บทที่ 22 บรรยากาศแห่งศึกครั้งนั้น (ตอนต้น)
บทที่ 22 บรรยากาศแห่งศึกครั้งนั้น (ตอนต้น)
ยามเช้าตรู่ ณ สนามรบที่พร้อมจะตรวจพล
นี่คือการยกทัพออกรบครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านเฟิ่งเซียง เป็นการตอบโต้อันชอบธรรมที่ได้รับอนุญาตจากราชสำนัก นับแต่ประกาศเรื่องหมู่บ้านเฟิ่งเซียงถูกโจมตีออกมา ชาวบ้านผู้ซื่อตรงต่างก็ไม่อาจระงับความโกรธแค้นในใจได้ หากจะกล่าวว่าประกาศจากเมืองหลวงและเจิ้งอาหนิวสามวันหลังจากนั้นทำให้ความโกรธของชาวบ้านระเบิดออกมา เช่นนั้นในช่วงเวลาก่อนออกรบครั้งนี้ ไฟแห่งสงครามก็ได้ลุกโชนถึงขีดสุดแล้ว
การออกรบครั้งนี้สั่นสะเทือนหัวใจของชาวบ้านเฟิ่งเซียงทุกคน แต่เช้าตรู่ ลานกว้างหน้าค่ายทหารก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาวบ้านจากหมู่บ้านหลัก หมู่บ้านในสังกัด และค่ายต่างๆ ใครที่มาได้ก็มากันหมด จนลานกว้างดูคับแคบไปถนัดตา
"เสี่ยวหม่า ออกไปครั้งนี้ ต้องสั่งสอนพวกหมู่บ้านซินหมอให้สาสมกับที่มันทำไว้นะ!"
"ถ่านหิน พวกเราหลายคนมีแกคนเดียวที่ถูกเลือกเข้าค่ายทหาร ในสนามรบแกต้องว่องไวหน่อยนะ ฆ่าพวกมันให้มากๆ ให้พวกเราได้หน้าบ้างล่ะ!"
"พี่บ้าเอ๊ย พ่อบอกว่าถ้าครั้งนี้พี่ไปรบแล้วได้ความดีความชอบ ก็จะยอมให้หนูแต่งงานกับพี่ พี่ต้องพยายามนะ สู้ๆ!"
"ไอ้หมา ถ้าครั้งนี้แกไปทำให้พ่อขายหน้าในสนามรบ ก็อย่ากลับมาบ้านอีกเลย!"
...
ทหาร 37 นายที่ถูกคัดเลือก หลังจากผ่านการฝึกแบบโหดของเกาซุ่นมาหลายวัน ก็เริ่มมีท่าทางองอาจขึ้นบ้างแล้ว แม้ว่าระยะเวลาฝึกจะยังสั้น แม้ว่าจะยังไม่เคยผ่านการทดสอบด้วยเลือดและไฟ แต่คำให้กำลังใจและความคาดหวังของพ่อแม่พี่น้องในยามนี้ ทำให้เหล่าทหารลืมความกังวลและความประหม่าก่อนออกรบครั้งแรกไปสิ้น ไฟแห่งสงครามกำลังลุกโชน!
ขวัญและกำลังใจทหารพร้อมแล้ว! เจิ้งอาหนิวค่อยๆ เดินมาหยุดตรงหน้าเหล่าทหารที่กำลังจะออกรบ บรรยากาศที่เดือดพล่านก็สงบลงในทันที
"ห้าวันก่อน หมู่บ้านซินหมอแห่งอำเภอตงไหลเล็งเห็นทรัพย์สมบัติของหมู่บ้านเรา คิดว่าเราไม่มีกำลังทหาร จึงบังอาจส่งคนมาโจมตีในยามวิกาล แม้จะถูกขัดขวางไว้ได้ ไม่ทันสร้างความเสียหายแก่ชาวบ้านของเรา แต่การยั่วยุเช่นนี้ พวกเราจะยอมทนได้หรือ???"
"ไม่ได้! ไม่ได้!..."
เสียงตะโกนก้องกังวานดังไปทั่วหน้าค่ายทหาร! เจิ้งอาหนิวโบกมือแล้วกล่าวต่อ
"วันนี้คือวันดีที่หมู่บ้านเฟิ่งเซียงของเราจะยกทัพออกรบ! หากปล่อยให้การยั่วยุของหมู่บ้านซินหมอครั้งนี้ผ่านไปเฉยๆ มันจะกลายเป็นความอัปยศอดสูที่หมู่บ้านเฟิ่งเซียงไม่มีวันล้างออกได้! สงครามเป็นเรื่องโหดร้าย บางทีในหมู่พวกเจ้าอาจมีคนที่ไม่ได้กลับมา ต้องม้วยม้างในแดนไกล พวกเจ้ากลัวไหม?"
"ฆ่า! ฆ่า!! ฆ่า!!!" เหล่าทหารที่ถูกปลุกเร้าให้เลือดเดือดพล่านถึงกับตะโกนจนเสียงแหบแห้ง
"ดี! สมแล้วที่เป็นลูกผู้ชายของหมู่บ้านเฟิ่งเซียง ข้าจะเตรียมสุราฉลองชัยชนะไว้ในหมู่บ้าน รอต้อนรับเหล่าทหารกลับมาอย่างมีชัย เลือดของชาวเฟิ่งเซียง จะหลั่งเพื่อเฟิ่งเซียงเท่านั้น!" พูดจบ เจิ้งอาหนิวก็ชูแขนขึ้นตะโกนสุดเสียง ไม่เหลือความสุขุมเยือกเย็นของบัณฑิตอีกต่อไป
"เลือดของชาวเฟิ่งเซียง จะหลั่งเพื่อเฟิ่งเซียงเท่านั้น!"
"เลือดของชาวเฟิ่งเซียง จะหลั่งเพื่อเฟิ่งเซียงเท่านั้น!"
...
ไม่เพียงแต่ทหารที่กำลังจะออกรบเท่านั้น ชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่ในที่นั้นก็พากันตะโกนตาม ราวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในน้ำ สร้างระลอกคลื่นออกไปเป็นวงกว้าง เสียงตะโกนก้องกังวานดังไปไกลสุดหู
ท่ามกลางเสียงตะโกนเช่นนี้ เกาซุ่นก็นำกองทัพออกเดินทาง
---
หมู่บ้านซินหมออยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฟิ่งเซียงนัก เพียงแค่ 35 ลี้ หากเดินทางเร็วๆ ก็ใช้เวลาแค่ชั่วยามเดียวก็ถึง แต่เจิ้งอาหนิวไม่อยากให้ทหารของเขาหมดแรงตั้งแต่ยังไม่ทันถึงสนามรบ ตอนนี้เหล่าทหารผู้มีค่าจึงนั่งอยู่ในรถม้าที่หมู่บ้านเฟิ่งเซียงเร่งผลิตออกมาในช่วงไม่กี่วันนี้ นอกจากจะได้พักผ่อนสะสมพลังแล้ว ยังเร็วกว่าการเดินด้วยสองขามาก ดูเหมือนว่า "กองกำลังเคลื่อนที่เร็ว" กองแรกของยุคสามก๊กจะเกิดขึ้นเช่นนี้
คนเดียวที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนั่งรถม้า ก็มีแต่เกาซุ่นเจ้าลาดื้อคนนี้ แม้ว่าคุณภาพม้าของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงจะไม่ดีนัก แต่เกาซุ่นก็ยังเลือกที่จะขี่ม้าคุณภาพต่ำ แทนที่จะนั่งอัดแน่นอยู่ในรถ ตามคำพูดของเขา: นี่คือหน้าที่ของผู้เป็นแม่ทัพ จริงๆ แล้วการให้ทหารนั่งรถซึ่งเป็นความปรารถนาดีนี้ ในสายตาของเกาซุ่นมันก็เหมือนกับการถอดกางเกงแล้วฉี่ไม่มีผิด
ถ้าระหว่างทางถูกศัตรูซุ่มโจมตีจะทำอย่างไร? หากต้องรีบลงมาสู้รบคงจะเสียเปรียบแน่ ๆ ! โชคดีที่หลี่ฉีรับประกันว่าจะส่งจอมยุทธ์บางส่วนออกไปสอดแนมล่วงหน้า เกาซุ่นจึงค่อยวางใจลงได้บ้าง แม้ว่าประกาศของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงจะระบุว่ายกทัพออกไป 38 คน แต่พวกจอมยุทธ์เหล่านี้ก็แค่ไปสืบข่าว ไม่ได้ลงมือสู้รบ ไม่อย่างนั้นพวกทหารเหล่านี้คงต้องขึ้น "รถเมล์สาย 11" กันแล้ว... สองขาก็คือสาย 11 นั่นแหละ...
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการรบขนาดเล็ก แต่การรบครั้งแรกที่เปิดเผยระหว่างผู้เล่นที่เป็นเจ้าเมือง ภายใต้การจัดฉากและปลุกระดมของเจิ้งอาหนิว การรบครั้งนี้จึงดึงดูดสายตาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี นับไม่ถ้วน ตั้งแต่การรวมพลที่ค่ายทหารในยามเช้า ก็มีผู้เล่นประเภทนักผจญภัยมาชมกันมากมาย ผู้เล่นที่ร่วมเดินทางไปกับกองทัพตามเส้นทางยิ่งมากมายมหาศาล
ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งที่ทุกคนมี หวังเพียงว่าหมู่บ้านซินหมอจะไม่เข้าใจผิดในเจตนาของเหล่าผู้เล่นเหล่านี้ จนตกใจเสียขวัญไปเสียก่อน
สายลมยามเช้าพัดมาปะทะใบหน้า เกาซุ่นรู้สึกสดชื่นจนสุดขีด ธงของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงสะบัดพลิ้วอย่างร่าเริง วันนี้เป็นครั้งแรกที่มันได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ไม่มีท่าทีจะถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย
ธงของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงดูน่าสนใจทีเดียว ในแผนเดิมนั้น เป็นรูปหงส์ไฟกำลังเหินฟ้า ท่าทางเหมือนกำลังเปล่งเสียงร้องก้องฟ้า ซึ่งเข้ากับชื่อหมู่บ้านเฟิ่งเซียงเป็นอย่างดี คนส่วนใหญ่พอใจกับแบบนี้มาก มีเพียงคนเดียวที่ไม่พอใจ - เจิ้งอาหนิว ท่านผู้ใหญ่บ้านผู้นี้ให้เหตุผลว่า: ถ้าธงทหารคำนึงถึงแต่ชื่อหมู่บ้านมากเกินไป เช่นนั้นธงของหมู่บ้านซินหมอก็ควรจะเป็นรูปหัวใจที่มีเลือดหยด บวกกับรูปปีศาจสินะ? เนื้อหาแบบนี้มันไม่พอ! ตื้นเกินไป ต้องทำใหม่!
ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ดังนั้นเตียวคับจึงต้องทำแบบใหม่ออกมาอีกหลายแบบ
หงส์ใช้ไม่ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นมังกรดีไหม? พวกเราไม่ใช่ลูกหลานมังกรกันหรอกหรือ?
อะไรนะ ยังไม่ได้อีกหรือ? งั้นใช้มังกรคู่หงส์ดีไหม?
ยังไม่พอใจอีก? หลังจากนั้นเตียวคับแทบจะเอาสัตว์วิเศษในตำนานซานไห่จิงมาวาดจนหมด พอท้อใจก็เลยลองวาดไก่ เป็ด ห่าน แมว หมา กระต่าย สารพัดสัตว์จนหมด สุดท้ายก็... พังทลาย...
ในขณะที่เตียวคับคนซื่อสัตย์นี้กำลังหมดหนทาง บังทองก็เสนอความคิดให้เขา "แบบนี้ใช้ได้ไหม?" เตียวคับกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย สุดท้ายก็ฝืนใจนำแบบใหม่ไปให้เจิ้งอาหนิวดู ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งที่ 167 แล้วที่ส่งให้ตรวจ...
"อืม แบบนี้ใช้ได้! ทั้งสื่อความหมายของชื่อเฟิ่งเซียง ทั้งไม่ซ้ำแบบใคร เปิดมิติใหม่ เอาแบบนี้แหละ!" ในที่สุดเจิ้งอาหนิวก็ตัดสินใจ เตียวคับถึงกับน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ
"ดูเหมือนว่าปัญญาของซือหยวนจะเหนือกว่าข้าจริงๆ!" เตียวคับที่รอดพ้นจากหายนะอุทานในใจ
ธงทหารของหมู่บ้านเฟิ่งเซียง ท่ามกลางเสียงเรียกร้อง "ขี้" ออกมาอย่างกระตือรือร้นของทุกคน ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด: ด้านขวาบนของธง บนท้องฟ้ายังคงเป็นหงส์ไฟที่กำลังโบยบิน; ด้านซ้ายบนเป็นดวงอาทิตย์สีแดงที่แผ่รัศมีสว่างไสว; ตรงกลางเป็นวัวชนขนาดมหึมา ยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน เขาวัวชี้ตรงไปยังดวงอาทิตย์ เปล่งประกายวับวาว ดูยโสโอหังเหลือเกิน
น่าสงสารเตียวคับที่วนเวียนอยู่นาน แต่กลับนึกไม่ถึงที่จะเพิ่ม "วัว" สัตว์ที่อ่อนโยนเช่นนี้ลงไปในธงทหาร แน่นอนว่าท่านผู้ใหญ่บ้านเจิ้งอาหนิวย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว! แต่แน่นอน หลังจากผ่านร้อยพันอุปสรรค เจิ้งอาหนิวก็ได้รับชัยชนะที่ต้องการในที่สุด
ตอนนี้เจิ้งอาหนิวกำลังดื่มชากับบังทองและเตียวคับที่สำนักงานหมู่บ้าน พลางรอฟังรายงานสงคราม จริงๆ แล้วเจิ้งอาหนิวอยากส่งบังทองไปด้วยมาก คุณสมบัติพิเศษของแม่ทัพคนนี้ช่างน่าทึ่งจนลืมไม่ลง
การโน้มน้าวใจ: เมื่อปะทะกัน มีโอกาสเล็กน้อยที่จะโน้มน้าวให้กองทัพฝ่ายตรงข้ามเข้าร่วมกับฝ่ายเรา
การเกณฑ์ทหาร: หลังจากการรบทุกครั้ง จะฟื้นฟูจำนวนทหารที่แม่ทัพทุกคนนำมา 5%
ลองคิดดู ถ้าโน้มน้าวใจสำเร็จในสนามรบ กองทัพของหมู่บ้านซินหมอก็จะพ่ายแพ้ทันที และด้วยคุณสมบัติการเกณฑ์ทหาร หมู่บ้านเฟิ่งเซียงก็แทบจะไม่ต้องสูญเสียทหารในการรบครั้งนี้เลย! แรงจูงใจอันรุนแรงทำให้เจิ้งอาหนิวอยากให้เกาซุ่นยอมรับความคิดนี้อย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ความดื้อรั้นของเกาซุ่นในเรื่องการนำทัพนั้นแรงกล้ายิ่งกว่า แม้ว่าปกติจะดูเหมือนสาวน้อยที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ตาม
ในท้ายที่สุด ด้วยความเคารพในเกียรติยศทหารของเกาซุ่น และไม่อยากเปิดเผยกำลังของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงมากเกินไป อีกทั้งดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก เจิ้งอาหนิวจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป อย่างไรก็ตาม เกาซุ่นที่ได้รับชัยชนะเพียงบางส่วนก็ต้องจ่ายราคา: ในการรบครั้งนี้ เกาซุ่นต้องสละสิทธิ์ในการใช้ชื่อตัวเอง ต้องออกรบในนามของเจิ้งอาหนิว ดังนั้น ตอนนี้ในกองทัพนอกจากธง "เฟิ่งเหนียว" (หงส์วัว) อันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ก็มีธงที่เขียนตัวอักษร "เจิ้ง" ขนาดใหญ่ปักอยู่ด้วย
เจิ้งอาหนิวค่อนข้างพอใจกับข้อตกลงนี้ อย่างน้อยความลับของเกาซุ่นที่หมู่บ้านเฟิ่งเซียงรับมาก็ยังคงรักษาไว้ได้ต่อไป
---
เมื่อมาถึงระยะห้าหลี่จากหมู่บ้านซินหมอ เกาซุ่นสั่งให้ทหารลงจากรถ และเข้าแถวเดินหน้า การออกกำลังกายก่อนรบก็เป็นสิ่งจำเป็น นี่ก็คือการอุ่นเครื่องนั่นเอง
พวกจอมยุทธ์ที่หลี่ฉีส่งมาสอดแนมและขบวนรถม้าก็หยุดอยู่ที่นี่ รอผลการรบ พวกเขาทำภารกิจขั้นแรกสำเร็จแล้ว ส่วนภารกิจขั้นที่สองนั้น ก็ต้องดูผลการรบก่อน
ในช่วงไม่กี่วันนี้ หมู่บ้านซินหมอก็ไม่ได้อยู่เฉย นอกจากเกณฑ์และฝึกทหารแล้ว ยังระดมชาวบ้านให้ขุดคูและวางแนวกั้นม้านอกหมู่บ้าน เหลือเพียงทางเดินแคบๆ กว้างพอให้คนสองคนเดินสวนกันได้
แม้จะเป็นหมู่บ้านระดับสองเหมือนกัน แต่หมู่บ้านซินหมอมีความได้เปรียบในการรบในบ้านตัวเอง อีกทั้งกำลังทหารก็เหนือกว่าหมู่บ้านเฟิ่งเซียง แม้จะเป็นแค่ทหาร NPC แต่หมู่บ้านซินหมอก็มีจำนวนมากกว่าหมู่บ้านเฟิ่งเซียงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หมู่บ้านของเจ้าอู่จี้ยังมีเพื่อนที่เป็นผู้เล่นประเภทนักผจญภัยอยู่สิบกว่าคน เมื่อเรียกเพื่อนมาช่วย เจ้าอู่จี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีกำลังทัพเข้มแข็ง จึงไม่คิดจะเลียนแบบเต่าหดหัวปิดประตูตั้งรับ นอกหมู่บ้านซินหมอ แม่ทัพและทหารของเจ้าอู่จี้ก็เตรียมพร้อมรบแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อได้เปรียบทั้งภูมิประเทศและกำลังทหาร หากปิดประตูไม่ออกมาสู้ ก็จะเป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจของทหารหมู่บ้านซินหมออย่างมาก
เมื่อเห็นกองทัพของหมู่บ้านเฟิ่งเซียงมาถึง ทหารของหมู่บ้านซินหมอก็ตั้งแถวเตรียมพร้อม สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน การรบกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า!
แม่ทัพของหมู่บ้านซินหมอเป็นผู้ที่เจ้าอู่จี้เปลี่ยนอาชีพมาตามวิธีของฮั่นอู่ตี้ แน่นอนว่าสามารถนำทัพรบได้ แต่คุณสมบัติน่ะเหรอ... ไม่พูดถึงก็ดีกว่า ตอนนี้หน้าที่ของแม่ทัพทั้งสองคือต้านทัพหมู่บ้านเฟิ่งเซียงไว้นอกประตูหมู่บ้าน ด้วยความที่มีกำลังทหารเหนือกว่า ชายผู้หนึ่งจึงเริ่มฮึกเหิม ตะโกนใส่เกาซุ่นว่า
"เฮ้ย! ไอ้หน้าโง่นั่น พาทหารแค่นี้ก็กล้ามาอาละวาดที่หมู่บ้านซินหมอของข้า ปีหน้าวันนี้ก็จะเป็นวันตายของเจ้า! กล้าส่งม้ามาไหม ข้าหวงซานจะสับเจ้าให้ตายคาอานเลย!" ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสองแม่ทัพอันน้อยนิดของหมู่บ้านซินหมอ ความรู้สึกเหนือกว่าของชายผู้นี้แรงกล้าจนรู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่หาตัวจับยากทั้งในอดีตและปัจจุบัน
"ฮ่าๆ กบในบ่อก็กล้าคุยโวถึงเพียงนี้ ครั้งก่อนที่พวกเจ้าลอบโจมตีหมู่บ้านเฟิ่งเซียงของเรานั้นไร้เหตุผลนัก วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของข้า เข้ามาสิ!"
เกาซุ่นปฏิบัติตามข้อตกลงกับเจิ้งอาหนิวอย่างเคร่งครัด ไม่เอ่ยถึงชื่อตัวเอง พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าตนเป็นฝ่ายถูก กำลังมาปราบปรามความชั่วร้าย
หวงซานรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ดูเหมือนแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามจะไม่รู้จักชื่อเสียงของตนเลย ความผิดหวังนำมาซึ่งความโกรธ เขาควบม้าออกมาท้ารบ เกาซุ่นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน
หวงซานที่โกรธจัดใช้วิชาดาบอันเดือดดาลของเขา หมายจะระบายความโกรธ แต่ความโกรธของเขาก็มอดดับลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ปะทะกันไม่กี่กระบวนท่า หวงซานก็พบว่าคู่ต่อสู้คนนี้... ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เขาจะเอาชนะได้ เพื่อที่จะมีฟืนให้เผาไหม้ต่อไปในระยะยาว แน่นอนว่าต้องรักษาภูเขาเขียวไว้ก่อน หวงซานที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางราวกับจะกลับชาติมาเกิดเป็นเบ้งเฮ็ก ตอนนี้สมองมีแต่ความคิดว่าจะหนีกลับแนวรบของตัวเองอย่างไร ดูเหมือนการประลองครั้งนี้จะไม่มีความลุ้นระทึกเลย...
ในยุคสามก๊ก ผู้คนให้ความสำคัญกับ "ความจงรักภักดีและคุณธรรม" แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาส่วนใหญ่ก็ยึดมั่นในแนวคิดนี้
"ความจงรักภักดี" นั้นยิ่งใหญ่ "คุณธรรม" นั้นสูงส่ง แต่ชีวิตก็มีเพียงครั้งเดียว คนที่สามารถละทิ้งชีวิตเพื่อ "ความจงรักภักดีและคุณธรรม" ย่อมมีอยู่ แต่น่าเสียดายที่หวงซานผู้นี้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนประเภทนั้น
เพียงแค่ปะทะกันหนึ่งกระบวน วิชาดาบอันเดือดดาลของเขาก็ไม่เดือดดาลอีกต่อไป - ดาบไม่ได้อยู่ในมือเขาแล้ว กำลังหมุนติ้วอยู่กลางอากาศ มองหาที่ลงจอด ดูเหมือนว่าแรงของทวนเกาซุ่นจะหนักเกินไปหน่อย มือทั้งสองข้างราวกับจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว ชาและไร้เรี่ยวแรง โชคดีที่หวงซานผู้ตกใจกลัวมีฝีมือขี่ม้าดีกว่าฝีมือดาบอย่างเห็นได้ชัด ขาทั้งสองบีบรัดท้องม้าแน่น ยังไม่ตกจากหลังม้า
น่าเสียดายที่เกาซุ่นบอกว่าจะให้โอกาสเขาเพียงครั้งเดียว หวงซานก็ต้องยอมรับชะตากรรม เลือดพุ่งทะลักออกมาจากอก "ข้าไม่ควรออกมาเลย ความหุนหันพลันแล่นเป็นปีศาจชัดๆ..." นี่คือความคิดสุดท้ายในชีวิตของหวงซาน
"ยังมีใครอีกไหม???" เสียงตะโกนของเกาซุ่นก้องกังวานไปทั่วนอกหมู่บ้านซินหมอ ยิ่งทำให้ทหารหมู่บ้านเฟิ่งเซียงส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
เพียงชั่วพริบตา เกาซุ่นก็กำจัดแม่ทัพคนหนึ่งของหมู่บ้านซินหมอไปแล้ว แม่ทัพที่เหลืออีกคนไหนเลยจะกล้าออกมาท้าประลอง การรบแบบกองทัพกำลังจะเริ่มขึ้น
ท้ายบท: ค้นหาข้อมูลอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกาซุ่นใช้อาวุธอะไร ในประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกที่ชัดเจน มีแต่ข่าวลือมากมาย ทั้งทวน ค้อน หอก ไม้ตอก หลากหลายไม่ซ้ำกัน ผู้เขียนจึงเลือกหยิบมาอันหนึ่งตามสะดวก
(จบบทที่ 22)