บทที่ 161 ทุ่มสุดกำลัง
“คนสุดท้ายที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้ามันได้ตายไปแล้ว”
หลัวเฉิงมองหวงเที่ยแล้วกล่าวด้วยสุ้มเสียงเย็นชา
“ฮ่าฮ่า ไอ้พวกไม่ได้เรื่องเหล่านั้นจะเอามาเปรียบกับข้าได้อย่างไร!”
หวงเที่ยหัวเราะพลางย่างสามขุมเข้าหาหลัวเฉิงทีละก้าว แววตาส่องประกายความเหยียดหยามพร้อมกับใบหน้าที่หยิ่งผยองยิ่ง “แค่เจ้า หมัดเดียวก็เกินพอ!”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี ข้ายังไม่เคยต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้ามาก่อน ขอทดสอบความแข็งแกร่งปัจจุบันของข้ากับเจ้าแล้วกัน”
“เฮอะ วาจาใหญ่โตนัก คิดว่าคนไร้ค่าเยี่ยงเจ้าจะคู่ควรกับฝีมือของข้าหรือไรกัน? แค่หมัดเดียวเจ้าก็คงนอนตายไปแล้วกระมัง!”
แววตาหวงเที่ยเปี่ยมด้วยความอำมหิต เขาสะอึกกายเข้าหาปรากฏตัวเบื้องหน้าหลัวเฉิงอย่างฉับพลัน ทันใดก็ง้างหมัดชกเข้าอย่างจังโดยไม่ใช้วรยุทธ
หลัวเฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่โดยแววตาไม่มีความครั่นคร้าม ระหว่างเผชิญหน้ากับศัตรูที่โจมตีเข้ามาอย่างกระชั้นชิด จึงสวนตอบออกไปด้วยหมัดเรียบง่ายคล้ายมิได้ออกแรง
ปัง!
หมัดทั้งสองปะทะกันอย่างแรงเสียงดังกึกก้องกัมปนาทดุจดั่งฟ้าร้องคำรามลั่น ห้วงอากาศสั่นสะท้านกระจายตัวออกไปคล้ายระลอกคลื่น
หวงเที่ยแผดเสียงร่ำร้องขณะร่างละลิ่วถอยหลังไปราวสามจั้ง มุมปากถึงกับมีเลือดซึมหยาดออกมา แขนขวาทั้งแถบคล้ายจะบิดผิดรูปกลับไปทางด้านหลังไม่อาจยกมันขึ้นได้อีกต่อไป
“เป็นไปไม่ได้! อย่างน้อยนี่ต้องเป็นพลังเทียบเท่าเสือหกตัว ไม่สิ! เสือเจ็ดตัวต่างหาก! นี่เจ้าอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่มิใช่หรือ ไยจึงมีพลังมากมายถึงเพียงนี้!”
หลังพยุงร่างให้ยืนอย่างมั่นคง ดวงตาของหวงเที่ยก็เบิกกว้างมองหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ตัวเขาอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้าแล้ว ทั้งยังเชี่ยวชาญเพลงหมัดกอปรได้ฝึกปรือร่างกายให้แข็งแกร่งมิใช่ชั่ว
ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกันมิอาจเปรียบกับเขาได้ ด้วยพลังทัดเทียมกับหกพยัคฆ์ แต่ด้วยเหตุไฉนฝีมือจึงยังห่างไกลจากหลัวเฉิงเช่นนี้ จะมิให้เขาแปลกใจได้อย่างไร!
ชายอาภรณ์ของหลัวเฉิงกระพือโบกสะบัดไปทางด้านหลัง อารมณ์ของเขายังคงสงบราวกับผืนมหานทีอันกว้างใหญ่
“เข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งต่อไปจงใช้กำลังทั้งหมดของเจ้า”
แววตาหวงเที่ยสั่นไหวด้วยความพรั่นพรึง แตกตื่นจนผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หลัวเฉิง ดินหนึ่งกำมือมิอาจถมมหาสมุทรให้มิดได้ ครั้งนี้ข้าประเมินความสามารถเจ้าต่ำไป! ข้าจะไม่ทำให้ตัวเองอับอายอีก ขอตัว!”
หลัวเฉิงเลิกคิ้วพร้อมยิ้มน้อยๆ “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปกระมัง? เมื่อมีคนต้องการสังหารเจ้า แต่แล้วเมื่อพวกเขามิอาจประมือกับเจ้าได้ เจ้าจะยังปล่อยเขาไปกระนั้นหรือ เรื่องนี้เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
“เจ้าต้องการรั้งข้างั้นรึ?”
ใบหน้าหวงเที่ยมืดลงแล้วตวาดเสียงเยือกเย็น “หลัวเฉิงก็จริงอยู่ที่เจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่เท่านั้น! หาข้าเค้นความสามารถจนถึงขีดสุด มีหรือเจ้าจะรับมือได้ง่ายๆ ตอนนี้บนเกาะชิงอวิ๋น มีคนนับไม่ถ้วนกำลังไล่ล่าเจ้าอยู่ หากทั้งเจ้าและข้าเพลี่ยงพล้ำแม้เพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงชีวิตเท่านั้น!”
“เลิกพล่ามไร้สาระแล้วมาสู้กันดีกว่า หากเจ้าสามารถรอดจากหมัดของข้าได้สามกระบวนท่า ข้าก็จะไม่รั้งและยอมปล่อยเจ้าไป!”
ดวงตาของหลัวเฉิงส่องประกายวาบราวสายฟ้า แล้วชกออกไปด้วยกระบวนท่าแรกของเพลงหมัดสยบภูผา!
“บัดซบ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ งั้นหรือ?”
คิ้วของหวงเที่ยขมวดเข้าเป็นปม ปากตวาดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด เขาโคจรพลังทั้งหมดไปรวมยังหมัดซ้ายแล้วชกสวนทันที
“เตาหลอมภูผามหานที!”
ในขณะนี้หวงเที่ยใช้พละกำลังทั้งหมด พร้อมด้วยเพลงหมัดที่แข็งแกร่งสุด
ปัง!
ห้วงอากาศสะท้านสั่น และแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง คลื่นกระทบต้นไม้ใหญ่พานให้ใบไม้หล่นปลิวว่อน
ครืน!
ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวว่อน ร่างหวงเที่ยปลิวออกไปรวดเร็วประดุจอุกกาบาต ปากก็พ่นเลือดออกมาคำโตคล้ายละอองฝนสีแดงฉาน แรงอัดนี้พานให้โลหิตถึงกับหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด!
“ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้ามีฝีมือเท่านี้เองหรือ!”
ในที่สุดหลัวเฉิงก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้มีมากเพียงใด
แม้จะไร้ซึ่งกระบี่ทลายสวรรค์ แต่กระนั้นก็ยังเพียงพอจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับห้าได้อยู่ดี!
“หลัวเฉิง เป็นข้าตาบอดสมควรตาย! ไว้ชีวิตข้าเถิด! ข้ายังไม่อยากตาย!”
หลังปะทะหมัดกันเมื่อครู่ ความมั่นใจของหวงเที่ยก็เหือดหาย ด้วยว่าแขนซ้ายทั้งหมดกระดูกแตกหักไร้ชิ้นดี หวงเที่ยรู้ตัวว่าพลาดจึงคุกเข่าต่อหน้าหลัวเฉิงอ้อนวอนขอความเมตตา
ฉึก!
แสงกระบี่ส่องทะลุผ่านหน้าอกของหวงเที่ย และร่างเขาก็ผงะถอยไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
หวงเที่ยเปิดปากของเขาราวกับพยายามจะกล่าวบางอย่าง เขาหอบหายใจอย่างแรงและสุดท้ายก็ล้มฟุบลงไปบนพื้น
“ถ้าไม่อยากตายตั้งแต่แรก เหตุใดจึงยังคิดกระทำเรื่องนี้?”