บทที่ 54 – บ่อเหมันต์ (II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 54 – บ่อเหมันต์ (II)
“นายน้อยฉู่ อย่างที่ข้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ต่อให้เราจะพบกันบนท้องถนน มันคงจะเป็นการดีกว่าที่เราจะทำเป็นไม่สนใจกันและกัน” เหมิงฉีกล่าว
“เพราะข้าช่วยท่าน ท่านอาจรู้สึกขอบคุณข้าอยู่บ้าง แต่ข้าคิดค่ารักษาและได้รับหินวิญญาณจากท่านมากมาย พวกเราไม่ติดค้างกันแล้ว นอกจากนี้…” นางหยุดกล่าวไปชั่วครู่ “ศิษย์พี่ของข้าชอบท่าน เมื่อครู่ท่านกล่าวตำหนินางอย่างนั้น นางต้องเศร้าและไม่สบายใจแน่ และตอนนี้อาจจะร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับนางกำลังมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะแบบนั้นเลย”
เหมิงฉีพนมมือและทำท่าทาง “ข้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้นแน่นอน!”
“เช่นนั้นแล้ว เชิญท่านกลับไปเถิด” หลังจากที่เหมิงฉีพูดจบ นางไม่ให้โอกาสฉู่เทียนเฟิงได้พูดก่อนที่นางจะเดินกลับเข้าไปในห้องของนาง นิสัยของนางคือมักจะไม่พูดจาไม่ดีกับผู้อื่นอยู่แล้ว แถมเมื่อครู่ฉู่เทียนเฟิงเพิ่งได้ช่วยนางไป นางย่อมไม่อาจตำหนิอีกฝ่ายหรือพูดจารุนแรงได้หรอก
เหมิงฉีก้าวกลับเข้าไปในห้องของนางและตรวจสอบอักขระป้องกันบนพื้นอย่างระมัดระวัง มันถูกเปิดใช้งานไปแล้ว มีกลิ่นผงโอสถจาง ๆ อยู่ในอากาศด้วย
อึก…
เหมิงฉีนึกถึงใบหน้าอันน่าสังเวชของลู่ชิงหรัน
อักขระนี้ทำให้พิษรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?
หรือ…
นางย่อตัวลง นิ้วของนางสัมผัสเส้นของอักขระไปมาแบบสุ่ม ถ้าฤทธิ์ของโอสถพิษสามารถเพิ่มขึ้นได้ มันก็ควรจะทำแบบเดียวกันกับโอสถที่ใช้รักษา ถ้าอย่างนั้น นางจะได้ผลลัพธ์สองเท่าด้วยการเพิ่มคาถาลงไปแค่เดียวหรือเปล่า?
หือ?
ดวงตาของเหมิงฉีเป็นประกาย สายตาของนางจับจ้องไปที่เส้นทแยงมุมสองเส้นตรงกลางอักขระ นางจำได้ว่านางไม่ได้วาดสิ่งเหล่านี้ไว้ ความจำของนางดีเยี่ยม และนางก็ระมัดระวังมาโดยตลอด รายละเอียดแบบนี้ยิ่งดูพิถีพิถันมากขึ้นไปอีก แม้ว่าอักขระจะดูไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่นางก็ยังจำได้
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” เหมิงฉีพึมพำ นางลุกขึ้นยืนและมองไปที่อักขระป้องกันจากมุมสูง
มีคนแตะต้องมันเหรอ? หรือนางรีบร้อนจนทำผิดพลาดจริง ๆ ?
เหมิงฉีมองไปรอบ ๆ ห้อง ยืนยันว่าไม่มีใครแตะต้องอักขระ เสี่ยวชียังคงนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ดูอ่อนแอลงกว่าตอนที่นางจากไป ดวงตาสีฟ้าของมันมืดมัวลง หัวน้อย ๆ ของมันวางอยู่บนอุ้งเท้า และหูรูปครึ่งวงกลมของมันดูเหมือนจะห้อยลงอย่างอ่อนแรง ท่าทางโดยรวมดูค่อนข้างอ่อนแอกว่าเดิมเสียอีก
“เสี่ยวชี” เหมิงฉีก้าวไปข้างหน้าและลูบตัวมันเบา ๆ “ข้าเอากลับมาแล้ว หญ้าอีกาเหมันต์” นางหยิบกล่องไม้วางหญ้าอีกาเหมันต์ออกมาจากแหวนมิติ
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังนำแผ่นไม้ไผ่ที่เสวี่ยจินเหวินส่งมาให้กลับมาด้วย ‘สมุนไพรแดนเหนือสวรรค์’ เหมิงฉีถือแผ่นไม้ไผ่ไว้ในมือ และมันก็เริ่มเรืองแสงเล็กน้อย นางท่องตำราอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าก็หาคำอธิบายเกี่ยวกับหญ้าอีกาเหมันต์พบ
“สมุนไพรใบไม้ที่มีรูปร่างเหมือนอีกาเหมันต์ เป็นหย้าที่เติบโตบนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของแดนเหนือสวรรค์ หลังจากได้รับพิษจากมัน บาดแผลจะมีแสงสีเงินระยิบระยับ เลือดออกไม่หยุดและไม่หายเป็นเวลาหลายปี”
หลังจากอ่านคำอธิบาย ก็มีวิธีการรักษาพิษหญ้าอีกาเหมันต์เขียนไว้
“ส่วนผสมอื่น ๆ หาได้ไม่ยาก แต่ว่าหญ้าเทียนซิงและขนเพลิง…” เหมิงฉีขมวดคิ้ว หญ้าเทียนซิงอาจจะหาซื้อได้ที่แดนเหนือสวรรค์ แต่แล้วขนเพลิงล่ะ? ว่ากันว่ามันคือขนนกวิหคเพลิง หนึ่งในเผ่าอสูรเหนือจินตนาจากแดนอสูร ขนนกของพวกเขาถือเป็นสมบัติในตำนานอย่างหนึ่ง สิ่งนี้คงไม่สามารถพบได้ในสามภพ และเหมิงฉีก็ไม่เคยเห็นมันถูกขายมาก่อน
แสงสลัววาบขึ้นในดวงตาของเสือขาวน้อยที่ยังนอนอยู่บนเตียง
ขนเพลิง…
ต้องใช้สิ่งนี้จริง ๆ หรือ?
ขนเพลิง…
เหมิงฉีเดินไปมาในห้อง ถ้านางต้องการรักษาพิษหญ้าอีกาเหมันต์ นางต้องหาขนเพลิงให้พบ
ดังนั้น…
นางขมวดคิ้ว นางควรจะไปหาสุนัขจิ้งจอกจอมก่อกวนซูจุนโม่ดีหรือไม่? เขาเป็นถึงอสูรชั้นสูง เขาอาจจะมีวิธีบ้าง เหมิงฉีหรี่ตา นางจำได้ว่าในเวลานี้ ซูจุนโม่ยังไม่ได้อยู่ใกล้กับลู่ชิงหรัน
แล้วนางจะไปหาเขาที่ไหนได้?
แดนเหนือสวรรค์?
เหมิงฉีลังเล
“เอาไว้ก่อนดีกว่า” นางหยิบโอสถออกมาสองเม็ดแล้วยัดเข้าปากเสี่ยวชี เม็ดหนึ่งคือโอสถเป่ยหมิงและอีกเม็ดคือโอสถแกนหลิน
“ก่อนจะไปเมืองเฟิงเทียน ข้าจะรวบรวมส่วนผสมอื่น ๆ ก่อน” เพื่อที่จะรักษาพิษหญ้าอีกาเหมันต์ นอกจากหญ้าเทียนซิงและขนเพลิงแล้ว ยังต้องใช้น้ำค้างวิญญาณจากบ่อเหมันต์ด้วย นางสามารถหามันได้ที่ก้นบ่อเหมันต์ในหุบเขาชิงเฟิง
เหมิงฉีเก็บข้าวของจำเป็น ลุกขึ้น และเดินไปยังยอดเขาชิงเฟิง เนื่องจากเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหมดไม่อยู่ จึงไม่มีใครมาที่บ่อเหมันต์ เมื่อเหมิงฉีเกือบจะถึงจุดหมาย นางก็ยัดโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปาก อย่าลืมว่านางยังอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ พลังไอเย็นและน้ำของบ่อเหมันต์นั้นเย็นเกินไปสำหรับนาง
ก่อนที่นางจะถึงบ่อเหมันต์ เหมิงฉีได้ยินเสียงใครบางคนร้องไห้อย่างเศร้าสร้อย เสียงผู้หญิง ฟังดูเศร้ามาก แต่ก็นุ่มนวลและไพเราะเสนาะหู
ลู่ชิงหรัน?!
เหมิงฉีเห็นลู่ชิงหรันทันที ซึ่งอีกฝ่ายกำลังพิงก้อนหินก้อนใหญ่ข้างบ่อเหมันต์ ร้องไห้อย่างเศร้าโศก หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้าและหันกลับมาเห็นเหมิงฉี น้ำตาคลอเบ้า ดวงตาของนางแดงก่ำ ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างรู้สึกสงสารและเห็นใจ
"ศ-ศิษย์น้องเหมิงฉี?" ลู่ชิงหรันรีบลุกขึ้นยืนและเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
"ศิษย์พี่ลู่" เหมิงฉีมองลู่ชิงหรัน แม้ว่านางจะอยู่ในขั้นสร้างรากฐานแล้ว แต่พลังเย็นรอบบ่อยังคงแข็งแกร่งเกินไป เจ้าสำนักคงจะมอบสมบัติพิเศษให้ศิษย์รักคนนี้อย่าง หยกอุ่น เพื่อให้ร่างกายของนางสามารถลบล้างผลกระทบของความเย็นที่ขอบบ่อเหมันต์แห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์เป็นแน่แท้
"เจ้า..." ลู่ชิงหรันยืนขึ้น มองเหมิงฉีด้วยความงุนงง นางเกิดมาสวย แม้แต่การร้องไห้ก็ยิ่งเพิ่มความงามของนาง น้ำตาบนความงามคงมีผลเช่นเดียวกับเม็ดฝนบนดอกสาลี่กระมัง
"ศิษย์น้องเหมิง เจ้ามีธุระอะไรที่นี่หรือ?" ลู่ชิงหรันถามอย่างลังเล
"มาเอาของ" เหมิงฉีพูดและถอดอาภรณ์คลุมออก นางสวมอาภรณ์สีดำน้ำรัดรูปอยู่ข้างในแล้ว
"จ...เจ้าจะดำน้ำลงไปหรือ?" ลู่ชิงหรันเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
"ใช่" เหมิงฉียัดโอสถเม็ดอีกสองเม็ดเข้าปาก
"แล้ว..." ลู่ชิงหรันดูเหมือนจะสับสน "เจ้า..." นางหยิบหยกอุ่นที่อาจารย์มอบให้ "เจ้าต้องการใช้อันนี้ไหม?"
"ไม่จำเป็น" เหมิงฉีส่ายหัว ขณะที่นางพูด นางก็เดินไปที่ขอบสระอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดลงไปอย่างง่ายดาย แม้จะสวมอาภรณ์สีดำน้ำหนา แต่ความหนาวเย็นจากน้ำก็ยังแทรกซึมเข้าไปในแขนขาของนาง เหมิงฉีได้แต่กัดฟันและดำดิ่งลงไป