ตอนที่ 84 เจ้าไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากที่ไหน?
ห้านาทีที่แล้ว
นอกเมืองโบราณชิงโจว.
ยังมีเวลาอีกประมาณสิบวันก่อนงานประลองเต๋ากระบี่ชิงโจวจะเริ่ม.
เมืองโบราณชิงโจวทั้งหมดเต็มไปด้วยผู้คน และราคาอาหารที่ร้านก็พุ่งสูงขึ้น การแข่งขันเต๋ากระบี่ชิงโจวในครั้งนี้มีชีวิตชีวามากกว่างานครั้งก่อนมาก
แม้แต่สำนักอันทรงเกียรติและยอดฝีมือของแคว้นจิน ก็อยู่ที่นั่น.
ทว่า บริเวณที่มีชีวิตชีวาที่สุดคือแท่นกระบี่นอกเมือง.
จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มชุดดำได้ชนะไปแล้ว 245 รอบ
จนถึงตอนนี้เขายังไม่แพ้แม้แต่รอบเดียว.
ในท้ายที่สุด แม้แต่ยอดฝีมือเต๋ากระบี่ของรุ่นก่อนก็อดไม่ได้ที่จะท้าทายเขา.
ทว่า เพื่อความเป็นธรรม พวกเขาไม่ได้ใช้พลังภายในใดๆ และจะต่อสู้ด้วยวิชากระบี่และกระบวนท่ากระบี่เท่านั้น.
ทว่า ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเอาชนะชายหนุ่มคนนั้นได้.
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งแคว้นจิน เริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แม้แต่ราชสำนักของแคว้นจินก็ได้ข่าวเรื่องนี้ และถึงกับส่งคนไปสังเกตุการณ์.
ชายหนุ่มในชุดดำได้กลายเป็นคนที่โด่งดังไปแล้ว.
บางคนก็ดีใจ บางคนก็ไม่.
ชายหนุ่มชุดดำดีใจที่ได้ขโมยความสนใจไป แต่คนที่เสียหน้าที่สุดก็คือสำนักสี่กระบี่อัสนี.
สำนัก สี่กระบี่อัสนี นั้นดีที่สุดใน ชิงโจว และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาจะต้องเข้าไปแทรกแซงและหยุดชายหนุ่มคนนั้นไม่ให้มีอิทธิพลมากเกินไป.
ทว่า สำนัก สี่กระบี่อัสนี ได้พ่ายแพ้ไปอย่างมากแล้วและมีเพียงศิษย์รุ่นหลังเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าร่วม.
ไม่ใช่เพราะเขากำลังเตรียมตัวจะจัดเต็ม แต่เป็นเพราะเขาไม่สามารถที่จะทำให้ตัวเองและสำนักต้องอับอายได้.
ใครๆ ก็บอกว่าไม่มีศิษย์คนใดของสำนัก สี่กระบี่อัสนี ที่สามารถเอาชนะชายหนุ่มในชุดดำได้ และพวกเขาก็มีแต่จะตายเท่านั้น.
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รักษาหน้าเอาไว้ได้บ้าง.
ในเวลานี้ที่ด้านนอกประตูเมือง.
ลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี ทุกคนดูค่อนข้างหดหู่ใจ
พวกเขาอารมณ์เสียจริงๆ และดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความละอายใจ.
ลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงใน งานประลองกระบี่ ครั้งก่อน.
พวกเขาครองสถานที่และเป็นราชาที่น่าเกรงขาม.
ทว่า คราวนี้ มันแตกต่างออกไปเพราะพวกเขาพ่ายแพ้จนต้องยอมจำนน.
ศิษย์รุ่นน้องต่างพากันอับอาย แล้วพวกเขายังจะกล้าคิดเรื่องคว้าอันดับหนึ่งเชียวหรือ.
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าแค่ติดสิบอันดับได้ก็โชคดีแล้ว.
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกแย่ลงไปอีก.
“สำนัก สี่กระบี่อัสนี ของข้าจะต้องอับอายจริงๆ เหรอ?”
ลูกศิษย์บางคนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา สีหน้าและคำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความทุกข์.
“อา ใครจะคิดว่างานประลองกระบี่ชิงโจว นี้จะดึงดูดยอดฝีมือที่ทรงพลังเช่นนี้ได้จริงๆ”
“ใช่แล้ว คนๆ นี้บ้ามาก. ไม่เพียงแต่ศิษย์รุ่นเยาว์เอาชนะเขาไม่ได้แล้ว แต่แม้แต่รุ่นใหญ่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย วิชาเต๋ากระบี่ของเขา นั้นไม่อาจจินตนาการได้ จะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกได้อย่างไร”
พวกเขากระซิบในขณะที่มีคนเบียดเข้ามาอย่างเชื่องช้า.
“จริงๆ แล้ว การเอาชนะชายหนุ่มชุดดำคนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก”
จู่ๆ ใครบางคนในสำนัก สี่กระบี่อัสนี ก็พูดขึ้น.
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลูกศิษย์ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองดูคนคนนี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใช้วิธีใดหรือ?”
ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น.
“พวกเจ้าจำ... หัวหน้ากองสอดแนมได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของศิษย์นั้นฟังดูสงบ แต่เสียงของเขาก็อ่อนนุ่มมากเช่นกัน มากจนมีเพียงลูกศิษย์ในสำนักของเขาเท่านั้นที่ได้ยินเขา.
ทุกคนตระหนักรู้อย่างกะทันหันหลังจากได้ยินเช่นนั้น.
“เจ้าหมายถึงหัวหน้ากองสอดแนมนั้นน่ะเหรอ?”
"ใช่. ถ้าหัวหน้ากองสอดแนมลงมือแล้วล่ะก็ กระบี่คงไม่จำเป็นเลย. กระบวนท่ากระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวและพลังของหัวหน้ากองสอดแนมจะสามารถฆ่าเขาได้”
"ใช่ ๆ. ถ้าผู้อาวุโสซูอยู่ที่นี่ ท่านคงไม่ต้องเสียเหงื่อมากแน่.”
ทุกคนคุยกันเบาๆ ดูตื่นเต้นมาก.
“แล้วอย่างไรล่ะ ถ้าท่านผู้อาวุโสซูอยู่ที่นี่แล้วอย่างไร? ผู้อาวุโสซูจะต่อสู้กับเขาหรือ? นั่นจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสซูต้องอับอายหรือ?”
มีคนกล่าว.
“ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสซูต่อสู้เลย. ตราบใดที่ผู้อาวุโสซูให้คำแนะนำแก่ข้า ข้าก็เอาชนะคนนี้ได้”
มีคนพูดขึ้นมา เขาคิดว่าถ้าซูชางหยูปรากฏตัวที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง เพราะเขาสามารถสอนเคล็ดลับให้พวกเขาได้.
"อะไร? เจ้าต้องให้ท่านปริปากบอกเองรึ? ข้าไม่อยากโม้ แต่ผู้อาวุโสซูเป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่. ขอแค่เขาปาดรอยกระบี่ลงบนพื้น ข้าก็จะบรรลุได้ในทันทีเลยล่ะ”
“ฮ่าฮ่า เจ้าอยากให้เขาปาดรอยกระบี่เหรอ? ข้าแค่ต้องการให้ผู้อาวุโสซูมองมาที่ข้า แล้วข้าก็สามารถเข้าใจวิชากระบี่ที่ไร้เทียมทานได้ทันที. ข้าสามารถเอาชนะชายหนุ่มชุดดำคนนั้นได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเลย.”
“ช่างน่าขันยิ่งนัก. ด้วยความสามารถของเจ้า ไม่ต้องให้ท่านเอ่ยปากเลย ขอแค่ผู้อาวุโสอยู่ในระยะพันลี้ ข้าไม่ต้องมองเขาก็บรรลุด้วยเจตจำนงกระบี่ของเขาแล้ว”
ลูกศิษย์สองสามคนเริ่มคุยโวอีกครั้ง.
เนื่องจากพวกเขายังรู้สึกอับอายอยู่ พวกเขาก็เลยอาจจะสนุกปากไปด้วย.
ขณะที่พวกเขากำลังคุยโม้กัน จู่ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน.
กลุ่มนั้นสะดุดตามาก.
โดยพื้นฐานแล้วม้าศึกปีศาจมายานั้นเป็นมาตรฐานสำหรับราชวงศ์.แม้ว่าเศรษฐีบางคนอาจหาซื้อพวกมันมาได้. แต่ ความจริงที่ว่าตรงนี้มีอยู่หลายตัว จึงหมายความว่าพวกเขาเป็นราชวงศ์.
การปรากฏตัวของราชวงศ์จะไม่ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างไร?
ในขณะนี้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ม้าศึก.
สายตาของผู้ฝึกตนทุกคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าคนในรถม้าคือใคร.
ณ ตอนนี้...
รถม้าหยุดที่ทางเข้าเมือง.
ภายใต้สายตาของผู้ฝึกตนนับหมื่น มีคนก้าวออกมา.
นั่นคือหลี่หยู.
เขาเป็นคนแรกที่เดินออกไปและไม่สนใจสายตาที่จ้องมองเขาเพราะเขาคุ้นเคยกับมันแล้ว.
ซูชางหยูก็เดินไปโดยมีเย่ปิงอยู่ข้างหลังเขา
ทว่า เมื่อซูชางหยูลงมา เหล่าลูกศิษย์ของสำนักสี่กระบี่อัสนีก็มองดูเขาด้วยความประหลาดใจ.
“ผู้อาวุโส... ผู้อาวุโส... ผู้อาวุโสซู?”
“เขาคือผู้อาวุโสซู?”
“ดูสิ คนที่อยู่บนรถม้านั่นคือผู้อาวุโสซูหรือเปล่า?”
ลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี เบิกตากว้างด้วยความตกใจ.
พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อย.
พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะพบกับซูชางหยูที่นั่นจริงๆ และสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือการเห็นซูชางหยูลงจากรถม้าดังกล่าว.
'ว่าแล้วว่าเขาเป็นหัวหน้ากองสอดแนมจริงๆ.'
ม้าศึกโบราณเป็นพาหนะหลักของราชวงศ์ และซู ชางหยูก็ลงจากรถม้านั้น.
มันคือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด.
'เขาเป็นหัวหน้ากองสอดแนม'
'เจ้าสำนักมีสายตาที่เฉียบแหลมจริงๆ'
“ผู้อาวุโสซูเป็นหัวหน้ากองสอดแนมจริงๆ ก่อนหน้านี้เราวิตกกับสิ่งที่ผู้อาวุโสในสำนักพูด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสซูชอบแกล้งปลอมตัว. ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยเลยว่าเขาคิดผิดหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไป”
“เจ้าสำนักพูดถูก หัวหน้ากองสอดแนมเป็นคนติดดินมากและปลอมตัวเก่ง เมื่อข้าได้พบกับผู้อาวุโสซูก่อนหน้านี้ เขาดูธรรมดา แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะแกล้งทำตัวเป็นคนไร้ความสามารถ. เขาแค่แสดงเก่งและข้าก็เกือบจะตกหลุมพรางนั่นแล้ว”
“เลิกไร้สาระ ไปตรงนั้นกันเถอะ อย่าหยาบคาย”
“ไม่ได้สิ. เจ้าสำนักสั่งไว้ว่าห้ามให้ผู้อาวุโสซูรู้ว่าเราได้ค้นพบตัวตนจริงๆของเขาแล้วนี่?”
ลูกศิษย์สำนักสี่กระบี่อัสนี ทุกคนดูตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาส่วนใหญ่วิตกเกี่ยวกับตัวตนของซูชางหยูจริงๆ.
ทว่า ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นซูชางหยูเดินลงจากรถม้าแล้ว พวกเขาก็เชื่ออย่างสมบูรณ์ว่าซูชางหยูเป็นหัวหน้ากองสอดแนมของแคว้นจิน
ทว่า ยังมีเหล่าลูกศิษย์ที่สงบสติอารมณ์และบอกฝูงชนว่าอย่าก่อเรื่อง.
“เจ้าโง่รึ? เราก็แค่แสร้งว่าท่านเป็นผู้อาวุโสทั่วๆไปก็พอ ตราบใดที่เราไม่ได้บอกว่า เรารู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าสอดแนมแล้ว ผู้อาวุโสซูก็จะไม่รู้ว่าเรารู้แล้ว”
ศิษย์คนหนึ่งรีบพูดและอธิบาย.
“ใช่แล้ว มาปฏิบัติต่อผู้อาวุโสซูในฐานะผู้อาวุโสธรรมดากันเถอะ เลิกไร้สาระแล้วรีบไปซะ”
หลังจากที่ลูกศิษย์พูดอย่างนั้น เขาก็รีบวิ่งไปหาซูชางหยู.
พวกเขากระวนกระวายใจอย่างมาก และดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น.
ในขณะนี้ ซูชางหยูก้าวออกจากรถม้า และก่อนที่เขาจะสูดอากาศบริสุทธิ์ ก็มีเสียงหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขา.
“ผู้อาวุโสซู รีบช่วยพวกเราด้วย เรากำลังจะทำให้ ชิงโจว อับอายอย่างถึงที่สุด”
เมื่อร่างหนึ่งวิ่งเข้ามา สายตาของผู้คุ้มกันของหลี่หยู ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่พวกเขาทุกคนพร้อมลงมือ.
ทว่า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี พวกเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย.
ลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี เดินไปหา ซู ชางหยู และโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพ.
ทันใดนั้น ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างประหลาดใจ และแม้แต่ฉู ฉิวไป่และคนอื่น ๆ ที่เพิ่งลงจากรถม้าก็ประหลาดใจเช่นกัน.
สำนัก สี่กระบี่อัสนี เป็นสำนัก เต๋ากระบี่ที่เยี่ยมที่สุดใน ชิงโจว.
เจ้าสำนักนักพรตสี้จือ มีชื่อเสียงใน แคว้นจิน เนื่องจากวิชา สี่กระบี่อัสนี และตอนนี้ก็เป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ อันดับต้น ๆ ใน ชิงโจว เช่นกัน เขาถือได้ว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียง.
ในทางกลับกัน สำนัก สี่กระบี่อัสนี เป็นสำนัก เต๋ากระบี่ ระดับ 1 ใน แคว้นจิน แม้ว่าจะด้อยกว่า ตำหนักหลี่เจียนแต่พวกเขาก็มีความสามารถอย่างแน่นอน.
ทว่า สิ่งที่ทำให้ ฉู ฉิวไป่และคนอื่นประหลาดใจก็คือลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี ให้ความเคารพต่อ ซู ชางหยู เป็นอย่างมาก.
พวกเขาตกตะลึงราวกับว่าพวกเขาได้เห็นเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง.
นั่นเป็นเรื่องแปลก.
ฉู ฉิวไป่สามารถมองเห็นระดับพลังยุทธ์ของ ซู ชางหยู ได้อย่างรวดเร็ว.
เขาอยู่ที่ระดับที่ห้าของขั้นปรับแต่งพลังปราณ เท่านั้น.
ในตำหนักหลี่เจียน เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์นอกสำนักเลยด้วยซ้ำ.
แต่ทำไมลูกศิษย์สำนัก สี่กระบี่อัสนี อันทรงเกียรติถึงให้ความเคารพต่อเขามาก?
'ซู ชางหยู... เป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่จริงหรือ?'
ฉู ฉิวไป่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในฐานะนายน้อยของ ตำหนักหลี่เจียนเขาเคยได้ยินผู้เฒ่าพูดถึงเรื่องนี้.
ยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้บางคนชอบแกล้งทำเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาเพื่อฝึกฝนในโลกเซียนแห่งนี้.
ทันใดนั้น ฉู ฉิวไป่ก็สับสน.
ชางซุน เกาซาน, เนี่ยฉิน และแม่นางทั้งสองของร้านผ้าเหนือฟ้า ต่างก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน.
ทว่าฝ่ายเจ้าตัวนั้น... ซูชางหยูก็ตกตะลึงเล็กน้อย.
'คนเหล่านี้คือใคร?'
'ทำไมพวกเขาถึงรู้จักข้า?'
'นอกจากนี้ ทำไมพวกเขาถึงเรียกข้าว่าผู้อาวุโส?'
'เป็นไปได้ไหมที่คนกลุ่มนี้รู้ว่าข้าเคยเป็นหนึ่งใน 500 อันดับแรกของ งานประลองกระบี่ชิงโจว?'
ซู ชางหยู ตะลึงงันไป.
ทว่า ยิ่งเขาสับสนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งดูเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น.
ซู ชางหยูก็สับสนกับความสามารถของเขาเช่นกัน
ทว่า ในสายตาของคนนอก ความเคร่งขรึมและกลิ่นอายของเขาเป็นแบบยอดฝีมือ.
'สำนักสี่กระบี่อัสนี?'
ในช่วงเวลาถัดมา ซูชางหยูก็ตระหนักได้ทันทีเมื่อเขาเห็นเสื้อผ้าที่เหล่าลูกศิษย์สวมอยู่.
'เดี๋ยวนะ...'
'คนเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของสำนักสี่กระบี่อัสนี ทำไมพวกเขาถึงมองมาที่ข้า?'
'ช่วยพวกเขาเหรอ?'
'ยังไงล่ะ?'
'แล้วมันจะสำคัญอะไรสำหรับข้าถ้า ชิงโจว เสียหน้าไป?'
ซู ชางหยู อยู่ในสภาพสับสนอย่างมาก.
ทว่า ลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี คิดผิดว่าซูชางหยูแค่ทำตัวขรึมเฉยๆ.
พวกเขาดูอับอายทันที เพราะยังไงเสีย การบังคับให้ซูชางหยูช่วยนั้นก็มากเกินไปเล็กน้อย.
ทว่า ลูกศิษย์บางคนก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา...
“ผู้อาวุโสซู พวกเรารู้ว่าท่านไม่ชอบการทำตัวให้โดดเด่น แต่เราก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วขอรับ. ชายชุดดำคนนั้นได้ตั้งแท่นกระบี่ขวางและชนะมากกว่า 200 ครั้งติดต่อกันแล้ว. เขายังเอาชนะลูกศิษย์ของ ชิงโจว ไปได้หลายคนแล้วด้วยซ้ำ”
“คนคนนั้นดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนของ ชิงโจว. ข้าว่ามันจงใจแน่ๆ. พวกมันต้องการทำลายความภาคภูมิของลูกศิษย์ เต๋ากระบี่ แห่ง ชิงโจว พฤติกรรมแบบนี้มันเกินไปจริงๆ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยเราขอรับ.”
ศิษย์ที่อายุมากกว่าเล็กน้อยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาในขณะที่ร้องไห้ ราวกับว่าเขากำลังทำเพื่อชิงโจว ทั้งหมด และไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง.
“ผู้อาวุโสซู โปรดช่วยรักษาเกียรติยศของชิงโจวด้วยขอรับ”
ลูกศิษย์ที่เหลือก็ทำตามและพูดเพื่อขอความช่วยเหลือจากซูชางหยู.
พฤติกรรมนั้นทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนสงสัย.
"คนคนนี้เป็นใคร? เหตุใดลูกศิษย์ของสำนัก สี่กระบี่อัสนี จึงให้ความเคารพต่อเขามาก”
“ข้าไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่มากๆ”
“ยอดฝีมือเต๋ากระบี่? มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? ระดับพลังยุทธ์ของเขาอยู่ที่ระดับห้าของขั้นปรับแต่งพลังปราณเท่านั้นนี่ นั่นถือเป็นยอดฝีมือแล้วเหรอ?”
“ใช่ และเขายังดูเด็กมาก อย่างมากก็ 24 หรือ 25 ปี เขาจะเป็นยอดฝีมื เต๋ากระบี่ ได้อย่างไร”
พวกเขาทั้งหมดกำลังคุยกันอย่างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของซูชางหยู บางคนคิดว่าเขาเป็นปรมาจารย์ เต๋ากระบี่ แต่ในไม่ช้า หลายคนก็คัดค้านความคิดนั้น.
ทว่า ไม่นานก็มีเสียงที่แตกต่างกันดังขึ้น.
“ช่างโง่เขลาจริงๆ ยอดฝีมือที่แท้จริงก็ต้องซ่อนพลังเอาไว้อยู่แล้ว. เจ้าจะมองผ่านเขาอย่างง่ายดายได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว. ทุกวันนี้มียอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากที่ต้องการซ่อนระดับพลังยุทธ์ของตน. อาจดูเหมือนว่าเขาอยู่ที่ระดับ 5 ที่ภายนอก แต่เขาอาจจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นมหายานแล้วก็ได้.”
“ใช่ ใช่ ใช่ เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นปรับแต่งพลังปราณที่ภายนอก แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยพบกับยอดฝีมือที่แกล้งทำเป็นขอทาน เพื่อนของข้ามอบขนมให้เขาด้วยความใจดี แต่ยอดฝีมือคนนั้นก็ได้เปิดเผยตัวตนและมอบขนมให้เพื่อนของข้าหนึ่งร้อยชิ้นเป็นการตอบแทน นั่นไม่น่าประทับใจเลยเหรอ?”
“ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว ยอดฝีมือคนนั้นป้อนขนมให้เขาด้วยใช่ไหม”
“เขายังชวนไปที่บ้านของเขาด้วย”
“พวกเจ้าพูดพล่ามเรื่องอะไร? จริงๆ แล้ว เจ้าไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก. ผู้ฝึกตนในขั้นที่สูงกว่าสามารถปรับเปลี่ยนขั้นพลังของตนเองได้ ชายคนนี้มีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาอยู่ในขั้นปรับแต่งพลังปราณน่ะ”
"ข้าด้วย. เขาคงไม่มีกลิ่นอายเช่นนี้ในขั้นปรับแต่งพลังปราณแน่. กลิ่นอายของเขายอดเยี่ยมมาก พูดตามตรง ข้าเคยเรียนรู้ทักษะบางอย่างและคนคนนี้ดูเหมือนเป็นจ้าววรยุทธเลย.”
ผู้คนกำลังพูดคุยกันอย่างเร่าร้อน และบางคนก็วิเคราะห์อย่างรอบคอบ ในขณะที่บางคนก็พูดพล่ามเรื่องไร้สาระ มีความคิดเห็นที่หลากหลาย.
ทว่า เมื่อยืนอยู่ใต้รถม้า ซู ชางหยู รู้สึกสับสน.
เขาไม่คิดเลยว่าพวกเขาต้องการให้เขาท้าทายชายหนุ่มชุดดำ.
'ข้าเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้. ข้าจะท้าทายคนที่ชนะมากกว่า 200 รอบติดต่อกันได้อย่างไร?’
'พวกเขาพูดแบบนั้นได้ยังไง?'
'ใครทำให้เจ้ากล้าพูดคำแบบนี้?'
ทว่า ก่อนที่ซูชางหยูจะได้พูดอะไร...
ทันใดนั้น ฝูงชนหนาแน่นก็แยกออกเพื่อเปิดทาง.
ข้างหน้า ในระยะครึ่งลี้ ชายหนุ่มในชุดดำยืนอยู่ท้ายถนนและมองซูชางหยูจากระยะไกล.