บทที่ 163 ศักดิ์ศรีเทียบชีวิต!
แต้มล่าอสูรสองพันแต้ม!
หากแบ่งออกเป็นสามแต้มต่อสัตว์อสูรสองดาว นั่นเท่ากับว่าต้องล่าสัตว์อสูรสองดาวมากถึงหกหรือเจ็ดร้อยตัว!
นี่นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงใช่เล่นทีเดียว!
ผลลัพธ์ดังกล่าว สามารถเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของการทดสอบชิงอวิ๋นได้อย่างแน่นอน
แม้นเป็นเช่นนั้น แต่หลัวเฉิงก็ยังคงไม่มั่นใจเท่าไรนัก ว่าจะสามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นๆ ตัวเต็งสิบอันดับแรกแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมากในหมู่ศิษย์ พวกเขาคงดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้าร่วมกลุ่มแล้วมอบแต้มล่าสัตว์อสูรให้อย่างแน่นอน!
หากหลัวเฉิงต้องการอยู่ในสิบอันดับแรก ก็เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือการปล้นแต้มจากตัวเต็งที่ติดสิบอันดับแรก!
แน่นอนว่าเป้าหมายที่ดีที่สุดของเขาก็คือหลินจินไท่!
หากผู้ใดล่วงรู้ความคิดของหลัวเฉิงยามนี้ ก็คงตราหน้าว่าเขากลายเป็นคนบ้าเพี้ยนไปแล้ว!
ไม่มีตัวเต็งติดสิบอันดับแรกคนใดไร้ความสามารถ ความคิดที่จะเข้าปล้นแต้มนั้นเท่ากับการแสวงหาความตายดีๆ นั่นเอง
หลัวเฉิงไม่ได้ใคร่ครวญหรือหวาดกลัวในเรื่องเหล่านี้
ต่อให้เป็นตัวเต็งสิบอันดับแรกก็หาใช่คู่มือเขายามนี้ไม่
ผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหกขึ้นไป ในสายตาเขาคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ไก่และสุนัขเท่านั้น
หลังจากบุกเข้าไปใจกลางเกาะหลายสิบลี้ ในที่สุดหลัวเฉิงก็ได้ทราบตำแหน่งของหลินจินไท่จากศิษย์บำรุงสำนักคนหนึ่งที่บังเอิญพบระหว่างทาง
และก็เป็นไปตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้
หลินจินไท่ยามนี้ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเกาะชิงอวิ๋นเช่นเดียวกัน!
“หลินจินไท่ ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้กับสองฝ่ามือในวันนั้นแล้ว!”
ครั้นนึกถึงการข่มขู่ที่หลินจินไท่แสดงต่อเขาเมื่อพบกันครั้งแรก แววตาของหลัวเฉิงก็เปี่ยมด้วยความเย็นชา
หลังมุ่งหน้าค้นหาเข้าไปในป่าลึกอีกราวครึ่งชั่วยาม หลัวเฉิงก็ยังไม่ปรากฏพบร่องรอยของหลินจินไท่แต่อย่างใด
สิ่งนี้มันทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจใช่น้อย ในหัวต่างนึกแผนการมากมายว่าจะหาตัวเขาให้พบรวดเร็วกว่านี้ได้อย่างไรดี
“หืม?”
ขณะเดียวกันนี้ เสียงการต่อสู้อึกทึกก็สะท้านเข้ามาในโสตประสาทของหลัวเฉิง
เช่นนั้นจะรอช้าได้อย่างไร เขารีบเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วไปยังทิศต้นเสียง แต่เขาก็ยังไม่คลายความหวาดระแวงลง
ไม่นานจากนั้นนัก หลัวเฉิงก็เห็นเงาตะคุ่มของคนกลุ่มหนึ่ง
ท่ามกลางป่าทึบ กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
แปดศิษย์บำรุงสำนักกำลังไล่ตามชายหนุ่มชุดน้ำเงิน!
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินก็ใช่ว่าจะมีฝีมือธรรมดา ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่ เขาต่อสู้และล่าถอยในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไล่ล่าเขานั้นก็ใช่จะไร้ฝีมือ ระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาอยู่ระหว่างระดับสามและสี่ของขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ไม่นานกลุ่มเหล่านั้นก็เข้าล้อมชายชุดน้ำเงินได้สำเร็จ
ชายหนุ่มสวมชุดแดงโลหิต มีกระบี่ยาวแขวนอยู่ที่เอว ดวงตาเฉียบคมกำลังเดินออกมาหน้าฝูงชนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เซวียเหิน! เป็นอะไรไป เจ้าไม่คิดจะหนีแล้วกระนั้นหรือ?”
ใบหน้าของเซวียเหินซีดเซียว บนชายอาภรณ์สีน้ำเงินเขาถูกแต้มด้วยคราบเลือด แววตาประกายความเศร้าหมองคล้ายคนสิ้นหวัง
“เฉาจี เจ้ามันก็เป็นแค่สวะ อาศัยคนหมู่มากรังแกคนน้อย หากเจ้ามีความสามารถก็เข้ามาประมือกับข้าตัวต่อตัวเป็นอย่างไร! หากแพ้ข้าจะยอมตาย! แต่หากเจ้าแพ้ก็จงปล่อยข้าไป”
“เพ้ย! คนเยี่ยงเจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาต่อรองกับข้ากัน”
ชายหนุ่มชุดโลหิตนามเฉาจี ตะคอกอย่างเหยียดหยาม จากนั้นยกสองนิ้วขึ้นแล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“ตอนนี้ข้ามีให้เจ้าสองทางเลือก ทางเลือกแรกจงมอบแต้มการล่าสัตว์อสูรทั้งหมดของเจ้าให้เฉาฉิงลูกพี่ลูกน้องข้า และพร้อมใจช่วยให้เขาคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบชิงอวิ๋น!”
“สวนทางเลือกที่สอง ตาย!”
ศิษย์บำรุงที่อยู่ถัดจากเฉาจีกล่าวขึ้นว่า “เซวียเหิน เจ้าไม่สามารถติดหนึ่งในสิบอันดับแรกได้อยู่แล้ว เหตุไฉนจึงไม่เข้าร่วมกับศิษย์พี่เฉาชิง หากศิษย์พี่เฉาชิงได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก เจ้าย่อมต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว”
เซวียเหินเหลือบมองคนเหล่านั้นทีละคนแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ข้ามีมือมีเท้า ไยต้องไปพึ่งพาอาศัยเฉาชิงด้วย พวกเจ้าแต่ละคนล้วนฝีมือไม่เลว แต่ไฉนจึงยินดีเป็นสุนัขรับใช้กัน แม้จะถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแต่กลับไม่คิดเสียใจ ช่างน่าสมเพชนัก!”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
“อยากตายนักหรืออย่างไร!”
ศิษย์บำรุงสำนักเหล่านี้ทางเลือดขึ้นหน้าจนแดงก่ำ ศักดิ์ศรีความเป็นคนยามนี้กลับถูกวาจาของเซวียเหินหมดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
เฉาจียกมือขึ้นปรามทุกคน แววตาจ้องยังเซวียเหินแล้วกล่าวเสียงเยือกเย็น
“เซวียเหิน ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมและความสามารถอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า อย่าได้ทำผิดพลาดเด็ดขาด! เจ้ารู้ไหมว่าทำไมทุกคนถึงได้ตามล่าหลัวเฉิง เพราะมันไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว บังอาจไปทำให้คนที่ไม่ควรต้องขุ่นข้องหมองใจ!”
“เพียงแค่ศักดิ์ศรี ไหนเลยจะสามารถเปรียบกับชีวิตของตนได้”
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะเข้าร่วมกับลูกพี่ลูกน้องของข้าหรือไม่”