บทที่ 36 – เมืองชิงเฟิง (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 36 – เมืองชิงเฟิง (I)
ฉู่เทียนเฟิงตัวแข็ง หน้าของเขาเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง จากนั้นค่อย ๆ กลายเป็นขาวอีกครั้ง เขาก้มศีรษะลงอย่างช้าๆ ชายหนุ่มหยิบพื้นที่เก็บของใหม่ที่ผู้อาวุโสของสำนักให้มา นับหินวิญญาณขั้นหกสามสิบก้อน แล้วส่งให้เหมิงฉี "สิบห้าก้อน รวมเป็นหินวิญญาณสามสิบก้อน"
ชายหนุ่มยืนตัวตรงหลังตรง ขนตายาวของเขาห้อยลงมา และเขาก็เม้มริมฝีปากบางแน่น บนฝ่ามือของเขา มีกองหินวิญญาณสามสิบก้อนเรียงกันอย่างเรียบร้อย เป็นประกายสวยงามภายใต้แสงตะวัน
เหมิงฉีตกตะลึง นางคิดว่าฉู่เทียนเฟิงจะหันหลังกลับและจากไปด้วยความโกรธเสียอีก ที่จริงนางไม่ได้มีเจตนาจะรับเงินของเขาอีก เพราะว่าที่นางให้เขาไป มันเป็นเพียงโอสถชิงเฟิงขอบเขตแรก สำหรับผู้บ่มเพาะแพทย์อย่าง เสี่ยวหลินโม่และเสวี่ยจินเหวิน ราคาที่สูงนั้นสมเหตุสมผลสำหรับพวกเขา เนื่องจากมันมีวิธีการกลั่นโอสถที่ไม่ธรรมดา พวกเขาเต็มใจที่จะซื้อมันในราคาหินวิญญาณขั้นหกสองก้อนหรือสูงกว่านั้น ด้วยความที่พวกเขาอยากจะวิจัยวิธีการกลั่นของมัน
ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถอนุมานวิธีการกลั่นได้เพียงแค่การดูเม็ดโอสถ เหมิงฉีก็รู้สึกชื่นชมพวกเขาอย่างจริงใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในตอนนั้น นางกับอาจารย์ของนางใช้เวลาเกือบครึ่งปี ทดลองกับกลิ่นไอหลายพันตัว จึงประสบความสำเร็จ วิธีการกลั่นนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยหินวิญญาณขั้นหกหลายก้อน สำนักแพทย์ทุกแห่งเองก็คงยินดีที่จะใช้ทุกอย่างที่พวกเขามีเพื่อแลกกับความลับเรื่องนี้
ทั้งเสี่ยวหลินโม่และเสวี่ยจินเหวินต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะแพทย์ แน่นอนพวกเขารู้ถึงความจริงของโอสถเม็ดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับวิธีการกลั่นและเพียงแค่ซื้อโอสถเม็ดเพื่อทำการวิจัยด้วยตนเอง ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ซื้อไม่ถึงห้าเม็ด
ในใจของเสี่ยวหลินโม่ก็คงรู้ดี หากเอาจริง ๆ การจะใช้หินวิญญาณขั้นหกหลายก้อนเพื่อซื้อโอสถเม็ดนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเกิดขายเม็ดโอสถนี้เข้าไปในพื้นที่การประมูลจริง ๆ มันคงจะมีหลายสำนักที่ยินดีซื้อในราคาที่สูงกว่ามาก จนเขาเองก็ไม่อาจแย่งซื้อมาได้
แต่มันแตกต่างสำหรับฉู่เทียนเฟิง สำหรับเขา โอสถนี้ใช้เพื่อล้างพิษเท่านั้น ถึงแม้ว่าผลจะดีกว่าโอสถชิงเฟิงขอบเขตแรกธรรมดามาก แต่มันก็ไม่ดีพอขนาดที่เขาต้องจ่ายราคาสูงกว่าปกติหลายพันเท่าเพื่อซื้อมัน
ตอนแรก เหมิงฉีคิดว่าคุณชายฉู่ผู้หยิ่งผยองจะโกรธคำพูดของนาง และหันหนีไปด้วยความดูถูก ตอนนี้นางมีวิธีหาเงินอยู่แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องถอนขนทุกเส้นออกจากตัวของฉู่เทียนเฟิง นางพูดเช่นนั้นเพียงแค่อยากจะทำให้ฉู่เทียนเฟิงโกรธ เพราะเขาเอาแต่ปรากฏตัวต่อหน้านางเสมอ อีกอย่าง การที่เขาโผล่มาหาเหมิงฉีตลอดอาจนำความไม่พอใจของลู่ชิงหรันมาลงใส่นางอีก นางกลัวแค่สวรรค์จะลงโทษนางเพราะไปข้องเกี่ยวกับผู้เป็นบุตรีแห่งโชคชะตา
ว่าแต่ คุณชายฉู่ผู้นี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่?
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเหมิงฉี นางช่วยเขาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ และเขาก็ทำราวกับว่าเขาไม่รู้เรื่องความเมตตานี้ของนางเลย ต่อมานางถูกคุมขังเป็นเวลาสามเดือน นับประสาอะไรกับพูดเพื่อปกป้องนางหรือพยายามปล่อยนางออกไป ฉู่เทียนเฟิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาง ถ้าหากเขาจะตอบแทนนางสักหน่อย นางขอแค่ตำรับโอสถก็พอแล้ว
หรือให้อะไรแก่นางก็ได้ ไม่ใช่มาขังนางสามเดือนไปอย่างไร้ประโยชน์
ครั้งนี้นางกอบโกยหินวิญญาณได้มากมาย และเรียกเก็บเงินจากเขาในราคาที่สูงมาก ถึงกระนั้น อีกฝ่ายกลับยังคงยึดติดกับนางอย่างไม่ลดละและปฏิเสธที่จะหนีไปด้วย
น่ารำคาญจริงๆ!
เหมิงฉีนึกถึงคำพูดที่พี่สาวคนหนึ่งที่นางพบในชาติที่แล้วเคยกล่าวไว้ว่า 'คนเรา โดยเฉพาะผู้ชาย ล้วนมองทุกสิ่งราคาถูก และไม่เคยรู้จักทะนุถนอมสิ่งที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร!'
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมิงฉีก็ยื่นมือออกไปหยิบหินวิญญาณ นางจ้องมองฉู่เทียนเฟิงโดยไม่กระพริบตา หวังว่าชายหนุ่มจะโกรธและหันกลับไป คุณชายฉู่ก้มหน้าลง ยืนนิ่งอย่างว่าง่าย สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้ดูอารมณ์เสียแม้แต่น้อย
เหมิงฉี "..."
นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "จากนี้ไปเราไม่มีสิ่งใดติดกันแล้ว ข้าแม้นร่ำรวยเงินทอง แต่อับโชค ตัวข้าเพียงต้องการจดจ่อกับการบ่มเพาะของตนเอง ดังนั้น ข้าไม่ต้องการแบกรับความสัมพันธ์มากเกินไป จากนี้ไป ถึงแม้จะพบกันบนท้องถนน ก็เพียงแค่พยักหน้ากันเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันไป...แน่นอนว่าตัวคุณชายฉู่สามารถเมินเฉยต่อข้าได้เลย ซึ่งข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านมากหากทำเช่นนั้น"
"เจ้า..." ฉู่เทียนเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเหมิงฉีทันที
"อีกอย่าง" เหมิงฉีเสริม "ท่านห้ามบอกเรื่องเสือขาวตัวน้อยให้ใครรู้!"
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน"
เหมิงฉีเดินออกจากประตูสำนักโดยไม่หันกลับมามอง เนื่องจากความจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยเสี่ยวฉี นางเกือบจะเข้าไปพัวพันกับฉู่เทียนเฟิงไปแล้ว คำสาบานวิญญาณอะไรกัน? หลังจากทำแล้ว บุคคลผู้นั้นจะไม่สามารถตะบัดสัตย์ที่พวกเขาพูดในระหว่างคำสาบานได้ ซึ่งพอฉู่เทียนเฟิงสาบานว่าจะไม่ขัดคำสั่งของเหมิงฉี ดังนั้นเมื่อนางบอกให้ปฏิบัติต่อกันในฐานะคนแปลกหน้า นี่ก็นับเป็นคำสั่งเช่นกัน ถ้าฉู่เทียนเฟิงทำไม่ได้ เขาก็จะต้องรับโทษจากสวรรค์
ผู้อาวุโสของวิหารเฟินเทียนที่มีพลังขั้นก่อกำเนิดวิญญาณอยู่ที่นี่ และยังมีฉู่เทียนเฟิง เจ้าสำนักในอนาคตของพวกเขา ด้วยความช่วยเหลือของทั้งสอง วิกฤตที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่คุกคามความปลอดภัยของผู้ฝึกตนในหุบเขาชิงเฟิง หรือแม้แต่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองชิงเฟิงเชิงใต้เขา
เมื่อเหมิงฉีมาถึงเมืองชิงเฟิง ผู้คนจำนวนมากยังคงคึกคัก ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่สงบสุขเลย เมืองชิงเฟิงมีคนไม่มากนักเพราะเป็นเมืองเล็กๆ ก็เป็นอันเข้าใจได้ เพราะหุบเขาชิงเฟิงก็เป็นแค่สำนักเล็กๆ และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักใหญ่ในแดนบูรพา ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ ทันทีที่พวกเขาเห็นเหมิงฉี พวกเขาก็รีบมารวมตัวกันและทักทายนาง
"แพทย์น้อยเหมิงมาแล้ว!"
"สวัสดีตอนบ่าย แพทย์น้อยเหมิง"
"แพทย์น้อยเหมิง เจ้ามาถูกเวลาพอดีเลย ส้มในสวนของข้าเพิ่งสุกเป็นผลแรกของปีนี้ น้ำค้างแข็งยังไม่ถูกเช็ดออกไป นำกลับไปชิมเถิด"
"ส้มโอของข้าปีนี้ก็น้ำหวานฉ่ำเช่นกัน เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เลย! เจ้าก็น่าจะเอาไปบ้างนะ"
"พี่สาวเหมิง สวัสดีตอนบ่าย!"