บทที่ 159 ช่วงชิง
แสงกระบี่ประกายว่า พร้อมกับสองศีรษะที่หลุดจากบาปกระเด็นไปบนพื้น
แต่กระทั่งบัดนี้ หานเฟิงก็ยังไม่ทันจะล้มตัวลง ในนัยน์ตายังคงจ้องหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เคร้ง!
หลัวเฉิงเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วมองหานเฟิงด้วยหางตา พลางเปิดปากกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถมากพอให้ข้าได้เลือกหนทาง”
ดวงตาของหานเฟิงเบิกกว้างอย่างสับสน คล้ายจะไม่รู้ว่าตนนั้นรู้สึกเสียใจหรือโกรธแค้นกันแน่ แต่ท้ายที่สุดก็ล้มฟุบลงบนพื้นแล้วสิ้นใจตายในทันที
หลัวเฉิงยังไม่กล้าจะคลายความหวาดระแวง ใครจะรู้ว่าเสียงกรีดร้องสุดท้ายของหวงซางจะดึงดูดผู้ใดเข้ามาอีกบ้าง เขารีบค้นหาข้าวของมีค่าแล้วกะจะออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าในร่างของคนอื่นๆ กลับยังคงว่างเปล่าโหวงเหวง
ทรัพยากรของศิษย์บำรุงสำนักที่ได้รับแต่ละเดือนนั้นมีค่อนข้างจำกัด อีกทั้งพวกเขายังต้องฝึกปรือฝีมือตนเอง จึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่คนอื่นจะไร้ทรัพยากร
หากว่าทางกลับกัน หานเฟิงผู้นี้กลับมีโอสถเลือดลมหลายร้อยเม็ดอยู่กับตัว!
มาตรว่าเวลาปกติคงจะเอาความแข็งแกร่งของตนไปขูดรีดบีบบังคับศิษย์คนอื่นให้มอบโอสถเลือดลมเป็นแน่
หลัวเฉิงมิอาจเมินเฉยต่อวิญญาณยุทธ์ในศพมากมายเหล่านี้ได้ จึงเริ่มกลืนกินมันทันที!
สิ่งที่ทำให้หลัวเฉิงรู้สึกอาลัยอาวรณ์นั้นก็คือ หมาป่าหมอกทมิฬเหล่านั้นได้ตายไปนานมากแล้ว ปราณและแก่นวิญญาณของพวกมันจึงเบาบาง ทำให้ไม่อาจกลืนกินได้อีกต่อไป
แต่การกลืนวิญญาณยุทธ์ของหวงซาง โจวจินซวน หานเฟิง และคนอื่นๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น
ทั้งหมดห้าคน ซึ่งหานเฟิงและโจวจินซวนมีวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาว ส่วนอีกสามคนนั้นระดับสามดาว
หลังจากกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของทั้งห้าคนแล้ว หลัวเฉิงก็ไม่รอช้า ขยับร่างทะยานเข้าป่าลึกกลายเป็นเพียงเงาจางๆ
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!...
ไม่นานหลังหลัวเฉิงจากไป ก็ปรากฏหลายร่างวิ่งออกมาจากป่าทึบทีละคน รวมทั้งหมดราวยี่สิบหรือสามสิบคนเห็นจะได้!
“นั่น… นั่นหานเฟิง เขาตายแล้วไม่ใช่หรือ!”
ทุกคนตะลึงตะไลครั้นมองไปยังพื้นที่เปิดโลกกลางป่าเบื้องหน้า
ในเวลานี้ ชายหนุ่มสวมชุดสีแดงฉานปานโลหิตคาดด้วยแถบสีทอง ดวงตาประดุจดั่งหมาป่าก้าวออกมาพร้อมกับหลายๆ คน
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเยือกเย็น บุรุษหนุ่มในชุดแดงโลหิตก็กล่าวเสียงทุ้มหนัก
“มีใครในนี้พบร่องรอยของหลัวเฉิง ศิษย์บำรุงสำนักของยอดเขาจื่ออวิ๋นบ้าง? ศิษย์พี่เฉาชิงกำลังตามหาชายผู้นี้อยู่”
ทุกคนเหลียวหน้ามองกันอย่างตื่นตระหนก พวกเขาก็เพิ่งมาถึงหลังได้ยินเสียงเรียกของหวงซางเช่นเดียวกัน ไหนเลยจะล่วงรู้ตำแหน่งที่อยู่ของหลัวเฉิงได้
หลังได้ทราบว่าบุรุษหนุ่มในชุดแดงฉานนามเฉาชิง ตัวเต็งสิบอันดับแรกในการทดสอบ หลายคนก็เริ่มกระจายตัวออกห่างทันที
“ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงแล้ว เหตุใดต้องรีบไปด้วยเล่า”
บุรุษหนุ่มในชุดแดงโลหิตเลียริมฝีปากแล้วกล่าวเสียงเย็นชา “มอบแต้มการล่าสัตว์อสูรทั้งหมดของพวกเจ้ามา การที่ข้าผู้นี้จะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก แต้มของพวกเจ้านั้นย่อมมีความสำคัญยิ่ง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ตอนนี้ก็ต่างมีใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาด
ในการทดสอบชิงอวิ๋นทุกครั้ง ก็มีเหตุการณ์ที่ศิษย์บางคนถูกช่วงชิงแต้มอยู่บ้าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าขนาดผู้ที่เป็นตัวเต็งสิบอันดับแรกก็ยังเข้าร่วมด้วย
“วิ่ง!”
หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดัง ทันใดทุกคนก็ต่างแตกกระจายออกไปคนละทิศทาง!
“พวกเจ้าจะหนีไปไหน?”
แววตาความกระหายเลือดส่องประกายในดวงตาของชายชุดแดงโลหิต “ฆ่าให้หมด!”
อ๊า อ้า อ๊าก……
เสียงกรีดร้องอย่างหน้าหดหู่แผดดังสะท้านป่าทึบ ไม่ช้าทั่วอาณาบริเวณก็เต็มไปด้วยคราบโลหิตที่สาดกระเซ็น
ถึงอย่างไร เหตุการณ์นี้หาได้มีความเกี่ยวข้องกับหลัวเฉิงแต่อย่างใด
หลังออกจากพื้นที่เปิดโลกแล้ว หลัวเฉิงก็วิ่งห่างออกไปไกลหลายสิบลี้ แววตาเหลือบไปเห็นโพรงไม้ใหญ่ที่ถูกพุ่มพฤกษาปกคลุมอำพราง ก็กระโจนเข้าไปในนั้นทันที
มาตรว่าตนนั้นหลบซ่อนอย่างปลอดภัยแล้ว หลัวเฉิงจึงทอดถอนใจด้วยความโล่งอก
หากเขาถูกศัตรูจู่โจมจำนวนมาก ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบัน คงเป็นการยากจะหลบหนีได้สำเร็จ เลวร้ายกว่านั้นอาจถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้
“หวังว่าจะสามารถทะลวงเคล็ดวิชาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองสำเร็จได้ในคราเดียว!”
หลัวเฉิงนั่งเข้าฌานสมาธิอยู่ในโพรงไม้ ดวงตาทอประกายแสงสว่างคล้ายกับสายฟ้าแลบ
หลังกลืนวิญญาณยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์หลายคนในชั่วอึดใจเดียว หลัวเฉิงก็รู้สึกว่าปราณมังกรในร่างคล้ายจะเกิดการเคลื่อนไหว! ประหนึ่งมันจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา!
“ผู้อาวุโสเหอ เกรงว่าการจะสังหารข้านั้นคงมิใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว!”
ด้วยรอยยิ้มกระยิ่มเยือกเย็น หลัวเฉิงคว้าโอสถสามดาวออกมาใส่เข้าปากพลัน และเริ่มฝึกฝนวิชามังกรแท้ทันที
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง วังวนปราณแท้ในตันเถียนของหลัวเฉิงก็เริ่มหมุนวนรุนแรงขึ้น และระลอกคลื่นก็ปรากฏรอบตัวของปราณมังกร
ครึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป บางครั้งคิ้วของหลัวเฉิงก็ขมวดเข้าแน่น บ้างก็คลายออก
ทันใดนั้นเอง
กรร!