(ฟรี) บทที่ 110 แม้มันจะเป็นจูบแรก

สวี่ชิวเหวินเข้าร่วมในกระบวนการออดิชันและสร้างความประทับใจให้กับคนส่วนใหญ่

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว หยางจื่อยังอยู่ในห้องบรรยายด้วย

“ชิวเหวิน นายมาแล้ว”

หานเฟยลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีที่เขาเห็นสวี่ชิวเหวิน

“มากันครบหรือยัง เริ่มเลยไหม”

หานเฟยส่ายหัว “ยังไม่ถึงเวลา มีอีกสองสามคนยังมาไม่ถึง รอก่อนเถอะ”

สวี่ชิวเหวินพยักหน้าแสดงความเข้าใจแล้วจึงหาที่นั่งเพื่อนั่งลง

ถังเว่ยเว่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดและพบกับคนที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาในห้องบรรยาย เธอจึงตามติดสวี่ชิวเหวินโดยไม่ห่างไปไหน

ไป๋เยว่เอ๋อร์มีบุคลิกร่าเริง เธอทักทายหานเฟยอย่างกระตือรือร้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ประมาณห้านาทีต่อมา นักศึกษาอีกสองสามคนก็เข้ามาในห้อง

เมื่อนักศึกษาคนสุดท้ายมาถึง หานเฟยก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ทุกคนมาแล้ว เรามาเริ่มการพบปะครั้งแรกกันดีกว่า ฉันเป็นผู้กำกับละครเรื่องนี้ ทุกคนคงรู้จักแล้ว ดังนั้นฉันจะไม่พูดมาก แต่ฉันอยากจะแนะนำใครสักคนเป็นพิเศษ”

สวี่ชิวเหวินเดาว่าหานเฟยกำลังหมายถึงเขา ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นด้วยความคิดริเริ่ม

หานเฟยชี้ไปที่สวี่ชิวเหวินแล้วกล่าวว่า “นี่คือสวี่ชิวเหวิน พวกคุณคงได้อ่านนิยายแล้ว มันถูกเขียนโดยเขา นอกจากนี้เงินทุนสำหรับการถ่ายทำยังมาจากเขาด้วย และเขาจะรับบทพระเอกของเรื่อง”

เมื่อได้ยินคำพูดของหานเฟย ทุกคนในห้องก็หันความสนใจไปที่สวี่ชิวเหวินทันที

นักศึกษาจากสถาบันศิลปะต่างก็ประหลาดใจ พวกเขาได้อ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว และมันยังเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจิ้นเจียง

ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าแม้แต่เงินทุนก็ถูกจัดหาโดยเขา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

หยางจื่อก็มองไปที่สวี่ชิวเหวินและคิดว่า ‘ช่างน่าประทับใจ’

ภายในห้องบรรยาย มีเพียงไป๋เยว่เอ๋อร์เท่านั้นที่ตกใจจนอ้าปากค้าง เธอหันไปมองใบหน้าด้านข้างของสวี่ชิวเหวินโดยสงสัยว่าได้ยินผิดไป

สวี่ชิวเหวิน... รับบทเป็นพระเอก?

ไป๋เยว่เอ๋อร์อ่านนิยายของเขาหลายครั้งในช่วงนี้ และเธอแทบจะท่องเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับซานไช่ได้

และเมื่อนึกถึงฉากบางอย่าง เธอก็หน้าแดงทันที

ไป๋เยว่เอ๋อร์ใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดงตั้งแต่ยังเด็ก แต่เธอไม่เคยมีโอกาสเข้าสู่วงการนี้เลย

เธอมักจะพร่ำบอกตัวเองว่าโอกาสนี้ได้มาอย่างยากลำบากและต้องทะนุถนอมมัน

ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่ามีฉากจูบในนิยาย ถึงแม้มันจะเป็นจูบแรกของเธอ เธอก็ยังพยายามโน้มน้าวตัวเองให้เสียสละเพื่อประโยชน์ของการแสดง

แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเป้าหมายของการเสียสละจะเป็นสวี่ชิวเหวิน?

เมื่อคิดว่าจะต้องจูบกับสวี่ชิวเหวิน เธอก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย หากซือเซียงหมิงรู้เรื่องนี้ เขาคงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนและอาจออกมาสร้างความวุ่นวายด้วยซ้ำ

ไป๋เยว่เอ๋อร์จึงตัดสินใจที่จะไม่บอกเขา

ต่อมาเหล่านักแสดงเริ่มแนะนำตัวเอง

เรียงตามลำดับบทบาท ไป๋เยว่เอ๋อร์เป็นนักแสดงนำหญิงและเริ่มก่อน

แต่ขณะนี้จิตใจของเธอว่างเปล่าจนไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากเอ่ยชื่อออกมา

โชคดีที่หานเฟยแสดงท่าทางให้เธอนั่งลงทันที

หลังจากที่หญิงสาวนั่งลงแล้ว สวี่ชิวเหวินก็ลุกขึ้นและพูดด้วยท่าทีเป็นกันเอง “สวัสดีทุกคน ฉันชื่อสวี่ชิวเหวิน และฉันรับบทเป็นตัวเอกเต้าหมิงซื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถ่ายละครทีวี โปรดดูแลฉันในอนาคตด้วย”

......

หลังจากการแนะนำรอบแรก สวี่ชิวเหวินก็จำชื่อของทุกคนได้ สมาชิกที่เหลืออีกสามคนของกลุ่ม F4 ซึ่งรับบทเป็นฮวาเจ๋อเล่ย ซีเหมิน และเหม่ยจั๋ว ล้วนเป็นนักศึกษาเอกการแสดง พวกเขาคือจิงหราน ซูเจิ้ง และซ่งปิน ตามลำดับ

นักแสดงนำหญิงคนที่สอง ฉิวเจี่ยอี้ และนักแสดงนำหญิงคนที่สาม ซ่งซูเฉียน รับบทโดยหยางจื่อและซูอวี้ถง

นอกเหนือจากตัวละครสำคัญแล้ว ยังมีบทบาทรองและตัวละครยิบย่อยอีกไม่น้อย

หลังจากที่นักแสดงแนะนำตัวแล้วก็ถึงคิวของทีมงาน

เมื่อถังเว่ยเว่ยแนะนำตัว เธอก็ก้มหน้าลงและดูค่อนข้างประหม่า เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้

หลังจากแนะนำตัวกันครบแล้ว หานเฟยก็ปรบมือเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน

“ละครเรื่องนี้อาจพบกับความยากลำบากต่างๆในช่วงการถ่ายทำ แต่ฉันหวังว่าทุกคนจะทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม ฉันหวังว่าละครเรื่องนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกของพวกเราทุกคน!”

หลังจากหานเฟยพูดจบ สวี่ชิวเหวินก็เป็นผู้นำในการปรบมือ

นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการพูดเช่นกัน เนื่องจากนักแสดงทั้งหมดรวมไปถึงทีมงานล้วนเป็นหน้าใหม่ แน่นอนว่าจะต้องมีความท้าทายที่คาดไม่ถึงระหว่างถ่ายทำ และมีเพียงการทำงานร่วมกันเท่านั้นที่จะผ่านมันไปได้

หลังจากเสียงปรบมือสิ้นสุดลง สวี่ชิวเหวินก็ถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ใครจะรับบทเป็นแม่ของเต้าหมิงซื่อและคนอื่นๆ?”

เขาสังเกตเห็นการขาดหายไปของตัวละครบางตัวก่อนหน้านี้

หานเฟยตอบว่า “นักแสดงสำหรับบทบาทเหล่านั้นยังไม่ได้ตัดสินใจ และเราไม่พบคนที่เหมาะสมในมหาวิทยาลัย ฉันวางแผนจะจ้างนักแสดงสมทบที่มีทักษะบางคน แต่มันจะต้องใช้เงินอย่างแน่นอน”

สวี่ชิวเหวินหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาล่ะ หากต้องใช้ก็ควรใช้ คุณตัดสินใจเรื่องนี้เลย”

หานเฟยพยักหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ “เนื่องจากเราเป็นทีมงานเล็กๆ ดังนั้นจะไม่มีพิธีการใดๆ มาทานอาหารเย็นด้วยกันคืนนี้ แล้วเราจะเริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการในหนึ่งสัปดาห์”

เมื่อผู้กำกับยืนยันตารางการถ่ายทำ ทีมงานก็ต้องเริ่มเตรียมตัวกันอย่างจริงจังเช่นกัน

หานเฟยและทีมของเขาแม้จะอายุน้อย แต่ต่างก็กระตือรือร้นและมีประสิทธิภาพมาก

ในสัปดาห์ก่อนการถ่ายทำ นอกเหนือจากการสื่อสารและทำงานร่วมกับหานเฟยเป็นครั้งคราวเพื่อแก้ไขบทแล้ว สวี่ชิวเหวินก็เกือบจะกลายเป็นคนว่างงาน ส่วนถังเว่ยเว่ยเป็นคนที่ยุ่งแทน

ถังเว่ยเว่ยไม่คุ้นเคยกับงานบัญชี ในวันแรก เธอรายงานทุกอย่างให้เขาฟังก่อนจะอนุมัติ และยังคงใช้โทรศัพท์มือถือของไป๋เยว่เอ๋อร์

สวี่ชิวเหวินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกกับถังเว่ยเว่ยว่า “ฉันเชื่อใจเธอ ตราบใดที่เธอคิดว่ามันเหมาะสมก็อนุมัติได้เลย หากคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลก็สามารถปรึกษาผู้กำกับได้ หากผู้กำกับเห็นด้วยฉันก็จะไม่คัดค้าน ถ้ายังมีปัญหาอยู่ค่อยมาหาฉัน”

ถังเว่ยเว่ยฟังเขาและรู้สึกว่าน้ำหนักบนไหล่ของเธอเพิ่มขึ้น แต่เธอไม่ได้พูดอะไรและยอมรับมันอย่างใจเย็น

หลายวันต่อมา การขอคำแนะนำของถังเว่ยเว่ยค่อยๆลดลง

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

ละครโทรทัศน์เรื่อง ‘Boys Over Flowers’ เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ

สถานที่ถ่ายทำแห่งแรกคือบนดาดฟ้าอาคารมนุษยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเจียวทง

ฉากแรกที่ถ่ายทำคือตอนที่ซานไช่เผชิญหน้ากับนักศึกษาชายที่ถูกรังแกและกำลังจะกระโดดตึก และเธอก็ช่วยชีวิตเขาไว้

ในฉากนี้ สวี่ชิวเหวินไม่มีบท

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นฉากแรกสำหรับทีมงานทั้งหมด เขาจึงไม่พลาดและมาถึงสถานที่ถ่ายทำก่อนเวลา

หานเฟยเลือกฉากดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นโดยเฉพาะ ประการแรก ดาดฟ้าของอาคารจะไม่ถูกรบกวน และประการที่สอง บทสนทนาในฉากนี้น้อยมาก ซึ่งน่าจะค่อนข้างง่ายสำหรับหน้าใหม่อย่างไป๋เยว่เอ๋อร์

เวลาเก้าโมงเช้า ด้วยความช่วยเหลือจากช่างแต่งหน้า ไป๋เยว่เอ๋อร์แต่งหน้าทำผมเสร็จแล้ว และยืนอยู่ที่บันไดทางขึ้นดาดฟ้าในชุดที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ให้

อุปกรณ์เสริมและกล้องก็พร้อมเช่นกัน

/////