บทที่ 162 จากเหยื่อเป็นผู้ล่า
หลัวเฉิงส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วเก็บกระบี่เข้าฝัก
หลังจากกลืนวิญญาณยุทธ์ของหวงเที่ยแล้ว หลัวเฉิงก็ล้วงหยิบป้ายหยกประจำตัวของตนออกมาอย่างใจเย็น
ตอนนี้เขาไม่กลัวที่จะถูกผู้ใดพบเจออีกต่อไป
หรือหากถูกคนอื่นหาเจออาจเป็นการดีกว่าด้วยซ้ำ!
เขาไม่ได้อยากฆ่าใคร แต่หากมีคนแสวงหาความตายนั่นก็อีกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรแท้หรือการก้าวหน้าทางพลังยุทธ์ ก็จำเป็นต้องกลืนวิญญาณยุทธ์ผู้อื่นเช่นกัน!
ตอนนี้ หลัวเฉิงไม่ใช่เหยื่อให้ผู้อื่นไล่สังหารอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นนักล่ากระหายเลือด!
ทันทีที่ป้ายหยกประจำตัวถูกแช่ลงไปในโลหิตของหวงเที่ย หมายเลขสามร้อยสี่สิบห้าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างโดดเด่น!
“ไม่เลวเลย ขอบคุณที่นำแต้มมากมายมามอบให้ข้าถึงมือเช่นนี้!”
หลัวเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยระคนสำราญ
สัตว์อสูรระดับกลางสองดาวมีเพียงสามหรือสี่แต้มเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหวงเที่ยสังหารสัตว์อสูรสองดาวมากกว่าร้อยตัวนั่นเอง!
หลัวเฉิงหยิบขวดหยกโอสถเลือดลมสองขวดจากหวงเที่ย ภายในนั้นมีอย่างน้อยก็เกือบร้อยเม็ดเห็นจะได้!
ทว่าโอสถเลือดลมบางเม็ดก็ยังคงมีคราบเลือดปะปนอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าหวงเที่ยปล้นชิงโอสถเลือดลมเหล่านี้จากศิษย์บำรุงสำนักคนอื่นๆ
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ามีแต้มมากมายเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่ามีผู้คนต้องสังเวยเลือดเป็นเหยื่อเจ้ากี่คนกัน…”
เมื่อมองโอสถเลือดลมเหล่านี้ หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงความเหี้ยมโหดของการทดสอบชิงอวิ๋น
แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะการปล้นชิงเอาแต้มจากผู้อื่นนั้นง่ายกว่าการลงมือลงแรงออกล่าสัตว์อสูรด้วยตนเอง
แน่นอนว่าคู่ที่จะกล้ากระทำการเช่นนี้ต้องมีความแข็งแกร่งไม่น้อย!
ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นอย่างหวงเที่ยผู้หน้าสังเวช!
นอกจากโอสถเลือดลมแล้ว หลัวเฉิงยังค้นพบคัมภีร์เกี่ยวกับเพลงหมัดอีกด้วย
บนปกมีรอยฉีกขาด เหลือไว้เพียงคำว่า “ติ่ง” เท่านั้น
“ไม่รู้เลยว่าเป็นวรยุทธระดับใด”
หลัวเฉิงนึกถึงพลังอัศจรรย์ของหมัดที่หวงเที่ยใช้ออกมาเมื่อครู่ จึงคิดตัดสินใจกลับไปศึกษามันอย่างละเอียด
เพลงหมัดสยบภูผา เป็นเพียงเพลงหมัดระดับสามดาว แม้จะฝึกฝนจนบรรลุขั้นปรมาจารย์ แต่ปัจจุบันพลังของมันที่หลัวเฉิงปลดปล่อยออกไปนั้นมีค่อนข้างจำกัด
หลังเก็บคัมภีร์เอาไว้ หลัวเฉิงก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
เดิมทีเขาคิดว่า การโจมตีจนเสียงอึกทึกนั้นมันจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาเสียอีก
แต่จวบกระทั่งยามนี้ ก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็นแม้เพียงคน
“ดูท่าว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเกาะแล้วกระมัง”
ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ทั้งยังผ่านไปอีกหลายชั่วยามนับแต่การทดสอบชิงอวิ๋นเริ่มต้นขึ้น
หลัวเฉิงจึงประเมินว่าผู้คนส่วนใหญ่ได้มุ่งเข้าสู่ใจกลางเกาะแล้ว
เมื่อทอดสายตามองยังยอดเขายักษ์สูงตระหง่าน สีหน้าของหลัวเฉิงก็เข้มขึ้นทันที
“ไม่รู้เลยว่าหลินจินไท่อยู่ที่ใดกัน แต่ในเมื่อผู้อาวุโสเหอต้องการเอาชีวิตข้า ดังนั้นข้าจะสังหารลูกศิษย์ที่เขาไว้ใจมากที่สุด! เลือดย่อมต้องล้างด้วยเลือด!”
สุ้มเสียงของหลัวเฉิงล้วนแฝงไว้ด้วยเจตนาฆ่าอันแรงกล้า
ใจเขามุ่งมั่นอยากล้างแค้นมาโดยตลอด อีกทั้งผู้อาวุโสเหอยังต้องการสังหารเขา ในใจยามนี้ความเมตตาพลันมลายสิ้น!
เขาสะอึกกายเพียงครั้งเดียว ร่างก็คล้ายจะกลายเป็นควันจางๆ ลอยอย่างรวดเร็วเข้าไปในป่าทึบ
ภายในป่าบนภูเขารกร้างเก่าแก่ ร่างของหลัวเฉิงนั้นรวดเร็วประดุจภูตผีปีศาจ แน่นอนว่าเส้นทางคือใจกลางเกาะซึ่งเป็นยอดเขาสูงตระหง่าน
ด้วยปราสาทรับรู้อันเฉียบคม ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเกาะมากเท่าไหร่ จำนวนของสัตว์อสูรก็ยิ่งหนาแน่น และความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
หลินจินไท่เป็นหนึ่งในตัวเต็งสิบอันดับแรก หากเขาต้องการแข่งขันเพื่อหมายคว้าเป็นอันดับหนึ่ง มาตรว่าเขาต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเกาะเป็นแน่!
ระหว่างทาง หลัวเฉิงก็มิได้เกียจคร้านเช่นกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร เขาก็จะสังหารพวกมันให้สิ้นแล้วกลืนกินจิตวิญญาณ
ในระหว่างเดินทางอยู่นั้น หลัวเฉิงก็ยังได้พบลูกศิษย์บำรุงสำนักอีกหลายคน
ทว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หมางเมินหลัวเฉิง และต่างฝ่ายก็แยกย้ายไล่ล่าสัตว์อสูรของตนเอง
แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้เห็นหลัวเฉิงก็คล้ายดั่งได้พบขุมสมบัติล้ำค่า แววตาเหล่านั้นล้วนเห็นว่าหลัวเฉิงตกเป็นเหยื่อ จึงคิดร้ายหมายชีวิตเพื่อไขว่คว้าตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอกของสำนัก
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลัวเฉิงจะไม่ปรานีต่อผู้โง่เขลาตาบอดเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเข้าโจมตีหลัวเฉิง ชั่วพริบตาก็ล้วนกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนภายใต้คมกระบี่ทันที!
เมื่อหลัวเฉิงมาถึงบริเวณใต้เชิงเขา ศิษย์รับใช้มากกว่าสี่สิบคนต่างก็ตายด้วยคมกระบี่เขาทั้งสิ้น!
แต้มล่าอสูรที่คนเหล่านี้มอบให้ มากเกือบพันแต้ม!
หลัวเฉิงประมาณการว่า แต้มล่าอสูรทั้งหมดของเขาในปัจจุบัน น่าจะอยู่ที่สองพันเป็นแน่!