บทที่ 1 ข้ามาช้าไปหนึ่งหมื่นปีหรือ? (re)
ยามรุงอรุณแห่งเทือกเขาอวิ๋นอู่
เทือกเขาอวิ๋นอู่เป็นหนึ่งในป่าดงดิบดั้งเดิมของต้าเซี่ย ด้วยภูมิประเทศที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และธรรมชาติที่ยังคงบริสุทธิ์ ป่าลึกแห่งนี้จึงเป็นที่หวาดกลัวของนักปีนเขาหลายคน ไม่เพียงแค่เพราะสัตว์เลื้อยคลานและแมลงพิษที่มีอยู่นับไม่ถ้วน แต่ยังมีฤดูหมอกที่ปกคลุมอยู่ถึงครึ่งปี ทำให้ภูเขาแห่งนี้ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกหนา ไม่ว่าผู้มีประสบการณ์แค่ไหนก็มักหลงทางในป่าแห่งนี้ได้ง่ายๆ
แต่ในวันนี้ ป่าลึกของเทือกเขาอวิ๋นอู่กลับมีแขกพิเศษมาเยือน
เสิ่นหยวนสวมเสื้อโค้ทบางเฉียบพร้อมสะพายเป้ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เดินลัดเลาะไปในป่า มือขวาถือพลั่วสนามเหล็ก เขาใช้มันเขี่ยกิ่งไม้ที่ขวางทางเบา ๆ แล้วปัดงูที่ซ่อนอยู่ใต้กิ่งไม้เหวี่ยงออกไปไกลอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เป็นทักษะที่ดูคุ้นเคยจนเหมือนกับเป็นไปโดยธรรมชาติ
นี่เป็นวันที่สามแล้วที่เสิ่นหยวนได้ก้าวลึกเข้าสู่ป่าดงดิบอันกว้างใหญ่ของเทือกเขาอวิ๋นอู่ ที่ซึ่งรอบนอกของภูเขานั้นได้ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้มาเยือนสามารถเยี่ยมชมได้แค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น และต้องมีไกด์นำทางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเดินลึกเข้าไปในป่าลึกนี้
เสิ่นหยวนเองก็เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวโดยสมัครทัวร์กลุ่ม แล้วแอบแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขาอวิ๋นอู่ด้วยตัวเอง
การที่เสิ่นหยวนกล้าเสี่ยงเช่นนี้ แน่นอนว่าเพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา
เขาหยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ รับรู้ถึงหมอกหนาที่ปกคลุมรอบตัว ลมหายใจของเขาค่อยๆ ยาวขึ้น มีจังหวะและเป็นระบบ กระแสอุ่นไหลเวียนภายในร่างกาย ขับไล่ความหนาวเย็นของยามเช้าไป
ไม่นานนัก เมื่อเขาปล่อยลมหายใจยาวออกมา ควันขาว ๆ ที่ปล่อยออกมานั้นเหมือนดั่งมังกรที่ทะลวงหมอกหนาออกไป ทิ้งรอยลึกไว้บนลำต้นของต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ห่างไปหนึ่งจั้ง
"เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่เหมาะกับการฝึกตน เคล็ดวิชาหายใจเมฆหมอกนี้สมควรจะอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติถึงจะได้ผลดีที่สุด เพียงแค่สามวันที่ลึกเข้ามาในเทือกเขาอวิ๋นอู่ ก็รู้สึกได้ว่าพลังบำเพ็ญก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เทียบได้กับการฝึกหนักครึ่งเดือนก่อนหน้าเลยทีเดียว"
เสิ่นหยวนยิ้มออกมา เขาไม่ใช่คนธรรมดา และหากจะพูดให้ถูกต้อง เขาไม่ใช่คนของโลกนี้
เมื่อครึ่งปีก่อน เสิ่นหยวนได้ข้ามมายังโลกซวนหวง ซึ่งมีระดับเทคโนโลยีใกล้เคียงกับโลกที่เขาจากมา แต่โลกนี้มีสิ่งที่ต่างออกไป คือเรื่องเล่าของเทพเจ้า อสูร และปีศาจ ต้าเซี่ยเองก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสามพันปี
แม้ว่าในโลกอินเทอร์เน็ตจะไม่มีหลักฐานใดแๆ ที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและอสูรเหล่านี้ แต่เสิ่นหยวนมั่นใจว่าโลกนี้มีเซียนตัวจริง
เพราะว่าเขาไม่ได้ข้ามมาคนเดียว แต่ยังมีระบบเติ้งเซียนติดตัวมาด้วย
ตามที่ระบบเติ้งเซียนบอก มันจะมอบหมายภารกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เสิ่นหยวนได้บินขึ้นสู่แดนเซียนและบรรลุความเป็นอมตะ
ด้วยการอาศัยความช่วยเหลือของระบบ ในช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เสิ่นหยวนได้เรียนรู้เคล็ดวิชาหายใจเมฆหมอกที่ระบบมอบให้ในฐานะของขวัญเริ่มต้น และก้าวเข้าสู่หลอมรวมแก่นแท้
การฝึกตนแบ่งออกเป็นสี่ขั้นใหญ่ ๆ ตามที่เหล่าผู้ฝึกตนยุคโบราณได้สืบทอดต่อมา ได้แก่ การหลอมรวมแก่นแท้เปลี่ยนเป็นปราณ การหลอมรวมปราณเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ การหลอมรวมจิตวิญญาณคืนสู่ความว่างเปล่า และการหลอมรวมความว่างเปล่าเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า
ขั้นหลอมรวมแก่นแท้คือการหมุนเวียนพลังภายในร่างกายเพื่อเสริมสร้างพลังชีวิตของตน ร่างกายจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่า เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่การกลั่นพลังขั้นต่อไป
เมื่อมาถึงขั้นนี้ เสิ่นหยวนก็สามารถทนทานต่อความร้อนและความเย็นได้ การหมุนเวียนลมปราณภายในยังช่วยขับไล่ความหนาวเย็นและป้องกันสัตว์เลื้อยคลานไม่ให้เข้ามาใกล้
การที่เสิ่นหยวนสามารถมาถึงระดับนี้ได้ในเวลาเพียงครึ่งปี นอกจากจะเป็นเพราะความช่วยเหลือจากระบบเติ้งเซียนแล้ว ยังมาจากความทุ่มเทในการฝึกฝนของเขาเอง
แต่เคล็ดวิชาหายใจเมฆหมอกเป็นเพียงวิชาพื้นฐานเท่านั้น หากเสิ่นหยวนต้องการก้าวข้ามขั้นหลอมรวมแก่นแท้ให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องหาเคล็ดวิชาขั้นสูงเพิ่มเติม ซึ่งการหาเคล็ดวิชาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ระบบเติ้งเซียนมอบหมายให้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยวนมองดูที่หน้าจอระบบเติ้งเซียน
ภารกิจเริ่มต้น: ถือตราประทับเติ้งเซียน มุ่งหน้าเข้าสู่เทือกเขาอวิ๋นอู่เพื่อเข้าบำเพ็ญในสำนักลั่วอวิ๋น หากสามารถบรรลุภารกิจนี้สำเร็จ จะได้รับ《เคล็ดวิชาปราณม่วง》เป็นรางวัล
บนหน้าจอแสดงคำว่า "ภารกิจเริ่มต้น" เสิ่นหยวนเคยคิดว่านี่จะเป็นภารกิจที่ง่ายมาก เมื่อก้าวเข้าสู่หลอมรวมแก่นแท้ เขาก็หาจังหวะเดินทางมายังเทือกเขาอวิ๋นอู่ทันที
ทว่าหลังจากเดินวนเวียนในเทือกเขาแห่งนี้เป็นเวลาสามวันเต็ม เสิ่นหยวนก็ยังไม่พบเงาของสำนักลั่วอวิ๋นตามที่ว่ามาเลย
หากไม่ใช่เพราะตราประทับเติ้งเซียนที่อยู่ในอกยังคงให้ความรู้สึกเชื่อมโยงไปยังทิศทางของสำนักลั่วอวิ๋น เสิ่นหยวนคงหลงป่าลึกนี้จนต้องยอมแพ้ไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ การหาสำนักลั่วอวิ๋นในเขตเทือกเขาอวิ๋นอู่ก็ยังคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายอยู่ดี
"ตามหลักแล้ว เทือกเขาอวิ๋นอู่นี้ที่กินพื้นที่นับพันลี้น่าจะเป็นเขตของสำนักลั่วอวิ๋น ข้าได้นำตราประทับเติ้งเซียนมาถึงที่นี่ สำนักลั่วอวิ๋นก็ควรจะรับรู้ถึงการมาของตราประทับเติ้งเซียนแล้วสิ
"แต่ข้ายังไม่เห็นคนของสำนักลั่วอวิ๋นเลย หรือว่านี่จะเป็นการทดสอบที่เก่าแก่เพื่อทดสอบจิตใจอีกครั้ง?"
เสิ่นหยวนอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำในใจ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ตราประทับเติ้งเซียนในอกของเขาที่ส่องแสงเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าสำนักลั่วอวิ๋นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เสิ่นหยวนย่อมไม่อาจล้มเลิกกลางคัน
ระหว่างการเดินทางข้ามภูเขาผ่านหุบเขา ตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก เสิ่นหยวนก็ได้มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
น้ำพุใสไหลลงมาจากหน้าผา หมอกน้ำที่พวยพุ่งขึ้นผสมกับแสงยามเย็นทำให้ที่นี่ดูเหมือนแดนสวรรค์ ในป่ามีกวางลายดอกเหมยสองสามตัวกำลังดื่มน้ำพุอย่างสงบ พลางมองเสิ่นหยวนอย่างสงสัยในฐานะผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญ
"ที่นี่สินะ"
เสิ่นหยวนหยิบตราประทับเติ้งเซียนที่เริ่มร้อนออกมาจากอก พร้อมกับตรวจดูสภาพแวดล้อมรอบตัว
ในฐานะผู้ฝึกตน เขารู้สึกได้ว่าที่นี่เหมือนมีม่านพลังลี้ลับบางอย่างปกคลุมอยู่ เหมือนมีอะไรบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้
"ค่ายกลของเซียน? คำสาป? หรือทางเข้าของถ้ำสวรรค์?"
แววตาของเสิ่นหยวนเปล่งประกาย เขาจับตราประทับเติ้งเซียนไว้ในมืออย่างแน่น พลางสำรวจสภาพแวดล้อมด้วยความสงสัย
แต่ไม่นานเสิ่นหยวนก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ปกติ
เสิ่นหยวนเดินทางไกลผ่านภูเขาและหุบเขามาถึงที่ตั้งของสำนักลั่วอวิ๋น ไม่ว่าสำนักลั่วอวิ๋นจะรับเขาเข้าเป็นศิษย์หรือปฏิเสธก็ตาม ก็ควรจะมีใครสักคนปรากฏตัวออกมา
แต่สถานการณ์ที่เห็นตอนนี้กลับไม่มีวี่แววของสำนักเซียนใด ๆ เลย
เสิ่นหยวนใช้เคล็ดวิชาหายใจเพื่อส่งพลังชีวิตเข้าไปในตราประทับเติ้งเซียน แล้วทันใดนั้น หมอกบาง ๆ ก็เริ่มลอยขึ้นจากหุบเขาตรงหน้า มีแสงสีม่วงระยิบระยับลอยตามไปด้วย
จากนั้น เหมือนกับว่ามิติซ้อนกันถูกเปิดออก โลกใหม่ที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเสิ่นหยวน
สถานที่นั้นเต็มไปด้วยอาคารและศาลาเรือนเก๋งที่ยืนเด่นสง่างามบนยอดเขา บันไดหินที่คดเคี้ยวทอดยาวล้อมรอบภูเขา มีแสงสีแดงอ่อนปรากฏอยู่เหนือทะเลหมอก เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่จนใคร ๆ ก็ต้องยกย่องว่ามีบรรยากาศของเทพเซียน
แต่ภาพเหล่านั้นกลับคงอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เงาภาพจะสลายไป สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเสิ่นหยวนกลับเป็นเพียงยอดเขาที่พังทลาย
ศาลาและอาคารที่เคยยืนเด่นถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณมากมาย รอยแตกร้าวบนท้องฟ้าฉีกทะลุผ่านทะเลหมอก เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่แหลกสลาย ถ้ำสวรรค์ที่เคยรุ่งเรืองได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
ที่หน้าทางเข้าถ้ำสวรรค์ มีหินสลักขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ตัวอักษรโบราณที่ยังคงเหลืออยู่บนหินนั้นดูเหมือนจะแฝงด้วยความไม่ยอมแพ้และความแค้นที่ยาวนานนับหมื่นปี
"ปีที่เก้าของราชวงศ์ต้าหยิน จักรพรรดิมนุษย์ได้ใช้พลังอันยิ่งใหญ่ตัดขาดสวรรค์ โลกนี้จึงไม่มีทางขึ้นสู่แดนเซียนอีกต่อไป
"ข้าไม่ยอม ด้วยถ้ำสวรรค์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าบรรลุถึงเซียนปฐพีและนำพาสำนักลั่วอวิ๋นขึ้นสู่สวรรค์ แต่กลับต้องเผชิญหายนะ มรดกที่สั่งสมมาหมื่นปีของลั่วอวิ๋นถูกทำลายลงในพริบตา
"บรรพจารย์เคยทำนายว่าจะมีบุตรแห่งเต๋าที่จะสามารถช่วยกอบกู้สำนักลั่วอวิ๋นได้ แต่บุตรแห่งเต๋านั้นอยู่ที่ใดกันแน่?"
เสิ่นหยวนยืนมองตัวอักษรโบราณบนหินนั้นอย่างงุนงง รู้สึกมึนงงและสับสน
"โลกนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ก่อนหน้าต้าเซี่ยในปัจจุบัน ยังมีราชวงศ์ต้าฉิน ราชวงศ์ต้าอวี๋ และยุคสงครามร้อยแคว้นอีกสามยุคที่ยาวนาน ราชวงศ์ต้าหยินนั้นคงอยู่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน"
"สำนักลั่วอวิ๋นได้ล่มสลายไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว"
"ข้ามาช้าไปหนึ่งหมื่นปีหรือ?"
.
(จบตอน)