บทที่ 49-50
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 49 ชายคนนั้นคือใคร?! (II)
เหมิงฉีออกจากหอประมูลแดนเหนือสวรรค์จากประตูทางเข้าเดียวกับที่นางใช้ก่อนหน้านี้ นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองลานเรือนที่ดูเรียบง่ายและเก่าแก่
การสร้างสถานที่เช่นนี้ได้ไม่เพียงแต่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังต้องคิดอย่างซับซ้อนเป็นพิเศษด้วย นางเดาว่าสิ่งนี้ต้องสร้างขึ้นโดยใช้อาคมขนาดมหึมา ซึ่งสร้างจากการอาคมขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน แต่การที่จะเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรนั้นเกินความสามารถของเหมิงฉีอย่างสิ้นเชิง
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นางรู้สึกประทับใจมันมาก เจ้าของแดนเหนือสวรรค์ใช้ความคิดอย่างมากกับทุกสิ่งที่นี่ ตั้งแต่เรือนและกระเบื้อง ไปจนถึงต้นไม้และพืชแต่ละต้น เพื่อที่จะรักษาเมืองขนาดใหญ่และเกาะลอยน้ำเจ็ดเกาะได้ พวกเขาต้องมีพลังมากและร่ำรวยมากด้วย!
ระหว่างทางไปหอประมูล เหมิงฉีเดินเร็วมาก ตอนนี้นางจึงชะลอฝีเท้าเพื่อเพลิดเพลินกับการเดินกลับ ทิวทัศน์ของเกาะลอยน้ำช่างน่าทึ่งเหลือเกิน ท้องฟ้าสีครามดูเหมือนจะเอื้อมถึง และเมฆสีขาวก็ไหลไปด้านข้าง บางครั้ง เสียงขลุ่ยที่ไพเราะและนุ่มนวลดังมาจากที่สูง ทุกครั้งที่เหมิงฉีเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นเกาะลอยน้ำเกาะอื่นๆ ข้างบน
เหมิงฉีเพิ่งเดินไปได้หน่อยก็มีชายอีกคนในอาภรณ์สีขาวเดินผ่านนางไป ชายคนนั้นสูง แขนอาภรณ์ยาวพลิ้วไสวอย่างสง่างาม และผมสีดำของเขาถูกมัดด้วยผ้าโพกศีรษะเล็กๆ บนศีรษะ เพียงแค่เห็นร่างด้านหลังของเขา เขาก็ดูเหมือนเซียนอยู่บ้าง
เหมิงฉีเหลือบมองร่างด้านหลังของชายคนนั้น
ซูจุนโม่ อีกแล้ว?
เขาก็ออกมาเร็วเหมือนกันหรือ?
ทุกครั้งที่เหมิงฉีเห็นชายคนนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงจิ้งจอกขาวผู้พูดมาก หนึ่งเดือนที่นางอยู่กับมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอในอาชีพแพทย์ พอเจ้าจิ้งจอกขาวมีกำลังขึ้นมาหน่อย มันก็จะพล่ามไม่หยุดปาก หากเหมิงฉีไม่สนใจ มันก็จะสะบัดหางไปมาด้วยความโกรธ ขนสีขาวปลิวว่อนไปทั่วห้อง จนเข้าปากเข้าจมูกนางก็มี
ทุกครั้งที่เหมิงฉีรักษามัน จิ้งจอกก็จะพูดไม่หยุด จนนางทนไม่ไหว ตองหนีไปหลบให้ไกลๆ แต่ขุนนางสวรรค์จิ้งจอกขาวห้าหางกลับมีท่าทีขุ่นเคือง นอนคว่ำตะกุยพื้น ใช้หัวดันไปมา พร้อมทั้งพึมพำไม่หยุดอยู่เป็นชั่วยาม
เหมิงฉีไม่มีความสามารถต้านทานสัตว์ตัวเล็กๆ ขนปุกปุยหูแหลมๆ ได้ นางก็หลบไปได้ไม่นาน เพราะซูจุนโม่ยังต้องได้รับการรักษาอยู่
…
กล่าวโดยสรุปคือ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เหมิงฉีรักษาซูจุนโม่ แต่ละวันของนางเหมือนยาวนานเป็นปี นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจิ้งจอกจะพูดมากได้ถึงเพียงนี้!
หลังจากที่ซูจุนโม่หายดีแล้ว สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เหมิงฉีก็เก็บข้าวของแล้วหนีไปทันที ต่อมาเมื่อใดที่นางพบกับซูจุนโม่ผู้สูงส่งและเย็นชา นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงจิ้งจอกขาวตัวนั้น
ซูจุนโม่ในร่างมนุษย์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ในยุทธภพ แต่เหมิงฉีกลับหลบหน้าเขาทุกครั้งที่เจอ เมื่อไม่มีขนปุกปุยและหูน่ารักๆ ซูจุนโม่ก็เป็นเพียงชายหนุ่มขี้โม้ที่น่ารำคาญ เหมิงฉีแทบจะทนฟังเสียงจิ้งจอกขาวพล่ามไม่หยุดไม่ได้ อีกทั้งเมื่อนางลองจินตนาการดูว่า ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้นี้คงจะพูดมากไม่ต่างกัน นางก็ได้แต่รู้สึกเบื่อหน่าย
ต่อมา มีผู้คนถามนางว่านางได้ทำอะไรผิดไว้หรือไม่ ทำไมถึงต้องหลบหน้าซูจุนโม่เช่นนั้น เหมิงฉีมองข้ามฝูงชนไปยังชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้สูงส่งและเย็นชา ก็อดลังเลไม่ได้ นางประหลาดใจมาก แม้ซูจุนโม่จะไม่สำนึกในบุญคุณ ก็ควรจะจำได้สิว่าใครเป็นคนรักษาเขาให้หายดี การทำเฉยเมยใส่ผู้มีพระคุณเช่นนี้จะดีหรือ
เหมิงฉีไม่สามารถบอกใครได้ว่าซูจุนโม่เป็นเพียงจิ้งจอกขาวขี้โวยวาย เพราะนั่นจะเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะผู้ฝึกตนมาร ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์จำนวนมากไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ซูจุนโม่คงไม่ยอมรับมันแน่นอน เพราะหากเปิดเผยตัวตนของเขาออกไป แม้ว่าผู้บ่มเพาะของมนุษย์จะไม่ฆ่าเขา เขาก็จะต้องถูกส่งออกจากสามภพและต้องกลับไปยังอาณาจักรมาร หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาคงจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างลู่ชิงหรันอันเป็นที่รักของเขาได้
ในตอนนั้น เหมิงฉีมองไปที่ดวงตาที่เฉยเมยและใบหน้าเย็นชาของซูจุนโม่ นางคิดว่าบางทีชายคนนั้นอาจจะฆ่านางเพื่อปิดปากของนาง เพื่อที่ความลับของเขาจะถูกซ่อนไว้ตลอดไป...
เหมิงฉีละสายตาไป สีหน้านางเย็นชากว่าเมื่อก่อน ตอนนี้นางเดาว่าต้องเป็นเพราะนางช่วยซูจุนโม่และยั่วยุลู่ชิงหรันอีกครั้งแน่ ไอ้โชคร้ายเฮงซวยมันถึงบินมาหานางอีกครั้ง
ชายในอาภรณ์คลุมสีขาวดูเหมือนจะสังเกตเห็นเหมิงฉี เขาไม่หันกลับมา แต่หยุดเดิน เสียงที่ไพเราะและทุ้มลึก เหมือนแสงอรุณยามเช้า ดังมาจากชายคนนั้น "สหายเต๋า ข้าเกรงว่าเจ้าจะไปผิดทาง วงคาถาเขตแดนเคลื่อนย้ายเพื่อออกจากพื้นที่นี้อยู่ทางด้านซ้ายบนถนนแยกเมื่อครู่นี้"
เขาไม่ใช่ซูจุนโม่งั้นเหรอ?!
นี่คือปฏิกิริยาแรกของเหมิงฉี นางคุ้นเคยกับเสียงของซูจุนโม่มาก หลังจากถูกหลอกหลอนด้วยการพูดพล่อยๆ ไม่รู้จบเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เสียงของเขาฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนาง จนไม่มีวันลืม
แต่ว่าเสียงนี้มัน...อาจารย์?!!
ทันใดนั้นเหมิงฉีก็เร่งฝีเท้า ไล่ตามชายอาภรณ์สีขาวที่อยู่ข้างหน้า หลังจากที่เขาพูดจบ ชายคนนั้นก็เริ่มเดินอีกครั้งและตอนนี้อยู่ไกลออกไปมาก ในระยะนี้ เหมิงฉีมองไม่เห็นร่างของเขาชัดเจนด้วยซ้ำ
เขาเป็นอาจารย์ของนางจริงๆ หรือ?
นางไม่ค่อยแน่ใจ เสียงของชายคนนั้นขาดน้ำเสียงที่ขี้เกียจและสบายๆ ของอาจารย์ของนาง และดูเหมือนจะแหลมคมกว่า แต่ว่า เสียงนั้นคล้ายกันมาก ยิ่งไปกว่านั้น....
เหมิงฉีนึกขึ้นได้ทันที เมื่อครู่นี้นางเหลือบมอง ผ้าโพกศีรษะของชายคนนั้นทำจากไม้จันทน์สีดำขนาดเล็ก ไม่ใช่หยกขาวที่ซูจุนโม่มักสวม
บทที่ 50– ชายคนนั้นคือใคร?! (III)
ช่างมันแล้ว!
เหมิงฉีเร่งฝีเท้าวิ่งตามบุรุษผู้นั้นไป เหตุผลที่นางอยากรอให้หุบเขาชิงเฟิงรวมเข้ากับวังสรรค์เฟินเทียนก็เพื่อเดินทางไปยังแดนประจิมกับพวกเขา หุบเขาชิงเฟิงตั้งอยู่ริมสุดของแดนบูรพา ห่างไกลจากแดนประจิมมาก ตัวสำนักแทบจะห่างจากเขตแดนที่แยกมนุษย์ออกจากแดนอสูรเพียงก้าวเดียว
ในชีวิตก่อนของเหมิงฉี นางได้พบอาจารย์ของนางหลังจากเวลาผ่านไปสองปี เขาคือชายผู้มีรูปลักษณ์ที่หาใครเทียบไม่ได้ มักจะดูเป็นคนง่ายๆและไม่เจ้าระเบียบ เขาบอกกับเหมิงฉีว่าเขามาจากสำนักที่ซ่อนเร้นอยู่ในแดนประจิม และบังเอิญได้พบกับนางในการมาเยือนแดนบูรพาครั้งแรกของเขา ในชีวิตนี้ เหมิงฉีต้องการตามหาเขาโดยเร็ว และไม่อยากรออีกสองปี นั่นแหละเป็นเหตุผลที่นางอยากที่จะไปแดนประจิม
แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเขาที่แดนเหนือสวรรค์
เหมิงฉีเร่งฝีเท้า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช่ท่านอาจารย์ของนางจริงหรือไม่ นางต้องยืนยันด้วยตัวเอง ร่างของชายอาภรณ์ขาวหายวับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว เหมิงฉีไม่ท้อแท้ นางไล่ตามไปในทิศทางที่ชายผู้นั้นจากไป แต่ก่อนที่นางจะไปได้ไกลกว่านี้ นางก็รู้สึกถึงมือบนไหล่ของนาง
“สหายเต๋า โปรดหยุด” เสียงเย็นชาของบุรุษดังขึ้น มีคนมาถึงข้างๆ นางอย่างเงียบๆ “สถานที่ข้างหน้าเป็นเขตหวงห้าม”
เสียงนั้นช่างไพเราะเสนาะหู แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเสียงที่กระทบกระเทือนจิตใจเหมิงฉี นางเกือบจะกระโดดไปด้านข้างด้วยความตกใจ
ชายอีกคนในอาภรณ์คลุมสีขาวยืนอยู่บนนั้น สีหน้าเย็นชา ผมสีดำถูกมัดด้วยผ้าโพกศีรษะหยกขาว ชายผู้นั้นมีดวงตารูปหงส์ที่ยาวและแคบ มีสันจมูกที่สูงและสวยงาม เพียงแค่เหลือบมอง เหมิงฉีก็ต้องยอมรับว่าซูจุนโม่มีเหตุผลที่จะทำตัวสูงส่งเช่นนี้
เหมิงฉีมองไปที่ซูจุนโม่
อีกฝ่ายเองก็กวาดตามองนางขึ้นลงด้วยสายตาจับผิด แม้ว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงสาวผู้นี้มาก่อน แต่เขาก็ยังมองดูนางอย่างครุ่นคิด ประมุขที่ไม่มีใครรู้ว่าหายไปอยู่ไหนอยู่ๆก็ปรากฎตัวและเรียกเขาเข้าไปในหอแดนเหนือสวรรค์เพียงเพื่อเพิ่มราคาประมูลให้แก่หญิงสาวผู้นี้เนี่ยนะ?!
และเมื่อครู่นี้ เขากำลังออกจากห้องประมูลพร้อมกับประมุข เขายังมีอีกหลายสิ่งที่อยากจะพูด แต่ว่าประมุขกลับเดินออกมาเพียงเพื่อเตือนเด็กสาวคนนี้ว่านางเดินผิดทางเนี่ยนะ
ดวงตาของซูจุนโม่สั่นไหว ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเหมิงฉีอสักเท่าไร แต่ใจของเขากลับปั่นป่วน รูปร่างหน้าตาของเหมิงฉีก็พอใช้ได้ แต่นางยังเด็กเกินไป! รูปร่างของนางด้อยกว่าพี่สาวในตระกูลของเขามาก โอสถที่นางกลั่นเป็นเพียงขอบเขตที่สองและขายได้ในราคาเพียงไม่กี่ร้อยหินจิตวิญญาณขั้นเจ็ดเท่านั้นเอง
ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยมีความสามารถ
แล้วทำไมประมุขถึงช่วยนาง?
มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสตรีคนนี้งั้นหรือ?
…
สีหน้าของซูจุนโม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความคิดนับไม่ถ้วนแล่นผ่านเข้ามาในใจ เขาสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังจากหญิงสาว
หึ! นางกำลังระวังเขา?!
ระวังอะไร?
นางคิดว่าเขาอาจจะทำอะไรกับนางสินะ?! หึ!
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน” เหมิงฉีมองไปข้างหน้าอย่างลังเล แต่นางก็รู้ว่าเมื่อมีซูจุนโม่อยู่ ก็ไม่มีทางที่นางจะไล่ตามชายคนนั้นต่อไปได้ สายตาของนางจับจ้องไปที่อาภรณ์คลุมสีขาวของซูจุนโม่ และหัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้น
เนื่องด้วยตัวตนของพวกเขา ผู้ฝึกตนแพทย์จึงมักจะละเอียดอ่อนต่อรายละเอียดมากกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆ เพียงแค่เหลือบมอง เหมิงฉีก็สังเกตเห็นทันทีว่าชายคนนั้นสวมอาภรณ์คลุมชั้นนอกซึ่งมีลักษณะคล้ายกับของซูจุนโม่เล็กน้อย แต่นั่นไม่อาจบอกอะไรได้นัก เพราะแบบอาภรณ์คลุมชั้นนอกของผู้ฝึกตนโดยทั่วไปก็คล้ายกัน อีกทั้งเมื่อครู่นางเพียงแค่เหลือบมอง ยังไม่ได้ดูอย่างละเอียด
“สหายเต๋า” ซูจุนโม่หันหลังกลับและชี้ไปอีกทางหนึ่ง “วงอาคมเคลื่อนย้ายอยู่ทางนั้น”
“แล้วอันที่นี่ล่ะ?” เหมิงฉีถาม “ที่นี่ไม่ได้เชื่อมต่อกับแดนเหนือสวรรค์หรือ?”
“ไม่” ซูจุนตอบอย่างเนือยๆ
“โอ้” เหมิงฉีพยักหน้า “ขอบคุณ สหายเต๋า”
ถ้าอันนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับเมือง ก็ต้องเชื่อมต่อกับเกาะลอยน้ำอีกแห่งหนึ่ง มันไม่น่าจะเป็นวงแหวนการเคลื่อนย้ายที่จะออกจากแดนเหนือสวรรค์ ไม่อย่างนั้นซูจุนโม่คงไม่ตั้งใจหยุดนาง
“สหายเต๋า ขอบคุณสำหรับคำเตือน” เหมิงฉีก้าวถอยหลัง จากนั้นนางก็หันหลังกลับและเดินไปตามทางเดิม แม้จะไม่หันหลังกลับ นางก็รู้ว่าชายผู้นั้นกำลังจับตาดูอยู่ข้างหลัง
เหมิงฉีหลับตาแล้วเดินผ่านอาคมการเคลื่อนย้ายกลับไปที่ห้องของนาง แผ่นหยกในมือของนางอุ่นขึ้นเล็กน้อยจากความร้อนของนาง นางเปิดฝ่ามือแล้วมองไปที่หยกขนาดเล็กที่สวยงามแต่ลึกลับ
คนผู้นั้นเป็นใครกัน?
นางส่ายหัว พยายามสะบัดความคิดทิ้งไป จากนั้นนางก็โยนแผ่นหยกกลับไปที่กำไลเก็บของของนาง เมื่อเหมิงฉีหันศีรษะไป เซียวฉียังคงนอนนิ่งอยู่ข้างๆ นาง หัวเล็กๆ ของมันห้อยอยู่บนอุ้งเท้าของมัน และมันดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไป
“เซียวฉี?” เหมิงฉียื่นมือไปจับคางของมัน ตรวจดูเจ้าตัวน้อย “เจ้าเป็นอะไร…” ดวงตาของมันหรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเซียวฉีจะนอนหลับมากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่มันก็ดูเหนื่อยในตอนนี้ ราวกับว่ามันเพิ่งทำอะไรที่จำเป็นต้องออกแรงมาก
อาการบาดเจ็บของมันทำไมจู่ ๆ ถึงผิดปกติขึ้นมากัน?!
เหมิงฉีตรวจสอบสภาพของมันอย่างรวดเร็ว
ยังไม่แย่ลง!
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก อาการบาดเจ็บของมันไม่แย่ลง และก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
เหมิงฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางหยิบโอสถเป่ยหมิงออกมาจากพื้นที่เก็บของและยัดเข้าไปในปากของเซียวฉี แต่เมื่อนางกำลังจะพูด นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายจากข้างนอก
“สหายเต๋าเหมิง!” มีคนเคาะประตู เขาดูร้อนรนมาก “สหายเต๋าเหมิงอยู่ไหม? ท่านนายน้อยของพวกเราได้รับบาดเจ็บ ได้โปรดช่วยดูหน่อยเถิด” เสียงข้างนอกหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยความร้อนใจ “เขาบอกว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รักษาเขาได้!”