉึก!
ประกายแสงกระบี่สว่างไสวคล้ายดอกไม้สะท้อนแสงจันทร์ในยามราตรี ชั่วพริบตามันก็ทะลวงหน้าอกของเฉาชิงจนปลายกระบี่โผล่ออกมาอีกด้านของฝากฝั่งอก
“เจ้า…”
เฉาชิงก้มศีรษะลงแล้วจับจ้องปลายกระบี่บนหน้าอก จากนั้นช้อนตาขึ้นมองหลัวเฉิง ไม่ช้าแววตาเขาก็หม่นหมองมืดมนลงเรื่อยๆ ประกายแววตาสุดท้ายฉายถึงความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง
เพราะในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือความเสียใจ!
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ เขาสามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกในการทดสอบชิงอวิ๋น จากนั้นจะได้ฐานะศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวน อนาคตนั้นสดใสไร้ขีดจำกัด!
หากเขาไม่ไล่ล่าหลัวเฉิงตั้งแต่แรก วันนี้ก็คงไม่ใช่จุดจบของชีวิตอันแสนวิเศษของเขาเป็นแน่...
“ข้า...ข้ายังไม่อยาก...”
หลังคำพูดเสียงกระเส่าถูกขับขานออกมาเพียงไม่กี่คำ ร่างเฉาชิงก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงล้มฟุบลงกับพื้นทันที
หลัวเฉิงเก็บกระบี่เข้าฝักด้วยสีหน้าไม่แยแส
ไม่ว่าวันนี้เฉาชิงและคนอื่นๆ จะตายหรือไม่ แต่อย่างไรเขาก็ไม่คิดเห็นใจเป็นอันขาด
หลังรวบรวมของมีค่าจากหลายๆ ศพแล้ว หลัวเฉิงก็หยิบป้ายหยกประจำตัวของเขาออกมาแล้วเริ่มเก็บแต้มจากศพเหล่านี้
เขาหยดเลือดของเฉาชิงหนึ่งหยดลงบนป้ายหยกของตนเอง ไม่ช้าตัวเลขก็ปรากฏออกมาทันที
สามพันหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด!
“นี่มันมากกว่าสามพันแต้มเชียวรึ!”
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่คิดเลยว่าแต้มล่าสัตว์อสูรของเฉาชิงจะมากมายขนาดนี้
โดยไม่รีรออีก หลัวเฉิงรีบสืบเท้าเข้าหาร่างของฟางรุ่ย แล้วหยดโลหิตลงบนป้ายหยกตนอีกครั้ง
สองพันสามร้อยสามสิบ!
แต้มของฟางรุ่ยมีน้อยกว่าของเฉาชิง
ไม่น่าแปลกใจอันใด เพราะเฉาชิงให้เฉาจีและคนอื่นๆ ช่วยไล่ล่าแต้ม แต่ฟางรุ่ยนั้นพึ่งพาฝีมือตัวเองเพียงอย่างเดียว
เมื่อได้เห็นแต้มของตน หลัวเฉิงก็แสดงสีหน้าพอใจเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้ เฉาจีและคนอื่นๆ ได้มอบแต้มการล่าให้เขามากกว่าพันแต้ม แต่เมื่อนำมารวมกับฟางรุ่ยและเฉาชิง หลัวเฉิงหยั่งคะเนว่าแต้มการล่าในปัจจุบันน่าจะเกือบหมื่นแต้มเป็นอย่างน้อย!
ด้วยแต้มล่าสัตว์อสูรหมื่นแต้มนี้ อย่าว่าแต่เข้าเป็นสิบอันดับแรกเลย มันอาจเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของการทดสอบชิงอวิ๋นเลยก็ได้!
หลัวเฉิงเก็บป้ายหยกของตนเอาไว้ จากนั้นเหลือบมองศพของเฉาชิงและฟางรุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“วิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาวสองดวง ข้าอยากรู้นักว่าพวกเขาจะช่วยให้ข้าฝึกฝนวิชามังกรแท้จนบรรลุระดับสามได้หรือไม่!”