ตอนที่แล้วบทที่ 21
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 23

บทที่ 22


ความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ผู้ชายมีต่อรถนั้นยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ก็ตาม

ซ่งซานเฉินยังคงบ่นพึมพำไม่หยุดหลังจากวางสายโทรศัพท์ไปได้ไม่นาน เขาบอกว่าขับรถคนเดียวไม่ค่อยปลอดภัย แถมถนนหนทางบนภูเขายังจะทำไว้ไม่ค่อยดีอีก รถมือสองก็หายากมากในสมัยนี้

แต่พอมาถึงสถานที่ตามนัดหมาย เพื่อนของเขาก็พาไปโกดังเพื่อดูรถที่จอดเรียงรายซ้อนกันเป็นแถวอยู่ ซ่งซานเฉินรีบกลืนคำพูดตัวเองไปทันที

ตอนนี้กำลังตัดสินใจระหว่างรถตู้และรถกระบะ

"ถานถาน รถตู้ไม่กลัวลมหรือฝนก็จริง แต่จุของได้น้อยกว่า ไม่งั้น..."

"รถกระบะบรรทุกของได้เยอะกว่า แต่ถ้าสภาพอากาศไม่ดี ของที่อยู่ด้านหลังก็เปียกฝนได้นะซานเฉิน"

"รถกระบะบรรทุกของได้เยอะ แต่รถตู้ก็สามารถนั่งได้หลายคนนะ นายจะซื้อเอาไปใช้งานอะไรเป็นหลัก ไม่ได้เอาไปขายผักตามตลาดใช่ไหมล่ะ..."

คุณพ่อของเธอนี่...โดนคนอื่นหลอกล่อจนหาทางกลับไม่เจอแล้ว เธอจะซื้อรถมาเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อขายผัก? อีกอย่างที่นาหลายไร่ เธอตั้งใจจะปลูกพืชผักตั้งหลายอย่าง ถ้าหาซื้อรถที่บรรทุกของไม่ได้เยอะ ก็ต้องเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่กัน

รถกระบะมือสองราคา 46,500 หยวน รวมป้ายทะเบียนและอื่นๆ อีกมากมาย ถึงแม้ซ่งถานจะไม่ค่อยรู้เรื่องรถ แต่เธอก็ดูคนขายรถอย่างละเอียดรวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่สำคัญ แอบเหลือบไปมองคนขายก็ดูมีบุคลิกดีน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

ซ่งซานเฉินบ่นพึมพำตลอดการเดินทางระหว่างไปที่ว่าการอำเภอ เขานั่งอยู่เบาะข้างคนขับอย่างไม่เป็นสุขพลางถอนหายใจเป็นระยะๆ "เฮ้อ รถนี่เกียร์ธรรมดาใช่ไหมลูก? งั้นหนูจะขับได้เหรอ? ให้พ่อเข้าเมืองไปเป็นเพื่อนตอนขายผักด้วยดีไหม นี่… เส้นทางมันดูคดเคี้ยวใช่เล่นนะลูก"

ซ่งถานกลั้นขำ "อืม ไปด้วยกันสองคนก็มีเพื่อนคุยดีนะคะ"

ซ่งซานเฉินไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของเธอ ตอนนี้ก็จ้องหน้าปัดรถไม่วางตาเชียว

กลับไปที่ตัวเมืองเพื่อรับบัตรประจำตัวประชาชน เสร็จแล้วก็ซื้อตะกร้าพลาสติกมาเพิ่มอีกหลายๆ ใบ เนื่องจากตะกร้าที่เดิมมีอยู่ดูไม่ค่อยได้ทรงตามมาตรฐานเท่าไรนัก วางผักซ้อนๆ กันไม่ได้ เป็นการเปลืองพื้นที่ตะกร้าไปโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อรถคันใหม่จอดถึงหน้าบ้าน

ดูสิ รถจอดอยู่หน้าบ้านพอดี แม้ที่นี่ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนบทอย่างหยุนเฉียวจะค่อนข้างห่างไกลความเจริญจากตัวเมือง และบ้านข้างเคียงแต่ละหลังก็ค่อนข้างห่างไกลกันมาก แต่อู่หลานก็ยังอดเสียดายเงินที่ใช้ซื้อรถไปไม่ได้ แต่ตอนนี้พอได้เห็นรถที่สภาพยังดูใหม่ไม่ได้โทรมมาก ก็แอบดีใจว่าบ้านของตนเองในที่สุดก็มีรถสักที (ถึงแม้จะเป็นรถกระบะมือสอง) ก็รู้สึกภูมิใจอย่างล้นเหลือ

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องขายผักป่าต้องเป็นความลับ เกรงว่าตอนนี้เธอคงจะออกไปลูบถูรถอวดประชาชนให้สาแก่ใจแล้ว

“รถคันนี้ดีนะลูก ดูใส่ของได้เยอะ ขนของชิ้นใหญ่ก็คงสะดวกด้วย ถานถานผักป่าที่เราไปดูมา ปีนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้งอกงามดีจัง พรุ่งนี้ก็ขายต่อได้แล้ว หรือว่าเราจะรีบไปเก็บต่อกันช่วงบ่ายนี้เลยดี”

เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้ถูกล่อด้วยเงินแล้ว

ซ่งถานส่ายหัว “แม่ ไม่ต้องรีบหรอก เมื่อวานนี้คนที่ซื้อผักส่วนใหญ่ก็เพิ่มเข้ากลุ่มไลน์หนูแล้ว ต้องให้เวลาพวกเขาได้คิดถึงนิดนึง”

ถ้าไม่ทำให้เห็นว่าผักป่าบ้านเราหายาก จะสร้างชื่อเสียงได้อย่างไร ถูกไหมล่ะ?

ตอนนี้ผักป่าขายในราคา 30 หยวนก็ไม่แพง แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อผักและผักป่าฤดูใบไม้ผลิอื่นๆ ออกสู่ตลาดแล้ว ราคาเท่านี้ก็ไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะต้องเจอคู่แข่งทางการตลาดเข้าห้ำหั่นราคาเชือดเฉือนกัน

แต่ถ้าจะลดราคา ซ่งถานก็ไม่เต็มใจเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไร เธอจึงคิดใช้กลยุทธิ์ล่อให้ลูกค้าติดลมอยากกินผักป่าร้านเธอก่อน! ยิ่งไปกว่านั้น “แม่ กินผักป่าต่อตอนเย็นเลย”

ตอนนี้มีแต่ผักป่าที่ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ นั่นทำให้เธออยากจะเร่งการเจริญเติบโตของผักให้สูงขึ้นด้วยลมปราณจนทั่วทั้งหุบเขา จะได้เพียงพอต่อทั้งการกินและขายในเวลาเดียวกัน แต่ทั้งนี้เธอกลับยังอธิบายให้แม่เข้าใจไม่ได้

อู่หลานปฏิเสธทันที “ไม่ได้หรอก สามสิบหยวนต่อกิโล เราจะกินบ่อยๆ ไม่ได้ มันจะร้อยกว่าหยวนเข้าไปแล้ว”

ซ่งถาน : เธอก็รู้

แต่ตอนนี้ไม่สนใจคำพูดของแม่เธออีกต่อไปแล้ว เดินไปหยิบตะกร้าขึ้นมาทันที “เฉียวเฉียว ไปขุดผักกัน”

ถ้าไม่ใช่เพื่อจะได้กินของดีๆ เธอจะยอมสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปตั้งมากมายทำไม ทั้งที่ตอนนี้เธอเองยังฝึกไม่สำเร็จถึงขั้นด่านทองคำเสียด้วยซ้ำ

สุดท้าย ตกเย็นครอบครัวตระกูลซ่งทั้งสี่คนก็ยังคงได้กินผักป่าตามที่ซ่งถานวางแผนไว้

ผักเข้าปาก อู่หลานก็ไม่พูดอะไรเรื่องสิ้นเปลืองเงินอีกแล้ว กลับพึมพำว่า "เราต้องให้คุณย่ากับคุณปู่ท่านได้ลองชิมดูบ้าง"

ซ่งถานก็ไม่ได้ลืมเรื่องนี้ แต่ว่า...

"อีกสักพักเถอะแม่ ตอนนี้ผักป่าเพิ่งงอกขึ้นมาไม่มาก ถ้าเราส่งไปให้ มันจะดูสะดุดตาเกินไป"

เพราะเร่งด้วยพลังลมปราณ เธอจึงไม่สามารถทำอะไรที่ทำให้คนอื่นดูเหลือเชื่อมากเกินไปได้ ปัจจุบัน ผลผลิตทุกๆ สองวันก็อยู่ที่ประมาณร้อยกว่ากิโลกรัม ซึ่งถือว่ามากมายมหาศาลสำหรับผักป่าแล้ว ถ้าส่งไปให้ตอนนี้ ด้วยรสชาติที่อร่อยขนาดนี้ จะไม่ต้องส่งให้ทุกวันหรือไง แล้วถ้าพวกเขารู้สึกว่ามันเป็นแค่ผักป่าธรรมดา แล้วพากันมาขุดเอง... นั่นคงจะทำให้ชีวิตเธอลำบากเพิ่มขึ้นอีกมาก

การบำเพ็ญเพียรวิชาเซียนนั้นยิ่งต้องเข้าใจรากเง่าความรู้สึกของมนุษย์ ซ่งถานมองออกทะลุปรุโปร่ง

"รออีกครึ่งเดือน ตอนนั้นอากาศจะอบอุ่นขึ้น ผักป่าก็จะงอกเงยขึ้นมาเยอะกว่านี้ ตอนนั้นเราก็ค่อยแบ่งสัดส่วนไว้ปลูกกินเองบ้าง กับขายบ้าง แยกออกจากกันชัดเจนไปเลย กินกันเองในครอบครัว แล้วก็แบ่งให้คุณปู่คุณย่าด้วย"

อีกครึ่งเดือน ต้นถั่วม่วงก็จะโตขึ้นจนอ่อนนุ่มแล้ว สามารถนำไปขายได้

สมกับที่เป็นฉัน!

ซ่งถานรู้สึกว่าความรู้ทางธุรกิจของตนเองนั้นยอดเยี่ยมมาก

ในขณะเดียวกันทางเขตเทศบาล เมืองชุมชนริมน้ำ เฉาหยางเลิกงานแล้วจึงพาภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์กลับบ้าน แม่ของเขาก็ทำอาหารเย็นตั้งโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอกระทั่งเมื่อเห็นลูกสะใภ้กลับเข้าห้องนอนก็แสดงความกังวลออกมา "ฉินฉินยังกินไม่ได้อีกเหรอ"

ลูกสะใภ้ตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว กินอะไรก็อาเจียนออกมาตลอด แค่ได้กลิ่นควันน้ำมันก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว ช่วงนี้จิตใจก็แย่มากด้วย คนในบ้านต้องเป็นทุกข์ตายแน่ๆ

แม่ของเฉาหยางเห็นลูกสะใภ้มีอาการอย่างนั้น ก็ลองคิดๆ ดู "หรือว่าลูกจะใช้ตะเกียบคีบกับข้าวให้ฉินฉินชิมก่อนสักหน่อยดี นี่เป็นผักที่แม่ซื้อมาตั้งแต่เช้า ลองเอาไปป้อนน้องดูหน่อย เมื่อเช้ามีเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งเธอพาน้องชายมาขายผักที่ตลาด บอกว่าเพิ่งขุดได้จากในหมู่บ้าน"

เธอพูดจาจ้อกแจ้ก แต่จริงๆ แล้วก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ "แต่คือมันแพงมาก ผักกาดหอมกิโลนึงทั่วไปแค่สิบห้าเองลูกก็รู้ ตอนนั้นมีคนแย่งกันซื้อเยอะมาก แม่ได้ยินก็เลยพลอยตื่นเต้นตามเข้าไปเตรียมจะซื้อด้วย ทีแรกก็นึกว่าจะราคาเท่าๆ นี้ไม่ห่างกันมาก ที่ไหนได้กำละสามสิบนู่น ราคาเท่านั้นใครจะกล้าซื้อ! ลูกว่าผักกาดหอมอะไรมันจะอร่อยขนาดนั้นถึงราคาแพงหูฉี่เลย! "

เฉาหยางก็อดกลืนน้ำลายตามไม่ได้ ผักกาดหอมเหรอถ้าลองเอามาห่อเป็นเกี๊ยวรสชาติก็คงดีไม่แพ้ผักโขมหรือผักกาดขาวแน่ๆ พรุ่งนี้สั่งมากินที่ทำงานดีกว่า ร้านเกี๊ยวข้างๆ ก็มี

"นี่ไง แค่ผักเบี้ยใหญ่คำนี้เล็กนิดเดียวเองลูก เอาไปป้อนน้องหน่อยเถอะ ลวกน้ำทีก็หดหมดแล้ว"

จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว จนไม่รู้ว่ากำลังบ่นเรื่องผักสดแพง หรือบ่นเสียดายเรื่องที่ไม่ได้ซื้อผักกาดหอมกันแน่

จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไปสักพัก เมื่อพอเฉาหยางได้ยินแบบนี้เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ คลื่นลมในท้องปั่นป่วนตีกันอีกแล้ว ภรรยาของเขาเพิ่งจะปฏิเสธกับข้าวไปหยกๆ แต่สามียังต้องกลับไปบังคับยื่นอาหารเข้าปากเธออีกรอบ

"แต่ว่าผักเบี้ยใหญ่ก็คงดีเหมือนกันนะครับ แก้ร้อนใน"

บางทีนี่เป็นผักที่เพิ่งขุดได้จากสวน กินแล้วอาจจะอร่อยกว่าผักในโรงเรือนก็ได้ เขาจึงตักอาหารใส่ชามด้วยตะเกียบคีบ แล้วเดินไปที่ห้องนอนภรรยา "ฉินฉิน ชิมผักนี้หน่อยสิ แม่บอกว่าเป็นผักเบี้ยใหญ่ ใส่พริกขี้หนูเล็กน้อยแล้วคลุกเคล้าเย็นๆ..."

บนตะเกียบมีใบผักสีเขียวอยู่สองสามใบ

เธอทำท่าครุ่นคิด แล้วก็อ้าปาก เคี้ยวช้าๆ กลัวว่าเดี๋ยวจะมีอาการอีก

แต่ว่าผักนั้นพอเข้าปาก รสชาติกลับสดชื่น กรอบ อร่อย เผ็ดร้อน สดชื่น...รสชาติต่างๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัว บอกไม่ถูกเลยว่าอร่อยแค่ไหน!

ท้องของเธอส่งเสียง "โครกคราก" รู้สึกเหมือนหิวจนคลั่งแล้ว!

เฉาหยางยังคงมองเธออย่างกังวล "เป็นยังไงบ้าง"

ฉินฉินค่อยๆ กลืนผักเบี้ยใหญ่สองสามใบในปากลงไป รู้สึกเหมือนท้องเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่งขอให้สามีตักเพิ่มอีกหน่อยไม่ยอมหยุด

เธอรีบลุกขึ้น

"คุณรีบตักข้าวมาให้ฉัน ฉันจะกินกับข้าวจานนี้! "

พูดแล้วก็อดใจไม่ไหว รีบผุดลุกออกจากห้องนอนตรงไปที่โต๊ะอาหารทันที ข้าวก็ยังไม่ทันจะตัก ก็จัดการกับข้าวไปครึ่งหนึ่งแล้ว

แม่ครัวอย่างแม่สามีพอมองดูแล้วก็อดบ่นชื่นใจไม่ได้ “โอ๊ย! โอ๊ย! รู้งี้แม่ซื้อมาหลายๆ อย่างก็ดี”

พูดแล้วก็เสียดาย สามสิบหยวนก็ไม่ได้แพงอะไรนี่นา เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิด้วย ผักก็ราคาประมาณนี้ทั้งนั้น แถมไม่ใช่รสชาติจะอร่อยหอมสดกว่าผักในโรงเรือนอีกเหรอ ทำไมจะไม่คุ้มค่าที่จะซื้อล่ะ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด